ถ้าไม่รู้จักธรรมเดี๋ยวนี้ จะรู้จักเจตสิกไหม?__สนทนาธรรมไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๘

อาช่า: ครั้งที่แล้วสนทนา เจตสิก ๗ ประเภทที่เกิดกับจิตทุกดวง และได้สนทนาถึง วิตกเจตสิก ตอนนี้ก็เลยอยากทราบเจตสิกต่างๆ และก็ความสำคัญของเจตสิกว่า มีเจตสิกไหนที่สำคัญ หรือว่า ไม่สำคัญ ก็อยากเข้าใจเจตสิกต่างๆ มากขึ้นค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คุณอาช่าจะเข้าใจเรื่องราวของเจตสิก หรือจะเข้าใจธรรม?
อาช่า: อยากเข้าใจเจตสิกค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้ว ธรรม อยากเข้าใจไหม?
อาช่า: อยากเข้าใจธรรมด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้ธรรมอะไร จึงสามารถที่จะเข้าใจความเป็นธรรมซึ่งเป็นเจตสิกด้วย
ถ้าไม่รู้จักธรรมเดี๋ยวนี้ จะรู้จักเจตสิกไหม?
เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม ทุกคำ ที่ได้ฟัง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี จึงจะมีปัญญารู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอะไรจริงๆ จึงไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ทุกคำ เตือนให้เข้าใจสิ่งที่มี จึงจะเข้าใจธรรม และเจตสิกได้
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรม และเจตสิก
ทุกชาติที่มีโอกาสได้ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์สูงสุด คือรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าขณะไหน เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง? นี่คือศึกษาธรรมตรงนี้บ่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจขึ้น ไม่อย่างนั้นมีแต่เรากับความคิดเรื่องเจตสิก
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่สนทนาธรรม เมื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เข้าใจธรรมที่เป็นอายตนะ ที่เป็นขันธ์ ที่เป็นธาตุ ที่เป็นเจตสิกทุกอย่าง เมื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้พูดถึงสิ่งที่กำลังมี เพื่อไม่คิดเรื่องอื่น
เพื่อปลูกฝังความเข้าใจให้มั่นคง เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดเป็นธรรม
เมื่อยังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม จึงต้องพูดถึงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจว่า เป็นธรรม เพื่อไม่หลงเหมือนก่อน เป็นเราที่ต้องการรู้เรื่องเจตสิก
อีกนานไหม กว่าจะมีความเข้าใจในสังสารวัฏฏ์ว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นธรรม?
อาช่า: ใช้เวลานานมากค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ จะเพิ่มความนานออกไปอีกไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: รู้จักสัจจบารมีแล้วใช่ไหม ว่า นี่คือสัจจะ ความจริงต่อสิ่งที่มีจริงๆ
อาช่า: ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: ทุกครั้งที่เข้าใจ เป็นปัญญา เป็นสัจจบารมี จากขณะนี้ไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคำถามให้คิดว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรอีกไหม?
เพราะฉะนั้น โอกาสนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้สามารถเข้าถึง และเข้าใจประจักษ์แจ้งความจริงได้ เมื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ถามเดี๋ยวนี้ เพราะไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าจะมีคำถามอย่างนี้อีก เดี๋ยวนี้มีอะไร?
อาช่า: เสียงค่ะ
ท่านอาจารย์: เสียงมีจริงไหม?
อาช่า: มีจริงค่ะ
ท่านอาจารย์: เสียงรู้อะไรหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีธรรมที่เป็น ธาตุรู้ เกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงจะปรากฏได้ไหม?
อาช่า: ถ้าไม่มีธาตุรู้ เสียงก็ไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กำลังได้ยิน ธาตุรู้ รู้อะไร?
อาช่า: รู้เสียงค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มี ธาตุรู้ เพราะฉะนั้น อะไรที่กำลังรู้เสียง?
อาช่า: ไม่มีอะไรรู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กำลังรู้เสียง อะไรรู้เสียง?
อาช่า: จิตรู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จิต เป็นจิต จะเป็นใครไม่ได้
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เคยคิดว่า เป็นเราคิด แต่ความจริงอะไรคิด?
อาช่า: เป็นจิตที่คิดค่ะ ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์: กำลังอร่อย อะไรรู้สิ่งที่อร่อย?
อาช่า: จิตที่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: จิตเกิดโดยลำพังโดยไม่มีปัจจัยได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะใดที่มีจิต ต้องมีธรรมที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิด
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ จะไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้ ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยเกิดด้วย สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยที่ต้องเกิดพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต และก็ดับไปพร้อมจิต แยกกันไม่ได้เลย คือเจตสิก
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มเข้าใจมั่นคงว่า ทุกขณะที่จิตเกิด ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เจตสิกจะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่จิตรู้ไม่ได้เลย เมื่อเจตสิกเกิดกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่ไม่ใช่จิต เจตสิกจะมีลักษณะอะไรบ้าง?
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้จิตอะไรเกิดขึ้น?
อาช่า: ได้ยินค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้วเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า?
อาช่า: เกิดร่วมด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ฟังเฉยๆ เมื่อบอกว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ต้องเริ่มรู้ว่า มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่ไปจำชื่อเจตสิกเยอะๆ แต่ขณะที่ได้ยินเกิดขึ้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นผู้ตรงว่า แล้วเจตสิกอะไรเกิดร่วมกับจิตได้ยิน
คุณสุคิน: ผมพูดให้อาช่าพิจารณาดูครับว่า ไม่ใช่ว่า เราฟังมาหลายรอบแล้วว่า จิตมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วเมื่อไหร่ท่านอาจารย์ถาม เราก็ตอบทันทีว่ามีเจตสิกเกิดพร้อมจิต แต่ให้พิจารณาดูว่า จิตได้ยินที่อาช่าพูดถึงต้องมีเจตสิกเกิดด้วย แล้วเจตสิกไหนที่ต้องเกิดด้วย เป็นคำถามให้เขาพิจารณาดูครับ ไม่ได้เป็นคำถามให้เขาตอบครับ
ท่านอาจารย์: แต่ไม่ใช่ให้เขาไปจำ ให้เขารู้ความจริงว่า มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยเพื่อเขาจะได้รู้ขณะนี้เดี๋ยวนี้
คุณสุคิน: จะให้เขาตอบเลยใช่ไหมทีละเจตสิก หรืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: แน่นอน กำลังเรียนกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรจะปรากฏได้ไม่ใช่ไปนั่งจำ
คุณสุคิน: ทีละอัน หรือว่าจะให้ต่อไป..
ท่านอาจารย์: ทีละอัน เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง ได้แต่จำชื่อ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนตรง ถ้าพูดถึงเจตสิกไม่ใช่เพียงจำชื่อ แต่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไร?
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: ทีละอัน เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง ได้แต่จำชื่อ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนตรง ถ้าพูดถึงเจตสิกไม่ใช่เพียงจำชื่อ แต่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไร?
คุณสุคิน: เพราะฉะนั้นให้เขาพูดทีละอันครับ เมื่อกี้พูดอันแรก คือชีวิตินทริยะครับ
ท่านอาจารย์: คำเดียวพอ รู้จักแค่ไหน?
อาช่า: ชีวิตินทริยะค่ะ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้รู้ไหม?
อาช่า: ไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่เริ่มเข้าใจใช่ไหม?
อาช่า: เริ่มเข้าใจค่ะ
คุณสุคิน: เริ่มเข้าใจ ผมเลยถามว่า พอจะเข้าใจว่าใช่ไหมว่ามีเจตสิกนี้ อาช่าบอกว่า เข้าใจ ต้องมี เพราะว่า ทำกิจให้มีชีวิตครับ
ท่านอาจารย์: เจตสิกนี้จะปรากฏให้รู้ไหม?
อาช่า: ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อาช่า: ปัญญาไม่พอที่จะ ปรากฏให้รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แน่นอน เพราะฉะนั้น จะรู้ชีวิตินทริยเจตสิกได้ไหม?
อาช่า: ถ้าปัญญาเจริญรู้ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อาช่า: ถ้าปัญญาถึงระดับนั้นแล้ว ก็สามารถรู้อะไรก็ได้ที่เกิดค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อาช่า: ก็รู้ว่า ธาตุอะไรเป็นธาตุหนึ่งที่เกิด แล้วก็รู้ค่ะ เพราะเป็นธาตุ
ท่านอาจารย์: แน่นอน รู้ไปทำไม เพื่ออะไร?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ถามว่า รู้ไปเพื่ออะไรชัดเจนว่า ไม่มีเราค่ะ
อาช่า: เพื่อที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์: ต้องไม่ลืมเลย จุดประสงค์ไม่ใช่ต้องรู้มากๆ เข้าใจมากๆ แต่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ชีวิตินทริยะมีจริง มีลักษณะอย่างไร มีกิจ อาการปรากฏอย่างไร?
อาช่า: ตอนนี้รู้ว่า กิจของชีวิตินทริยเจตสิก คือให้มีชีวิต กิจนี้จะปรากฏให้เห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นสภาพธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งนั้นมีชีวิตเพราะชีวิตินทริยะเกิดร่วมด้วย แต่ชีวิตินทริยะมี ๒ อย่าง ชีวิตินทริยะที่เป็นนามธรรม และชีวิตินทริยะที่เป็นรูปธรรม
ต้นไม้มีชีวิตินทริยรูปไหม?
อาช่า: ไม่ทราบ ไม่แน่ใจค่ะ ที่เป็นชีวิตินทริยรูปเป็นไปได้ ที่เป็นชีวิตินทริยเจตสิกไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ตุ๊กตาเหมือนคน แล้วก็มีชีวิตรูปไหม?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: คนที่มีชีวิต กับคนที่ตาย ขณะนั้นรูปต่างกันหรือเหมือนกัน?
อาช่า: ต่างกันค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้นไม้มีชีวิตตรูปไหม?
อาช่า: ยังไม่สามารถตอบได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แมวมีชีวิตรูปไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: นกตายทันทีเดี๋ยวนี้ กับนกที่ยังไม่ตาย นกตายมีชีวิตรูปไหม?
คุณสุคิน: ดูเหมือนอาช่ายังไม่ทราบความต่าง อย่างมีนก ๒ ตัวอยู่ ต่อหน้าต่อตาตัวหนึ่งตายไป ความต่างในรูปตรงไหน? อาช่าตอบในนัยยะว่า ตัวหนึ่งมีจิต อีกตัวไม่มีจิต ผมก็บอกว่า ไม่ต้องไม่คิดเรื่องจิตนั่น แค่ในรูปมีความต่างอย่างไร ตรงนี้อาช่าไม่ทราบครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่รีบร้อนศึกษาธรรมที่ลึกซึ้ง ต้องตรงต่อธรรม ทุกวันที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพิ่มความเข้าใจความเป็นธรรมในสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าได้ยินอะไร อยู่ในพระไตรปิฏก ทำไมจะเลือกรู้อย่างนั้นๆ ในเมื่อสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ สามารถจะรู้ความละเอียดขึ้นได้
รูปคุณอาช่า เหมือนคุณอาช่าไหม?
อาช่า: ไม่เหมือนค่ะ ต่างกันมาก
ท่านอาจารย์: ต่างกัน ถ้าอย่างนั้น รูปนั้นก็ไม่ใช่รูปคุณอาช่า?
คุณสุคิน: ผมเข้าใจที่เขาตอบ จากนัยยะที่เขาตอบเขาก็พูดต่อไป คิดต่อไปว่า ไม่ใช่รูป ก็คือ ...
ท่านอาจารย์: เห็นไหมๆ ศึกษาธรรม คิดเอง จะสามารถรู้ความจริงได้ไหม และก็เลือกที่จะรู้โน่นรู้นี่ เป็นเราหรือเปล่า ไม่มีทางที่จะละความเป็นเราได้
คุณสุคิน: คืออาจจะผิดที่ผม เราก็พูดต่อเนื่องกับคำถามก่อนหน้านี้ ก็เลยคิดคำตอบจากนัยยะนั้นว่า ความต่างระหว่างนกที่ตายแล้วกับนกที่ยังไม่ตาย
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกคำลึกซึ้งต้องพูดสั้นๆ จะได้ลึกลงไป ไม่เอาเรื่องอื่นมาปะปน
แต่ถ้าให้เขาเข้าใจว่า เรากำลังพูดถึง ๑ จนกว่าจะเข้าใจ ๑ ที่เราพูดถึงขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะพูดทำไมเสียเวลา เรากำลังพูดถึงชีวิตินทริยะ
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: พูดแต่ชื่อ พูดแต่คำ พูดแต่ความหมายสำหรับจำหรือ? ได้ยินคำว่า ชีวิตินทริยะ เข้าใจหรือไม่เข้าใจดีกว่ากัน?
อาช่า: เข้าใจดีกว่าค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มใหม่ ชีวิตินทริยะคืออะไร?
อาช่า: เป็นสิ่งที่ทำให้มีชีวิตอยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์: ชีวิตินทริยะเป็นสิ่งที่ทำให้ปรากฏว่าสิ่งนั้นมีชีวิต
รูปภาพนก กับตัวนกเหมือนกันไหม?
อาช่า: ก็ต่างกันเพราะอันหนึ่งเป็นรูป อันหนึ่งเป็นตัวจริง
ท่านอาจารย์: เพราะอะไรจึงทำให้รู้ว่า นั่นเป็นรูป นี่เป็นนก ต่างกัน?
อาช่า: เพราะเห็นว่าตัวนกจริงขยับตัว
ท่านอาจารย์: รูปนกขยับตัวขยับปีกมีไหม?
อาช่า: ถ้าเป็นภาพวิดีโอก็มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นนกจริงๆ หรือเปล่า?
อาช่า: ไม่ได้เป็นนกจริงค่ะ
ท่านอาจารย์: ทำไมรู้ว่าไม่ใช่นกจริง?
อาช่า: เพราะว่าเป็นความรู้ทั่วไปค่ะว่า อันหนึ่งเป็นวิดีโอ อีกอันหนึ่งเป็นของจริงค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไรจึงมีความคิดอย่างนี้?
อาช่า: รู้ทันทีว่า นั่นเป็นอะไรที่ไม่ได้เป็นอยู่ ณ.ปัจจุบันค่ะ
ท่านอาจารย์: อยู่ดีๆ ก็คิดออกมาเองโดยไม่มีความต่างของรูปนั้นหรือ? รูปอาช่า และอาช่าแต่งตัวให้เหมือนรูปทุกอย่าง อย่างนี้จะรู้ไหมว่ารูปไหนเป็นอาช่า รูปไหนเป็นเพียงรูปของอาช่า
อาช่า: รู้จักจากการขยับตัว
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ขยับเลย จะรู้ไหม?
อาช่า: มันไม่มีทางอื่น เช่นท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า ไม่ขยับตัวเลย ก็ยังต้องไปใกล้แล้วเอานิ้ววางใกล้จมูกดูว่ามีหายใจหรือไม่หายใจ
ท่านอาจารย์: ไม่ต้องทำอย่างนั้นก็รู้ใช่ไหม?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ผมก็ยกตัวอย่างคนที่แต่งตัวเหมือนหุ่นโชว์เสื้อผ้า คนเดินผ่านไปไม่รู้ว่าเป็นคนจริง เขาเลยคิดว่า อย่างนั้นมันจะรู้ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์: รู้ค่ะ รู้แน่ๆ
อาช่า: รู้ได้อย่างไรค่ะ
ท่านอาจารย์: ก็เพราะว่า รูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรม ไม่มีชีวิตินทริยรูป ไม่มีรูปที่ดำรงให้รูปนั้นเป็นรูปที่มีชีวิต
ไม่ใช่ว่า คุณอาช่าจะต้องเอานิ้วไปรอที่จมูกของทุกรูป ถึงจะรู้ว่า อันไหนมีชีวิต อันไหนไม่มีชีวิต ไม่ใช่อย่างนั้น
แม้แต่ความต่างของรูปไปกระทบสิ่งที่เราเรียกว่าแขน กับแขนจริงๆ ก็ต่างกัน นี่เป็นความต่างของคนเป็นกับคนตายทุกสิ่งทุกอย่าง มีตา มีหู มีจมูก เป็นคนเป็น พอตาย มีตา มีหู มีจมูก แต่ไม่มีชีวิตินทริยรูป
เพราะฉะนั้น ชีวิตินทริยรูป มีจริงไหม?
อาช่า: มีจริงค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงมีชีวิต ๒ อย่าง ที่เป็นรูปที่ทำให้รู้ว่า รูปนั้นเป็นรูปที่มีชีวิตเกิดจากกรรม จึงมีชีวิตเป็นชีวิตินทริยรูป และชีวิตินทริยนาม สภาพทั้งหลายที่สามารถรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ได้เป็นสิ่งที่มีชีวิต จึงสามารถจะทำหน้าที่การงานนั้นๆ ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: สามารถจะรู้ชีวิตินทริยเจตสิกได้ไหม?
อาช่า: รู้ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ใครรู้?
อาช่า: ใครที่มีปัญญาพอค่ะ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้รู้ได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อาช่า: เพราะอวิชชาเยอะมาก
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อาช่า: ความเข้าใจน้อย เพราะว่าอวิชชามาก
ท่านอาจารย์: นั่นซิ แต่ที่ไม่รู้แน่ๆ เพราะอะไร?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ถามถึงไม่รู้ชีวิตินทริยะแน่ๆ หรือว่าไม่รู้อะไรเลยแน่ๆ ครับ
ท่านอาจารย์: กำลังพูดถึงชีวิตินทริยะ ถามอย่างนี้ได้ไหม?
อาช่า: ความเข้าใจน้อยค่ะ
ท่านอาจารย์: รู้ไม่ได้เดี๋ยวนี้ รู้ไม่ได้เพราะอะไร?
อาช่า: เพราะว่า ไม่ปรากฏค่ะ ที่รู้ได้คือสิ่งที่ปรากฏค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ต้องตรง อะไรที่ไม่ปรากฏจะรู้ได้ไหม แม้มี?
เดี๋ยวนี้จะรู้อะไรได้?
อาช่า: รู้สีค่ะ
ท่านอาจารย์: รู้หรือยัง?
อาช่า: ยังไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่คือความตรงที่ทำให้รู้ว่า ไม่รู้อะไร
ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่มีความเข้าใจเลย แม้สิ่งที่ปรากฏก็ไม่สามารถจะรู้ตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้น ต้องรู้จุดประสงค์จริงๆ ของการฟัง ไม่ใช่เพื่ออะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี
ถ้าไม่สนใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
เพราะฉะนั้น ได้ยินคำที่กล่าวถึง สิ่งที่มีจริง ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า สิ่งนั้นคืออะไร
กว่าจะรู้จุดประสงค์จริงๆ คือ นี่คือประโยชน์ที่จะค่อยๆ สะสมเป็นเหตุให้สามารถเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏได้
สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แต่ยังไม่ปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่คิดถึงสิ่งอื่น
คุณอาช่าเริ่มคิดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ว่า มีอะไรบ้าง แม้ยังไม่ปรากฏให้รู้ แต่มี และเริ่มเข้าใจว่า สิ่งนั้นมี
มีอะไรบ้างที่เริ่มรู้ว่า มีเดี๋ยวนี้? ไม่ได้ถามคุณสุคินนะ แต่ถามคุณอาช่าว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างที่มี แต่ไม่ได้ปรากฏ ที่เขารู้?
อาช่า: ยกตัวอย่าง ชีวิตินทริยะไม่ปรากฏ แล้วก็เอกัคคตาไม่ปรากฏ หลังจากนั้น มนสิการก็ไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์: อะไรปรากฏ?
อาช่า: สี ปรากฏค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะรู้ได้มีมากมายหลายอย่าง แต่สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏได้เมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ๖ ทางเท่านั้น
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: รู้ว่าหุ่นไม่ใช่คน รู้ได้ทางไหน? ตุ๊กตาก็ได้ ตุ๊กตาหมาไม่ใช่หมารู้ได้ทางไหน?
อาช่า: ยังไม่เข้าใจความต่างระหว่างปัญจทวาร กับมโนทวารว่า เห็นคือเห็น แตะต้องคือแตะต้อง สัมผัสทางกายคือสัมผัสทางกาย และที่คิดต่อนั่นจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนเห็นความเคลื่อนไหว หรือจับแล้วรู้เลยว่าอันนี้ของจริง
ท่านอาจารย์: ก่อนจะเห็นเป็นแมว ต้องมีเห็นก่อนใช่ไหม? สีของตุ๊กตาหมา กับสีของหมา เป็นสีเดียวกันหรือเปล่า?
คุณสุคิน: ถ้าผมสมมุติว่า ใครทำหมาให้เหมือนของจริงเลย คำตอบอาช่า ถ้าจากเห็น เห็นสี มันไม่มีความต่างกัน
ท่านอาจารย์: เห็นทีละสีใช่ไหม?
อาช่า: ไม่สามารถรู้สีทั้งสองพร้อมกันได้ค่ะ ต้องทีละหนึ่ง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นสีทางตา จำสีทางตา รู้แจ้งสีทางตา ๑ ขณะ ใครจะรู้ว่า จบทางตา ทางใจรู้ต่อทันที
ทางใจรู้โดยไม่ต้องอาศัยสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะอะไรเลยทั้งสิ้น ทันทีที่ทางตาดับไป มีภวังค์ค้่น ทางใจรับรู้ต่อ เหมือน Photocopy ทันที
ก่อนที่จะเห็นสีหมาจริงๆ นี่เป็นสีตุ๊กตาหมา เพราะฉะนั้น ตุ๊กตาหมาเห็นแล้ว และขณะต่อไปเห็นสีของหมาจริงๆ
เพราะฉะนั้น จึงสามารถรู้ความต่างว่า เป็นสีตุ๊กตาหมา และเป็นสีหมา
อาช่า: เห็นเฉพาะสี รู้ได้อย่างไรว่า อันหนึ่งเป็นสีของตุ๊กตา และอันหนึ่งเป็นของจริง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มโนทวาร.. เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความละเอียดอย่างยิ่งของจิต ๑ ขณะ ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในความเป็นธรรม ไม่มีทางที่จะละความเป็นเรา
ไม่ลืม นี่เป็นขั้นฟัง ปริยัติ ถ้าไม่รอบรู้จริงๆ ว่า เพื่อละความไม่รู้ ชึ่งเข้าใจว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
การศึกษาโดยไม่เข้าใจในความไม่ใช่เรา ในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า เปรียบเหมือนจับงูพิษข้างหาง งูพิษนั่น ต้องกัดแน่
ในพระไตรปิฎก มีข้อความแสดงบุคคลที่แม้เดินตามหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นได้เฝ้าได้ฟังด้วยตนเอง ก็ยังมีความเห็นผิด มีไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่เป็นการเตือนว่า การศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเคารพในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่าจะมีความมั่นคงในการเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในชีวิตประจำวันทั้งหมดทุกประการ
เดี๋ยวนี้มีชีวิตินทริยเจตสิกไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีชีวิตินทริยรูปไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: อย่างน้อยที่สุด วันนี้คุณอาช่าก็ได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น กว่าจะสะสมทีละเล็กทีละน้อย จนค่อยๆ เห็นความไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อยได้
นี่เป็นจุดประสงค์ของการศึกษาธรรม ฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้แล้วใช่ไหม?
ขอเชิญคุณอาช่ากล่าวถึงคำแรกที่เริ่มสนทนา เราจะได้สนทนาคำนั้น
อาช่า: เจตสิกค่ะ
ท่านอาจารย์: เราพูดถึงเจตสิกแล้วใช่ไหม? ยังมีอะไรสงสัยเรื่องเจตสิก คำอื่นไหม หรือธรรมอื่น?
ชีวิตตรูป เป็นเจตสิกหรือเปล่า?
อาช่า: อยากจะฟังเพิ่มเติมค่ะ ยังไม่ชัดเจนค่ะ
ท่านอาจารย์: ถามว่า ชีวิตินทริยรูป เป็นชีวิตินทริยเจตสิกหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: ต้นไม้มีชีวิตินทริยรูปไหม?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: ตา จักขุปสาทะมีชีวิตินทริยรูปไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: รูปตา มีชีวิตินทริยรูปไหม?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แมวมีชีวิตินทริยรูปไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: คุณอาช่าชอบรูปสุนัข หรือชอบสุนัข?
อาช่า: ชอบตัวจริงมากกว่า รูปก็ชอบแต่ชอบตัวจริงมากกว่า
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ชอบตุ๊กตาสุนัข หรือชอบสุนัข?
อาช่า: ชอบตัวสุนัขค่ะ
ท่านอาจารย์: แน่ใจหรือ ไม่ชอบตุ๊กตาสุนัขเลยหรือ สักตัว?
อาช่า: เป็นอุปนิสัยที่ไม่ชอบตุ๊กตาค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ว่าตุ๊กตาอะไรหรือ?
อาช่า: จะเป็นหมี จะเป็นหมา ก็ไม่ชอบ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนััน ชีวิตประจำวันทั้งหมด เป็นธรรมหรือเปล่า?
อาช่า: เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะรู้ว่า ทุกขณะที่ปรากฏเป็นธรรมอะไร มีธรรมอะไรที่คุณอาช่าอยากรู้วันนี้อีกไหม?
อาช่า: วันนี้เราพูดถึงชีวิตินทริยเจตสิกแล้ว อยากรู้เจตสิกอื่นด้วย
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เข้าใจเรื่องชีวิตินทริยเจตสิก กับชีวิตินทริยรูป ไม่สงสัยอะไรแล้วนะ
อาช่า: ไม่มีคำถามค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าอย่างนั้น ถามว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้?
อาช่า: ก็คือ ชีวิตินทริยเจตสิกมีแน่นอน ต่อด้วยเอกัคคตา มนสิการ
ท่านอาจารย์: มีผัสสเจตสิกไหม?
อาช่า: มีค่ะ ถ้าไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีอะไรเกิดได้
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ผัสสะเป็นอาหารปัจจัย นำมาซึ่งอาหารแก่จิต เพราะฉะนั้น จิตจะเกิดขึ้นรู้อะไร ได้ยินอะไร ก็เพราะผัสสะนำสิ่งนั้นมาให้
เพราะฉะนั้น เราจะเรียนเรื่องปัจจัยเวลาที่ถึงเวลานะ เพราะเวลาพูดถึงผัสสะ เป็นปัจจัยแน่นอน เป็นปัจจัยอะไร เป็นอาหารปัจจัย
ฟังไว้ๆ เพื่อเข้าใจ ไตร่ตรองเข้าใจขึ้น ละเอียดขึ้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


