ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กรมยุทธบริการทหาร ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘

วันจันทร์ ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และอาจารย์ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย อาจารย์ณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ และ อาจารย์ธนากร นรวชิรโยธิน ได้รับเชิญจากกลุ่มศึกษาธรรม "วรนารีเฉลิมและสหายธรรม" เพื่อไปสนทนาธรรมในงาน "ธรรมทิพย์บรรเลง ครั้งที่ ๙" ที่ อาคารเอนกประสงค์ กรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนรัชดาภิเษก บางซื่อ กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.


ข้อความบางตอน จากการสนทนา :
ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ : การที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออย่างไร? อย่าลืมนะครับ เป็นคำจากพระปัญญาตรัสรู้ของบุคคลที่ไม่มีใครที่เสมอ พระองค์ตรัสรู้สิ่งใด พระองค์ก็ทรงแสดง เพื่อให้ผู้อื่น เข้าใจตาม ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้!!


เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ โดยรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ก็ต้องตรงตามคำจริงของพระองค์ก่อน เป็นความที่ค่อยๆ เข้าใจ ในความละเอียดลึกซึ้งในแต่ละคำของพระองค์ แต่ละคำ คำว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง แค่นี้ยังไม่พอ เพราะคนคิดว่า สิ่งที่มีจริง ก็คือ โต๊ะ เก้าอี้ คน ก็ต้องต่อไปอีกว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่คน ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ คือไม่ใช่ตัวตน แล้วคืออะไร? คิดเองไม่ได้ ก็ต้องฟังอีก ฟังอีก โดยอาศัยคำ ต่อๆ ๆ ไป

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นการฟัง ด้วยความเคารพ ด้วยความละเอียด ด้วยความตรง ในแต่ละคำของพระองค์จริงๆ เมื่อตรงในแต่ละคำว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ และธรรมนั้นไม่ใช่ สัตว์ บุคคล สิ่งหนึ่งสิ่งใด ธรรมนั้น ละเอียด ลึกซึ้ง เล็กที่สุด เมื่อวานท่านอาจารย์ก็สนทนาที่เขมร "ตา เล็ก หรือ ใหญ่?" สิ่งที่กระทบตา เล็กหรือใหญ่? ถ้าตอบว่าเล็ก เล็กแค่ไหน? เล็กที่สุด ทั้งตาหรือจักขุปสาทนี่เล็กที่สุด สิ่งที่กระทบตา ก็เล็กที่สุด ในเมื่อตาเล็กที่สุด เป็นอณู สิ่งที่กระทบตา จะเป็นสิ่งที่ชิ้นใหญ่ๆ ไม่ได้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้ง!!


เพราะฉะนั้น เข้าใจในแต่ละคำ คำว่าธรรม คำว่าสิ่งที่กระทบตา คำว่าตา คำว่าเห็น แต่ละคำ แสดงถึงความเป็นธรรม แต่ที่ยากที่สุดคือ ธรรมไม่มีชื่อ มีภาวลักษณะ แต่ต้องอาศัยคำ อาศัยชื่อ เพื่อให้เข้าใจสภาวลักษณะ ของธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แต่เข้าใจอย่างนั้นแล้ว ก็เป็นเพียงเริ่ม ยังไม่ถึงความเป็น ปริยัติ


เพราะฉะนั้น เราคิดว่า ฟังๆ กันอย่างนี้ เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา แล้วเราก็ นี่เป็นปริยัติแล้ว ยังไม่แล้ว!! กว่าจะเป็นปริยัติ ไม่ง่าย!! เพราะ "รอบรู้" ต้องรอบรู้ นั่นคือ ต้องค่อยๆ รู้ในแต่ละคำ จนกว่าจะเป็นความรอบรู้จริงๆ รอบรู้อะไร รอบรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จากแต่ละคำจริงๆ เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ ปัญญา จึงเจริญ

นี่ก็เป็นประเด็นแรก เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูก จะรู้ว่า ศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจไหม หรือ คิดเอง? เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูก ปัญญาจะรู้ว่า ถูกหรือผิด เรารู้ว่าถูกหรือผิด ด้วยความเป็นเราไม่ได้ เพราะ "เรา" ก็ผิดแล้ว!! แต่ "ปัญญา" ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาจะรู้ความถูกความผิด ตรงตามความเป็นจริง ตามระดับขั้นของปัญญา ถึงแม้ท่านจะถามมาสองสามสี่คำถาม แต่ถ้าเข้าใจอันนี้ ก็จะสอดคล้องกันหมด ก็กราบเท้าท่านอาจารย์จะอนุเคราะห์เรื่องนี้เพิ่มเติมครับ

ท่านอาจารย์ : ทุกคำ ต้องไตร่ตรองละเอียดมาก ทีละคำ ศึกษา มาจากคำว่า สิก-ขา ภาษาไทยเป็นศึกษา ไม่ว่าจะใช้คำอะไรก็ตามแต่ แต่ว่าเข้าในภาษาของตนๆ เพราะฉะนั้น สิกขา หรือ ศึกษา หมายความว่าอะไร? เริ่มรู้ว่า พูดคำที่ไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะ พอพูดก็ต่อไปยาว ศึกษาเรื่องนั้น ศึกษาเรื่องนี้ ศึกษาธรรม ศึกษาพระพุทธศาสนา เพียงคำว่า "ศึกษา" ต้องเป็นผู้ตรง หมายความว่าอะไร? มีท่านผู้ใดจะตอบไหม? ถ้าเข้าใจแล้ว รู้แล้ว จะศึกษาไหม? แต่เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งใด จึงศึกษา เพื่อที่จะได้เข้าใจ และรู้สิ่งนั้นให้ถูกต้อง!!


เพราะฉะนั้น มีคำว่า "ศึกษาธรรม" เราไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่นเลย!! แต่ความไม่รู้มีมากมายมหาศาล เพียงแต่พูดว่า "ศึกษา" ก็ไม่รู้แล้ว แล้วก็ "ธรรม" ก็ไม่รู้แล้ว แต่บอกว่า ศึกษาธรรม ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ต้องรู้ว่า เมื่อพูดว่า "ศึกษา" ต้องรู้ว่า เพื่อเข้าใจ สิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องศึกษา แต่เพราะยังไม่เข้าใจ จึงต้องศึกษา เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่พูดว่า ศึกษาธรรม หมายความว่า ยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และความจริงของธรรมคืออะไร


เพราะฉะนั้น ศึกษา ไม่ใช่เพียงฟังคำพูด อธิบาย แล้วคิดว่าเข้าใจ แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจ เข้าถึง ความเป็นจริงของธรรม เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่นเลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร จะศึกษาได้ไหม? ไม่ไ่ด้เลย!! แม้แต่คำว่า "ธรรม" ต่างคนต่างคิด ได้ไหม? หรือว่า ความเป็นจริงของธรรมคืออะไร ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนก็ศึกษาเรื่องอื่นกันหมด ศิลปวิทยาต่างๆ การยิงธนู การทำอะไรก็ศึกษาเพื่อรู้ความจริง หรือว่า เพื่อเข้าใจสิ่งนั้น โดยการฝึกฝน เข้าใจ จนกระทั่งสามารถกระทำได้


เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม ไม่เผิน ไม่ใช่ศึกษาเรื่องอื่นทั้งสิ้น แต่ศึกษาธรรม แล้วรู้จักธรรมหรือเปล่า? ที่บอกว่าจะศึกษาธรรม หรือเพียงได้ยินว่า ศึกษาธรรม ไปที่นั่น ไปที่นี่ เรียนคำนั้น คำนี้ นั่นคือศึกษาธรรม แต่ไม่พอเลย ต้องเป็นผู้ตรง ทุกคำ ธรรม ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมหรือเปล่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย หมายความว่า ก่อนกาลตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีจริงทุกวัน ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือต่อไปข้างหน้า เปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ศึกษาความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในภาษาหนึ่งใช้คำว่า ธรรม แต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่พอถึงภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ธรรมคือสิ่งที่มีจริง


เริ่มน่าอัศจรรย์ไหม? สิ่งที่มีจริงต้องมีจริงๆ แม้แต่คำว่า "สิ่งที่มีจริง" รู้หรือยัง ว่าอะไร? ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเองหมด!! เข้าใจไขว้เขว ไม่ตรง!! "สิ่งที่มีจริง" แม้เดี๋ยวนี้ก็กำลังมี!! แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริง ว่า แต่ละหนึ่งที่มีจริงนั้นคืออะไร เปลี่ยนไม่ได้!! เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ต้องเป็นสิ่งนั้น เท่านั้น



ฟังอย่างนี้ สำหรับคนที่เริ่มฟัง จะรู้ไหมว่า ธรรมคืออะไร? สิ่งที่มีจริง รู้ไหม? นี่แสดงถึงความไม่รู้ มากมาย มหาศาล แม้เพียงแต่จะบอกว่า เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริง แล้วอะไรมีจริง? ถ้าไม่มีการสนทนาธรรม ก็คิดว่ารู้แล้วทั้งนั้น!! แต่ว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ก็ยังต้องศึกษา พิจารณา ว่า สิ่งที่มีจริงอยู่ไหน? คืออะไร? และจริงๆ สิ่งนั้นมีหรือเปล่า?


เพราะฉะนั้น ไม่ห่างจากเดี๋ยวนี้เลย!! ทุกขณะ!! สิ่งที่มีจริง มีจริง ทุกขณะ!! แต่ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง คือ เดี๋ยวนี้มีจริง!! ค่อยๆ ใกล้เข้ามาแล้ว!! ธรรมอยู่ไหน เดี๋ยวนี้มีจริง! ! เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ศึกษาเพื่อให้รู้ความจริง ของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้!! หาเจอหรือยัง? สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้!!


ทุกคำ จะปราศจากการไตร่ตรองการฟังจนชัดเจน ไม่ได้!! เพราะแม้แต่คำว่า สิ่งที่มีจริง ต้องมีแน่นอน และ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีจริงๆ แต่ก็ยังหาไม่พบ ว่าเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงคืออะไร จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ประมาทได้ไหม? ที่จะเป็นผู้ตรง ต่อทุกคำ!! ซึ่งเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว!! พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ทุกขณะ แม้เดี๋ยวนี้!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของสมาชิก กลุ่มศึกษาธรรม "วรนารีเฉลิมและสหายธรรม" และทุกๆ ท่าน
ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
และ ขอเชิญคลิกชมเรื่องที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง ...
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กรมยุทธบริการทหาร ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๐
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ Alba Wellness Resort เว้ เวียดนาม ๘-๑๕ ก.ย. ๒๕๖๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ๑๗-๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงเรียนสนามชัยเขต อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ๔ - ๕ มิถุนายน ๒๕๖๘



