เริ่มหาสติให้ได้ในชีวิตประจำวัน

 
เมตตา
วันที่  7 มิ.ย. 2568
หมายเลข  50117
อ่าน  442

[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - 455

[๓๓๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นเครื่องประพฤติและธรรมเป็นเครื่องอยู่ เป็นอันติดตามภิกษุอย่างไรเล่า. อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัส ย่อมไม่ครอบงำภิกษุผู้ประพฤติอยู่ด้วยอาการใด ธรรมเป็นเครื่องประพฤติและธรรมเป็นเครื่องอยู่ เป็นอันติดตามภิกษุด้วยอาการนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษพึงเข้าไปสู่ป่าที่มีหนามมาก ข้างหน้าบุรุษนั้นก็มีหนาม ข้างหลังก็มีหนาม ข้างซ้ายก็มีหนาม ข้างขวาก็มีหนาม ข้างล่างก็มีหนาม ข้างบนก็มีหนาม บุรุษนั้นมีสติก้าวเข้าไปข้างหน้า ถอยกลับข้างหลัง ด้วยคิดว่า หนามอย่าแทงเรา แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม คือปิยรูปและสาตรูปในโลกนี้ เรากล่าวว่าเป็นหนามในวินัยของพระอริยเจ้า ฉันนั้นเหมือนกันแล.


[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 278

สําหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิกมีปัญญากล้า เพราะเหตุดังนั้น จึงกล่าวว่า สติปัฏฐานมี ๔ เท่านั้น ไม่หย่อนไม่ยิ่ง. อีกอย่างหนึ่ง ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี ๔ ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปลาสความสําคัญผิดว่างาม สุข เที่ยง และเป็นตัวตน. แท้จริง กายเป็นอสุภะ ไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสําคัญว่างาม ในกายนั้น. ด้วยทรงแสดงความไม่งามในกายนั้นแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่ ๑ เพื่อละ วิปลาสนั้นเสีย.


อ.วิชัย: ก็มีอีกประเด็นครับ เมื่อเช้าได้ฟังแนวทางเจริญวิปัสสนา ท่านอาจารย์ได้อัญเชิญข้อความใน ทุกขธรรมสูตร ก็ขอกล่าวประเด็นการสนทนาที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นเครื่องประพฤติและธรรมเป็นเครื่องอยู่ เป็นอันติดตามภิกษุอย่างไรเล่า. อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัส ย่อมไม่ครอบงำภิกษุผู้ประพฤติอยู่ด้วยอาการใด ธรรมเป็นเครื่องประพฤติและธรรมเป็นเครื่องอยู่ เป็นอันติดตามภิกษุด้วยอาการนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษพึงเข้าไปสู่ป่าที่มีหนามมาก ข้างหน้าบุรุษนั้นก็มีหนาม ข้างหลังก็มีหนาม ข้างซ้ายก็มีหนาม ข้างขวาก็มีหนาม ข้างล่างก็มีหนาม ข้างบนก็มีหนาม บุรุษนั้นมีสติก้าวเข้าไปข้างหน้า ถอยกลับข้างหลัง ด้วยคิดว่า หนามอย่าแทงเรา แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม คือปิยรูปและสาตรูปในโลกนี้ เรากล่าวว่าเป็นหนามในวินัยของพระอริยเจ้า ฉันนั้นเหมือนกันแล

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็รู้ว่าปกติก็มีอารมณ์ที่น่าปราถนาน่าพอใจครับ ก็เป็นเหตุให้เกิดทั้งความติดข้อง และความไม่พอใจ ซึ่งเป็นอกุศลธรรมครับ การที่จะมีธรรมที่เป็นเครื่องอยู่เป็นเครื่องประพฤติ อย่าง สติ ปัญญา อย่างนี้ครับ ก็ดูเหมือนกับว่า ไม่ใช่เป็นการที่เราจะไปกระทำขึ้นมาครับ แต่ปกติอารมณ์ที่ปรากฏที่เป็นที่น่ารักน่าใคร่ พระองค์ก็ตรัสว่า เป็นหนามครับ แล้วอะไรจะเป็นเหตุให้ ไม่ พอใจ หรือขัดเคืองในอารมณ์ที่ปรากฏครับ ที่จะมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ครับ

ท่านอาจารย์: ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งไหม?

อ.วิชัย: ลึกซึ้งมากครับ

ท่านอาจารย์: หนามทั้งวันหรือเปล่า ซ้าย ขวา หน้า หลัง?

อ.วิชัย: ทุกครั้งที่ เห็น ได้ยิน ทุกครั้งครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่า สติคืออะไร จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องระมัดระวังไม่เหยียบหนาม

อ.วิชัย: ถ้าไม่รู้จักสติก็อบรมสติไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: ใช่ เพราะฉะนั้น พระองค์ตรัสกับผู้ที่เข้าใจ เป็นการเตือนผู้ที่เข้าใจให้ไม่ประมาท เพราะความเข้าใจมีหลายระดับมาก เพียงเข้าใจอย่างนี้พอไหม? มีแต่เลือด เนื้อ กระดูก ที่นั่งกันนี่ แล้วก็จริงด้วย ลองลอกออกไปซิ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เพียงแต่ให้ระลึกได้ แต่ต้องสามารถที่จะรู้ความจริง

เพราะฉะนั้น มีสติคืออะไร ถ้าไม่รู้จักสติ แล้วเราก็พูดถึงสติเจตสิก มีลักษณะ มีกิจ มีอาการปรากฏ แล้วอยู่ไหนล่ะ?? มีแต่ชื่อทั้งนั้นเลยใช่ไหม?

แต่ถ้ารู้ในชีวิตประจำวัน เริ่มรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีทุกขณะในชีวิตประจำวันนี้เอง ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า จะเหลียวซ้ายอยู่ตรงนี้ แลขวาก็อยู่ตรงนี้ หันหลังก็อยู่ตรงนี้ ทุกอย่างอยู่นี่หมด

เพราะฉะนั้น มีสติคืออะไร ต้องรู้สิ่งที่มีที่เคยยึดถือว่าเป็นเราใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: และกว่าจะรู้ ไม่ใช่เพียงแค่ต้องมีสติ แต่สติคืออะไร? ชีวิตประจำวันมีสติไหม? เริ่มหาสติให้ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่จะเริ่มทำสติปัฏฐานใช่ไหม?

แต่เพียงสติทั่วๆ ไปที่เกิดกับกุศลในชีวิตประจำวัน เคยรู้ไหมว่า นั่นไม่ใช่เรา แต่เป็นสติ เช่น การให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่คนอื่น แค่กล้วยน้ำหว้าลูกหนึ่ง ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เราจะปอกกล้วยน้ำหว้าทานเอง

อ.วิชัย: ครับต่างกันครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะนั้นอะไรล่ะ เมื่อไม่ใช่เรา? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกอย่างละเอียดยิบโดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะสลายสิ่งที่รวมกันออกไป ให้เห็นว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยเร็วสุดที่จะประมาณได้ ปกปิดไม่ให้ปรากฏตามความเป็นจริง จึงมีคำที่กล่าวว่า ธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ปรากฏนะ แต่ว่าต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะหยั่งลงถึงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ตามความเป็นจริงเพราะไม่รู้ จนกระทั่งค่อยๆ รู้ความจริง แล้วจะเป็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้

อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: จากอัตตาเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องไตร่ตรองนะ แม้แต่คำว่า สติ ขณะที่ว่าพูดเดี๋ยวนี้รู้ไหมว่ามีสติหรือเปล่า? แล้วสติระดับไหน? สติที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ลักษณะของสติ หรือว่ายังสงสัย ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่มีจริงในสังสารวัฏฏ์

แต่สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งมารวมกัน ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นที่ยึดถือเข้าใจผิดว่า เป็นเรา เป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้เป็นคนนั้นคนนี้

ทั้งโลก ไม่ว่าประเทศไหน น้ำตก ภูเขา สวยงาม ก็แข็งทั้งนั้น ใช่ไหม?

อ.วิชัย: ครับ

ท่านอาจารย์: ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ น้อมใจไป ค่อยๆ มีกำลังใจที่จะรู้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จริงแท้ถึงที่สุด เป็นธรรมที่เป็นสัจจธรรมที่เป็นอริยสัจจธรรม ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้ และสามารถประจักษ์ความจริงได้ เพราะทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ที่ถูกปิดบังไว้

อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์มากครับที่ได้มีโอกาสได้ฟังคำที่เป็นเหตุให้ไตร่ตรอง แล้วก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ กราเท้าท่านอาจารย์

ขอเชิญอ่านได้ที่..

ทุกขธรรมสูตร - เหตุเกิดและความดับแห่งทุกขธรรม - ๐๕ ก.ค. ๒๕๕๑

กายเป็นอสุภะ ไม่งาม [มหาวรรค]

ขอเชิญคลิกฟังได้ที่

ปรากฏดีโดยส่วนเดียว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ