สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์

 
nattawan
วันที่  7 มิ.ย. 2568
หมายเลข  50123
อ่าน  279

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อจักษุมี เพราะยึดมั่นจักษุ ถือมั่นจักษุ จึงมีความสำคัญตนว่า ประเสริฐกว่าเขา เสมอเขา หรือว่าเลวกว่าเขา ฯลฯ

วันหนึ่งๆ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า เรื่องตาเคยพูดกันบ้างไหม ตาใครดีกว่าตาใคร ใครเห็นดีกว่าใคร ชัดเจนกว่า หรือว่าตาใครเสื่อมมากกว่าตาใคร หรือว่าตาใครเป็นโรคภัยต่างๆ หรือว่าตาใครมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ดี

ถ้าไม่มีตา จะพูดเรื่องตาในลักษณะที่ว่า ประเสริฐกว่า เสมอกัน หรือว่า เลวกว่าได้ไหม ก็ไม่ได้ และย่อมจะไม่พ้นจากเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า

เมื่อใจมี เพราะยึดมั่นใจ ถือมั่นใจ จึงมีความสำคัญตนว่า ประเสริฐกว่าเขา เสมอเขา หรือว่าเลวกว่าเขา

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ก็ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือสุขเล่า ฯ

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ยึดมั่นสิ่งนั้นแล้ว จะพึงมีความสำคัญตนว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา เสมอเขา หรือว่าเลวกว่าเขา บ้างหรือหนอ ฯ

ภิกษุกราบทูลว่า

ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯลฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามต่อไปจนกระทั่งถึงใจ ซึ่งก็ไม่เที่ยง ตอนท้ายของพระสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ฯลฯ ทั้งในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1024


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 ส.ค. 2568

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

บทว่า อนิจฺจํ ได้แก่ ชื่อว่าไม่เที่ยง โดยอาการที่มีแล้วก็ไม่มี.
อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่าไม่เที่ยง ด้วยเหตุแม้เหล่านี้คือ เพราะมีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป. เพราะเป็นของเป็นไปอยู่ชั่วคราว เพราะมีความแปรปรวนเป็นที่สุด เพราะปฏิเสธความเที่ยง.

บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ชื่อว่าทุกข์ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ ด้วยอรรถว่า ทนได้ยาก ด้วยอรรถว่า เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งความทนได้ยาก. ด้วยอรรถว่า บีบคั้นสัตว์ด้วยการปฏิเสธความสุข.
ตรัสว่า ควรหรือ ยึดถือด้วยตัณหาว่า นั่นของเรา ยึดถือด้วยมานะว่า เราเป็นนั่น ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นเป็นตัวของเรา.
บรรดาความยึดถือเหล่านั้น ยึดถือด้วยตัณหา ก็พึงทราบโดยอำนาจตัณหาวิปริต ๑๐๘ ยึดถือด้วยมานะ ก็พึงทราบโดยอำนาจมานะ ๙ ประการ ยึดถือด้วยทิฏฐิ ก็พึงทราบโดยอำนาจทิฏฐิ ๖๒.

ทุกข์ไม่ใช่อื่น ต้องเป็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจใน ขณะนี้!

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

วันนี้ยังมีชีวิตอยู่ ฟังพระธรมกันเถิด เพื่อเข้าใจความจริงของสภาพทุกข์ที่พระองค์ผู้ตรัสรู้พร่ำสอนทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา

ยินดีในกุศลจิตในธรรมทานค่ะ



 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 12 ส.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ