พระอริยบุคคล 4 คู่ 8 บุคคล

สุ. การให้ผลของโลกุตตรกุศลให้ผลทันที ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า แต่กุศลและอกุศลอื่นๆ ยังต้องรอภพชาติ เช่น ผู้อบรมเจริญสมถภาวนา เมื่อฌานจิตเกิด ยังไม่สามารถเป็นพรหมบุคคลในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่ถ้าฌานจิตไม่เสื่อมและ เกิดก่อนจุติจิต เมื่อจุติจิตดับไป จะทำให้ปฏิสนธิจิตที่เป็นรูปาวจรจิตถ้าเป็นผลของ รูปฌานกุศล หรือว่าที่เป็นอรูปาวจรจิตถ้าเป็นผลของอรูปาวจรกุศล เกิดขึ้นใน รูปพรหมภูมิ หรือในอรูปพรหมภูมิ เป็นพรหมบุคคล ซึ่งนั่นยังต้องคอยกาลเวลาที่จะให้ผล แต่กุศลประเภทเดียวที่ไม่ต้องคอยกาลที่จะให้ผล คือ โลกุตตรกุศล ทันทีที่ โลกุตตรกุศลจิตดับ โลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันที ให้ผลโดยที่ไม่มีกาลระหว่าง คั่นเลย และไม่ทำปฏิสนธิกิจด้วย สำหรับโลกุตตรวิบาก
เวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลส โสตาปัตติผลจิตเกิดต่อ มีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสแล้วในขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์เมื่อเป็นผลจิต นี่เป็นคู่ที่ ๑ ที่ใช้คำว่า พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ได้แก่ พระโสดาบันบุคคล เมื่อโสตาปัตติมรรคจิตเกิดและดับไป โสตาปัตติผลจิตเกิดสืบต่อ เป็น ๑ คู่ ๒ บุคคล
และเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป สกทาคามิมรรคจิตเกิดขึ้นประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ชั่วขณะจิตเดียวที่ดับกิเลสตามขั้นของ พระสกทาคามีบุคคล ดับไปแล้ว สกทาคามิผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อ ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน มีนิพพานเป็นอารมณ์โดยสภาพที่ดับกิเลสขั้นของสกทาคามีบุคคลแล้ว
เมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป โลกุตตรจิตที่เป็นอนาคามิมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลสตามขั้นของอนาคามีบุคคล เมื่ออนาคามิมรรคจิตดับไป อนาคามิผลจิตก็เกิดต่อและเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์โดยที่อรหัตตมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลสที่เหลือทั้งหมด เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะนั้น เมื่ออรหัตตมรรคจิตดับไปแล้ว อรหัตตผลจิตก็เกิดต่อมีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสทั้งหมดแล้ว เป็นพระอรหันตบุคคล
รวมเป็น พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล และเฉพาะจิต ๘ ดวงนี้ จำแนกเป็น โลกุตตรจิต เพราะเป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์และดับกิเลส
ถ . โลกุตตรจิตทั้ง ๘ ก็เกิดดับ ทำไมไม่เรียกว่าโลก ทำไมเรียก โลกุตตรจิต
สุ. เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์และดับกิเลส


