แตกฉานในเรื่องการกล่าวตอบ [ปฏิภาณปฏิสัมภิทา]

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 294
๑๐. โลกสูตร
[๑๙๖] เทวดาทูลถามว่า
เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมชมเชยในอะไร โลกยึดถือซึ่งอะไร โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอะไร.
[๑๙๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
เมื่ออายตนะ ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมทำความชมเชยในอายตนะ ๖ โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแหละ โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖
จบโลกสูตร
จบอันธวรรคที่ ๗
อ.อรรณพ: ผมก็คิดถึง ปฏิสัมภิทาที่ ๔ ก็เห็นเลยว่า ต้องต่างกันครับ เพราะว่า ภาษาไทยเราก็เอาไปใช้ครับ อ.คำปั่น บอกว่า ปฏิภาณ หรือปฏิภาณะนี่หมายความว่าอย่างไร และ ปฏิภาณในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งถึงความแตกฉานนี่ครับ เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา คืออย่างไร ครับ ขอเชิญ อ.คำปั่น ได้กล่าวถึง เพราะคนไทยก็เอาไปพูดกันว่า เรามีปฏิภาณเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่องนั้น แต่ปฏิภาณในทางธรรมจริงๆ ที่จะถึงความแตกฉานเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา เชิญ อ.คำปั่น ครับ
อ.คำปั่น: ก็โดยความหมาย ปฏิภาณะ ก็คือ การกล่าวตอบ ปฏิสัมภิทา ก็คือ การแทงตลอด หรือว่าแตกฉานในด้านนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ปฏิภาณปฏิสัมภิทา จึงเป็นการแตกฉานในเรื่องของการกล่าวตอบ หรือการกล่าวโต้ตอบ อันนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของปัญญาครับ ซึ่งแน่นอนครับว่า ผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยปฏิภาณนะครับ ทุกท่านก็เข้าใจได้ใช่ไหมว่า คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระปฏิภาณโดยที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย แม้แต่พระสูตรที่ อ.กูลวิไล ได้อัญเชิญมา โลกสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ก็เป็นคำทูลถามของเทวดา
เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมชมเชยในอะไร โลกยึดถือซึ่งอะไร โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอะไร
นี่คือคำทูลถามของเทวดา แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสตอบโดยฉับพลันว่า
เมื่ออายตนะ ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมทำความชมเชยในอายตนะ ๖ โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแหละ โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖
นี่คือ ข้อความใน โลกสูตร ครับ ก็กราบ อ.อรรณพ ครับ ในความหมายของ ปฏิภาณ คือ การกล่าวตอบ ครับ ซึ่งก็กราบขอโอกาสท่านอาจารย์ในความละเอียดตรงนี้ครับ ก็เคยได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า เพราะอะไรจึงมีปฏิภาณครับ ก็ได้ฟังในเบื้องต้นครับที่ได้เคยฟัง คำ อธิบายของท่านอาจารย์มาแล้วครับว่า เพราะมีความแตกฉานในผล แตกฉานในเหตุ แล้วก็แตกฉานในภาษา ในคำที่จะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้อง จึงสามารถที่จะกล่าวตอบได้ ครับ
นี่ก็เป็นการได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวอธิบายเมื่อนานแล้วครับ ที่ได้ฟังจากท่านอาจารย์ครับ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียดด้วยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็มีความรู้ในความจริงมากพอตามกำลังของความรู้ ที่จะตอบ ที่จะอธิบาย ที่จะตรึกทุกอย่าง เพียงแค่ทุกอย่างเป็นธรรม นี่ไม่ใช่ปฏิภาณใช่ไหม?
อ.คำปั่น: ครับท่านอาจารย์
อ.อรรณพ: ที่ อ.คำปั่น กรุณาแปลมานี่ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในการถาม การตอบ เห็นเลยครับว่า เป็นปัญญาที่เพิ่มขึ้นๆ จริงๆ นะครับ จึงรู้ว่า จะถามอย่างไรจึงจะสมควร และจะตอบอย่างไรจึงจะสมควร แม้มีผู้ถามเรื่อง ปฏิสัมภิทา ปุถุชนมีไหม? ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้ตอบไปว่า อย่างนี้ๆ หรืออ่นข้อความฟัง แต่ก็เพื่อประโยชน์ จึงได้ถามว่า ปฏิสัมภิทาคืออะไร และอรรถะคืออะไร ถ้าที่น่าสะดุดใจ เห็นยังไม่รู้จักเลย แล้วจะไปถึงอรรถปฏิสัมภิทา นี่เป็นไปไม่ได้
เห็น ในขณะนี้ ยังไม่รู้เลยว่า เห็น เป็นเห็น นี่เป็นอย่างไรจริงๆ ครับ นี่ก็ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า ทำไมท่านถึงได้แสดง ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ไว้เป็น ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ๔ ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: รู้นิดรู้หน่อยพอไหม?
อ.อรรณพ: รู้นิดรู้หน่อยก็ไม่พอที่จะไปละความไม่รู้ที่มีอยู่มาก
ท่านอาจารย์: ที่จะตอบ รู้นิดรู้หน่อยพอไหม?
อ.อรรณพ: แค่จะตอบนี่ รู้นิดรู้หน่อย ก็ยังตอบไม่ได้ ไม่ได้ประโยชน์ตอบแบบไม่เกิดประโยชน์ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกคำ เพราะรู้แค่ไหน? จึงมีความรู้พอที่จะตอบแค่นั้น
อ.อรรณพ: รวมทั้งถามด้วย ตอบนี่ก็ยากแล้วนะครับ เพราะถ้าไม่มีความรู้อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า รู้นิดรู้หน่อย จะตอบได้ไหม? ก็ตอบได้ไม่ชัดเจน แล้วก็ตอบแล้วก็ไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรแก่ตนเอง และผู้อื่น เป็นเพียงแค่ ตอบๆ ไปตามความจำนะครับ
ท่านอาจารย์: อย่างนั้น จะเป็นปฏิภาณะไหม?
อ.อรรณพ: ไม่เป็นแน่นอนครับ แล้วก็ ปฏิภาณะ ที่ถาม รู้ว่าควรจะถามอย่างไร ควรจะอะไรอย่างไร ยิ่งยาก นะครับ แม้ในทางโลก เขาก็บอกว่า คนที่ฉลาดนี้เป็นคนในทางโลกนะครับแต่ว่าก็ปรารภในทางธรรมได้ว่า ผู้ที่ตอบได้เป็นคนฉลาด แต่ผู้ที่จะถามแล้วเกิดประโยชน์ได้ นี่เป็นคนที่ปราดเปรื่อง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการตอบ หรือโดยเฉพาะเป็นการถามนะครับ ซึ่งผมก็ซาบซี้งในพระสูตรที่มีพระเถระมาทูลถาม หรือเทวดามาทูลถาม เทวดาที่ท่านมีความเข้าใจพระธรรมอย่างลึกซึ้ง ท่านก็มาทูลถามนะครับ ท่านก็เป็นพระอริยะกันเป็นส่วนมาก
เพราะฉะนั้น ท่านก็มีปฏิภาณะจริงๆ ที่จะถาม แล้วเราก็เกิดประโยชน์จนถึงทุกวันนี้ ที่เราได้ฟังที่มีพระอริยะทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระเถระ พระเถรี อุบาสก อุบาสิกา หรือแม้กระทั่งทวยเทพ เทวดา ผู้อริยะทั้งหลายก็มาทูลถาม เป็นปฏิภาณะของท่านทูลถามอย่างนี้ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดง
ผมก็ซาบซึ้งนะ เทวดาท่านต้องมีปัญญา โลกอันอะไรหนอแลนำไป อย่างนี้ครับ โอ้โห!! เป็นปฏิภาณะของท่านจริงๆ ครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ที่ อ.คำปั่น ได้กล่าว อ.คำปั่นจะกรุณากล่าวอีกสักครั้งหนึ่งก็ได้นะ ว่า ปุถุชนไม่ถึงปฏิสัมภิทาหรอก แต่ว่าพระอริยะแม้เป็นปกติสาวก อริยสาวก ที่ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศได้ ท่านก็ต้องมีปฏิสัมภิทา ครับ ก็ขอ อ.คำปั่น ได้กล่าว คำ ข้อความ อีกสักนิดหนึ่ง ผมจะกราบเท้าท่านอาจารย์ในช่วงท้ายอีกหน่อยครับ
อ.คำปั่น: ก็มีข้อความใน ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ครับ อันธรรมดาว่า การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมาย แล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่ปุถุชน แต่พระอริยสาวกที่จะได้ชื่อว่า ไม่บรรลุพระปฏิสัมภิทานั้น ย่อมไม่มีเลย ครับ
อ.อรรณพ: แค่นี้ครับท่านอาจารย์ ปุถุชนแม้เป็นกัลยาณปุถุชน แล้วก็เป็นพหูสูตร ฟังเข้าใจ ทรงจำได้ แต่ก็ยังไม่ถึงการแตกฉาน แต่พระอริยะ แม้ไม่ใช่พระอัครสาวก พระมหาสาวก เป็นปกติสาวกนี่ครับ ก็ต้องมีปฏิสัมภิทา กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีปัญญา จะมีปฏิสัมภิทาได้ไหม?
อ.อรรณพ: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ปุถุชนมีความเข้าใจระดับไหน?
อ.อรรณพ: ถ้าเป็นปุถุชนที่เป็นกัลยาณปุถุชนผู้อบรมเจริญสติ อบรมจนกระทั่งถึงวิปัสสนาญาณต้นๆ ก็ยังไม่ถึงปฏิสัมภิทา
ท่านอาจารย์: เพราะเหตุว่า ปัญญายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรม
อ.อรรณพ: อันนี้คือคำตอบชัดเจน ท่านอาจารย์ครับ พระอริยะที่เป็นปกติสาวกที่ท่านก็ไม่ได้ฤิทธฺ์ ไม่ได้อะไรนะครับ ท่านก็ต้องได้ปฏิสัมภิทาดังข้อความตรงนี้คืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: ท่านจะไม่รู้หนทางที่ฟันฝ่ากว่าจะดับกิเลสได้หรือ?
อ.อรรณพ: ไพเราะครับ เพราะฉะนั้น พระอริยะที่จะไม่มีปฏิสัมภิทาไม่มี แม้เป็นปกติสาวก
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความซาบซึ้งอย่างยิ่ง ผมคิดว่า ทุกท่านกับผมเอง วันนี้ผมมีการที่จะใส่ใจ ตั้งใจ ที่จะไตร่ตรองมาก เพราะเป็นความละเอียดลึกซึ้งครับ ก็ต้องกราบเท้าครับไม่รู้จะขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างไรดีที่ทำให้ได้ยินคำเหล่านี้ที่จะสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ที่ดีงามครับ แล้ววันนี้ผมก็แซ่มชื่นมากๆ กับคณะอาจารย์ที่ท่านได้มากราบสนทนากับท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์เกื้อกูลนะครับ เพราะว่า ผมเองก็คิดไม่ถึงว่า อาจารย์ท่านนี้จะมาถามอะไร แล้วท่านอาจารย์จะพูดอะไร เพราะเราก็ไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขณะต่อไป แต่คราวนี้เป็นเหตุปัจจัยที่ดีงามที่ทำให้เกิดการสนทนา ที่ทำให้ได้เข้าใจในวันนี้ครับ ก็กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ กราบยินดีในกุศลคณะอาจารย์ และทุกท่านที่ฟังด้วยดีครับ ต้องฟังซ้ำ ปรารถแล้วปรารถอีกครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


