การรู้การเข้าใจนิรุตติ

 
เมตตา
วันที่  31 พ.ค. 2568
หมายเลข  50066
อ่าน  496

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 154

มหาวรรค

ญาณกถามาติกา

๖๕ -๖๗. อรรถกถา อัตถปฏิสัมภิทาธัมมปฏิสัมภิทา

นิรุตติปฏิสัมภิทาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณุทเทส

ว่าด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔

บัดนี้ เพื่อจะแสดงว่า ปฏิสัมภิทาญาณสำเร็จแก่พระอริยบุคคลทั้งปวงได้ด้วยอานุภาพแห่งอริยมรรคเท่านั้น ท่านจึงยกปฏิสัมภิทาญาณ ๔ มีอรรถปฏิสัมภิทาญาณ เป็นต้น ขึ้นแสดงอีก. ก็ปฏิสัมภิทาญาณเหล่านี้ เป็นสุทธิกปฏิสัมภิทาญาณทั่วไปแก่พระอริยบุคคลทั้งปวง แม้ในเมื่อไม่มีการแตกฉานในปฏิสัมภิทาด้วยกัน, แต่ที่ท่านยกขึ้นแสดงในภายหลัง พึงทราบว่า เป็นปฏิสัมภิทาญาณอันถึงความแตกฉานของผู้มีปฏิสัมภิทาแตกฉานแล้ว นี้เป็นความต่างกันของอรรถวจนะ ทั้ง ๒ แห่งคำเหล่านั้น. หรือญาณที่ท่านแสดงในลำดับมีทุกข์เป็นอารมณ์ และมีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นอรรถปฏิสัมภิทา, ญาณมีสมุทัยเป็นอารมณ์ และมีมรรคเป็นอารมณ์ เป็นธรรมปฏิสัมภิทา, ญาณในโวหารอันแสดงอรรถและธรรมนั้น เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทา, ญาณในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้น เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา, เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านยกสุทธิกปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพื่อจะชี้แจงความแปลกกันแห่งเนื้อความแม้นั้น. ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแลท่านจึงกล่าวให้แปลกกันด้วยนานัตตศัพท์ในภายหลัง, ในที่นี้จึงไม่กล่าวให้แปลกกันเหมือนอย่างนั้น ดังนี้.


อ.อรรณพ: จะเรียน อ.คำปั่น คำว่า นิรุตติ คืออะไร? แล้ว นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความหมายอย่างไรครับ

อ.คำปั่น: โดยความหมาย นิรุตติ ก็คือ ภาษา กับเป็นภาษา แต่ว่า เป็นภาษาที่จะอุปการะเกื้อกูลให้ได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรม ครับ ก็คือจะเป็นในเรื่องของ โวหาระ หรือว่า คำ ครับที่จะเกื้อกูลให้ผู้ฟังได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องในความเป็นจริงของธรรมครับ

เพราะฉะนั้น นิรุตติปฏิสัมภิทา จึงเป็นการแตกฉานใน คำ หรือว่า ใน โวหาระ ที่จะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เกิดความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมครับ ก็อย่างที่ได้กล่าวถึงในเรื่องของผัสสะ ในเรื่องของอายตนะ ผู้ที่จะมีความละเอียดในเรื่องนี้จนถึงแทงตลอด ก็สามารถที่จะเกื้อกูลผู้อื่นให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงได้ครับ

เพราะฉะนั้น โดยความหมายนะครับ อ.อรรณพ ครับ นิรุตติปฏิสัมภิทา ก็คือแตกฉานในภาษา หรือว่าโวหาระที่เกื้อกูลให้ผู้ฟังได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องในความเป็นจริงของธรรม ครับ

อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ การที่ได้รู้อรรถะ คือลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นความรู้เป็นปัญญาที่เป็นประโยชน์แล้วนะครับ แล้วเมื่อรู้เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จึงรู้ว่า ธรรมใดเป็นเหตุ ให้ธรรมใดเกิด ก็เป็นการรู้ธรรม ก็เป็นการรู้อรรถะ รู้ธรรมน ะครับ

แต่ทีนี้ท่านแสดงถึง การรู้การเข้าใจนิรุตติ ครับ ซึ่ง ถ้าโดยสูงสุดโดยที่เป็นความเข้าใจที่ถึงขั้นแตกฉาน ก็เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทา

เพราะฉะนั้น อรรถปฏิสัมภิทา คือการรู้อรรถะแล้วกัน ไม่ต้องเอาปฏิสัมภิทาก็ได้ การรู้อรรถะ การรู้ธรรม ก็เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม และรู้เมื่อธรรมนี่แหละเป็นปัจจัยแก่ธรรมนี้ ก็เป็นธรรมปฏิสัมภืทา ทีนี้นิรุตติก็ไม่ได้เป็นลักษณะของสภาพธรรม เป็นภาษาน ะครับ แต่ พระองค์ก็ทรงแสดงว่า แตกฉานในนิรุตติ ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มี คำ เราสามารถจะรู้อะไรได้ไหม?

อ.อรรณพ: ถ้าไม่มีคำ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะว่า ก็ระลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้บำเพ็ญพระบารมีมาถึง ๒ อสงไขยแสนกัปป์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะบัญญัติคำ หรือกล่าวคำออกมาครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้ารู้นิดๆ หน่อยๆ ไม่ละเอียด จะเข้าใจละเอียดได้ไหม?

อ.อรรณพ: รู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ก็รู้ธรรม รู้คำแปล นี่แหละ นิดๆ หน่อยๆ จะเข้าใจความละเอียดได้ไหม?

อ.อรรณพ: ไม่ได้ครับ เพราะว่า พยัญชนะที่ยังไม่ชัดเจน ก็จะกระทำอรรถะให้ปรากฏไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: แม้แต่ คำว่า ปฏิสัมภิทา ถ้ารู้เพียงคำแปล จะเข้าใจได้ไหม? อรรถปฏิสัมภิทาแปลว่าอะไร? ธรรมปฏิสัมภิทาแปลว่าอะไร?

เพราะฉะนั้น เมื่อความละเอียดของธรรมมีมาก ภาษาที่จะกล่าวถึง ธรรมที่ละเอียด จึงต้องละเอียดขึ้นด้วย

อ.อรรณพ: เริ่มที่จะได้กระจ่างขึ้น แล้วนี่ จึงมีนิรุตติครับ ผมก็นึกถึงระลึกถึงข้อความที่ อ.คำปั่นว่า สมบูรณ์พร้อมด้วย อรรถะ และพยัญชนะ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้า คำนั้น กล่าวว่า สังขารธรรม สังขตธรรม ถ้าไม่เข้าใจ นิรุตติ ว่า ๒ คำนี้ต่างกัน แต่ว่า ๒ คำที่ต่างนี่ แสดงความต่างของธรรม ไม่ใช่พูดเปล่าๆ ให้เป็นคำที่เสียงต่างกัน แต่เป็น คำ ที่แสดงให้รู้ความต่างกันของธรรม

เพราะฉะนั้น จึงต้องมี นิรุตตปฏิสัมภิทา มี คำ ที่จะกล่าวถึงความละเอียดหลากหลายต่างๆ

อ.อรรณพ: ค่อยๆ ไตร่ตรองเข้าใจ นิรุตติปฏิสัมภิทา ตั้งแต่ในขั้นต้นแล้ว ก็สอดคล้องกันว่าสมบูรณ์พร้อมด้วย อรรถะ และพยัญชนะ แต่จะไปสมบูรณ์พร้อมด้วย อรรถะ คือไม่ว่าจะเป็นขั้นเนื้อความ หรืออรรถะ คือลักษณะ สภาวะ ของธรรม ที่มีสภาวะลักษณะที่ปรากฏ นี่ก็ต้องมี นิรุตตินะครับที่จะเข้าใจ คำ ซึ่งเป็นพยัญชนะที่ทำอรรถะให้ปรากฏ

ท่านอาจารย์: และ เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่มีคำจะอธิบาย ก็ไม่เข้าใจใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แต่ เมื่อเข้าใจลึกซึ้ง มีคำที่จะอธิบายความลึกซึ้ง จึงเป็น นิรุตติปฏิสัมภิทา

อ.อรรณพ: ผมก็ได้ระลึกถึงที่ทับขวัญรีสอทร์ มที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง มีท่านผู้ถาม คุณมัชฌิมา ถามเรื่อง เจตนา เราก็ เอ๊ะ!! ตั้งใจ คำนี้จะใช้กับ เอกัคคตา ไหม แล้วถ้าเป็นจงใจนี่ก็เป็นเจตนา แล้ว ขวนขวาย จะใช้กับวิริยะหรือจะใช้กับโน่น ใช้กับนี่ ก็ที่เราคิดว่า จะเป็นคำที่จะอธิบายอะไร แต่ว่าวันนั้นท่านอาจารย์ก็กล่าวเป็นประโยชน์มากเลยว่า ธรรมมีหลายระดับ

แม้ เจตนา นี่ ตั้งใจ ก็ได้ จงใจ ก็เฉพาะเจาะจงขึ้นครับ แล้วจนถึงความขวนขวายนะครับ หรือในพระไตรปิฎก และอรรถกถา บางทีท่านใช้คำ คำเดียวกัน แต่จะอธิบายหลายๆ สภาพธรรม และหรือว่า สภาพธรรมหนึ่ง ก็ใช้หลายๆ คำ คือมีทั้ง ๒ อย่าง คำๆ เดียวนี่ อธิบายอรรถะลักษณะของสภาพธรรมแตกต่างๆ กัน เช่น คำว่า ประคอง บางทีก็ วิริยะ นี่ประคองก็มี หรือ ประคอง ก็เป็นวิตักกะ วิจาระนี่ประคองจากวิตักกะอะไรอย่างนี้ครับ ก็เยอะเลยนะครับ

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ธรรมจริงๆ ไม่มีคำ ธรรมไม่มีคำ มีภาวะลักษณะของธรรมนั้น ไม่มีคำแต่ว่า ถ้าไม่มีคำ ก็ไม่สามารถจะสื่อสารให้เข้าใจภาวะลักษณะของสิ่งที่กำลังมีอยู่ แต่ละหนึ่งๆ ๆ ได้ แต่ว่าความยากของการที่จะกล่าวโดยใช้ภาษา และนิรุตติ นี่ ที่จะอธิบาย ธรรม ซึ่งไม่มีคำ ไม่มีภาษา แต่ต้องเอา คำ เอา ภาษา มากล่าวนี่ครับ บางครั้งความไม่ได้เป็นผู้ที่มีความรู้ในนิรุตติ หรือเป็นผู้ที่ยังไม่ได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นในนิรุตติ จนไปถึงแตกฉานในนิรุตตินี่ ก็เลยงวงงงว่า สภาพธรรมอันนี้ๆ จะเอาคำอะไร เหมือนว่า เราก็ตั้งใจ ก็ต้องเป็นธรรมนี้ จงใจก็ต้องเป็นธรรมนี้ ประคองจะเป็นอะไร พอไปอ่านในภาษามาก็ โอ้ ประคองนี่ อธิบายหลายๆ เจตสิกเลยอะไรอย่างนี้

ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ตรงนี้อีกสักนิดครับ จริงๆ ท่านอาจารย์ก็กล่าวมาแล้ว แต่ว่า นี่คือเพื่อประโยชน์ที่จะอาศัยภาษา นิรุตตินี่ เป็นไปเพื่อเข้าใจอรรถะ และเข้าใจธรรม กราบเท้าท่านอาจารย์เพิ่มครับ

ท่านอาจารย์: เข้าใจคำว่า ธรรม ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: เข้าใจคำว่า ธรรม ครับ

ท่านอาจารย์: และ ธรรมที่เกิด ก็ต้องมี ปัจจัย ที่จะทำให้ธรรมนั้นเกิด อาศัยปัจจัยนั้นๆ ทำให้ธรรมนั้นเกิดเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหม?

อ.อรรณพ: เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: นี่คือ สังขารธรรม ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดเป็น สังขารธรรมใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้ว สังขตธรรม คืออะไร?

อ.อรรณพ: สังขตธรรม ก็คือธรรมที่เกิดแล้วดับครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แค่คำว่า ธรรมที่เกิดแล้วดับเข้าใจไหม?

อ.อรรณพ: ก็เข้าใจว่า เมื่อธรรมนั้นเกิดแล้ว ก็ต้องดับ

ท่านอาจารย์: หมายเฉพาะสังขารธรรมที่เกิดแล้ว จึงเป็นสังขตธรรม

อ.อรรณพ: ใช่ครับ ท่านจึงใช้ ๒ คำครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่เข้าใจ นิรุตติ อย่างนี้ จะรู้ความต่างไหม?

อ.อรรณพ: ไม่รู้ความต่างครับ ก็นึกว่า เหมือนๆ กันหมด

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สังขตธรรม ก็คือสังขารธรรม สังขารธรรมก็เป็นสังขตธรรม แต่ต่างกันตรงไหน?

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ก็ยกตัวอย่าง สังขารธรรม กับสังขตธรรม ผมก็คิดถึงแต่ก่อนเคยมีผู้ที่ได้ศึกษาธรรม แต่ท่านก็ยังไม่ได้เข้าใจความละเอียด แม้จะเคยเป็นผู้บรรยาย เป็นผู้เป็นอาจารย์สอนธรรม ก็กล่าวถึง อกุศล ๙ กอง ซึ่งแต่ละกองก็มีคำตั้งแต่ อาสวะ โอฆะ โยฆะ อะไรต่ออะไรนี่ครับจนไปถึงกิเลส ท่านผู้นั้นซึ่งบัดนี้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว ท่านก็ไปทางไปแสดงของท่านไป ท่านก็บอกว่า นี่ อกุศลธรรม ๙ กอง อะไรนี่ ก็เหมือนๆ กันหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสคำเหล่านี้ แต่ทุกๆ ก็เหมือนกันหมด ก็เหมือนว่า จะไม่ได้เข้าใจใน คำ ที่แตกต่างไป อาสวะ โอฆะ โยฆะ นี่โดยสภาพธรรมเป็นอย่างเดียวกัน แต่อาการเป็นไปอะไรอย่างนี้ ท่านก็ไม่ได้สนใจ ก็เห็นเลยครับว่า นี่คือไม่ได้เข้าใจในนิรุตติ ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างนี่ชัด และเข้าใจได้เป็นเบื้องต้นว่า สังขารธรรม ธรรมที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็เมื่ออาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิด เกิดแล้วก็ต้องดับจึงเป็นสังขตธรรม

เพราะฉะนั้น ก็เลยได้ประโยชน์จากพยัญชนะทั้ง ๒ เพิ่มขึ้นครับ อันนี้ก็เห็นคุณค่าของนิรุตติครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่แค่นั้นนะ แต่ต้องเดี๋ยวนี้ เราพูดถึง โลภะ เป็นสังขารธรรม เกิดหรือเปล่า? ถ้ายังไม่เกิด ก็ไม่ใช่สังขตธรรม

อ.อรรณพ: ครับ ต้องเป็นสิ่งที่กำลังเกิดเดี๋ยวนี้

ท่านอาจารย์: คือปรุงแต่งแล้วเกิด เห็นไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: ขณะนั้น

อ.อรรณพ: ปรุงแต่งแล้วเกิดในขณะนั้น ครับ จึงจะใกล้ชิดสิ่งที่มีจริงๆ ๆ แล้วก็เป็นสังขารธรรมปรุงแต่ง แล้วก็เป็นสังขตธรรม คือเมื่ออาศัยปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด เกิดแล้วก็ต้องดับ เป็นสังขตธรรม

นี่คือ ความสำคัญของนิรุตติ เพราะฉะนั้น พระอริยะทั้งหลายท่านจึงมี นิรุตติปฏิสัมภิทา

ขอเชิญอ่านได้ที่..

นิรุตติปฏิสัมภิทา [อุฏฐานสูตร]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ