มูลเหตุแห่งความวิวาท ๖ อย่าง [สามคามสูตร]
มูลเหตุแห่งความวิวาท ๖ อย่าง [สามคามสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 80
มูลเหตุแห่งความวิวาท ๖ อย่าง
[๕๕] ดูก่อนอานนท์ มูลเหตุแห่งความวิวาทนี้มี๖ อย่าง ๖ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนอานนท์
(๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มักโกรธ มีความผูกโกรธ ภิกษุที่เป็นผู้มักโกรธ มีความผูกโกรธนั้น ย่อมไม่มีความเคารพ ไม่มีความยําเกรงแม้ในพระศาสดา แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์อยู่ ทั้งไม่เป็นผู้ทําให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุที่ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยําเกรง แม้ในพระศาสดาแม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์อยู่ ทั้งไม่เป็นผู้ทําให้บริบูรณ์ในสิกขานั้นย่อมก่อความวิวาทให้เกิดในสงฆ์ซึ่งเป็นความวิวาท มีเพื่อไม่เกื้อกูลแก่ชนมากไม่ใช่สุขของชนมาก ไม่ใช่ประโยชน์ของชนมาก เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ดูก่อนอานนท์ ถ้าหากพวกเธอพิจารณาเห็นมูลเหตุแห่งความวิวาทเช่นนี้ในภายในหรือในภายนอก พวกเธอพึงพยายามละมูลเหตุแห่งความวิวาทอันลามกนั้นเสียในที่นั้น ถ้าพวกเธอพิจารณาไม่เห็นมูลเหตุแห่งความวิวาทเช่นนี้ในภายในหรือในภายนอก พวกเธอพึงปฏิบัติไม่ให้มูลเหตุแห่งความวิวาทอันลามกนั้นแล ลุกลามต่อไปในที่นั้น การละมูลเหตุแห่งความวิวาทอันลามกนี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการเช่นนี้ ความไม่ลุกลามต่อไปของมูลเหตุแห่งความวิวาทอันลามกนี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการเช่นนี้.
[๕๖] ดูก่อนอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
(๒) ภิกษุเป็นผู้มีความลบหลู่ มีความตีเสมอ ... .
(๓) ภิกษุเป็นผู้มีความริษยา มีความตระหนี่ ... .
(๘) ภิกษุเป็นผู้โอ้อวด เป็นผู้มีมายา ... .
(๕) ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิด ... .
(๖) ภิกษุเป็นผู้ถือความเห็นเอาเอง มีความเชื่อถือผิวเผิน มีความถือรั้น สละคืนได้ยาก ภิกษุที่เป็นผู้มีความเห็นเอาเอง มีความเชื่อถือผิวเผินมีความถือรั้น สละคืนได้ยากนั้น ย่อมไม่มีความเคารพ ไม่มีความยําเกรงแม้ในพระศาสดา แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์อยู่ ... ย่อมมีได้ด้วยอาการเช่นนี้ ความไม่ลุกลามต่อไปของมูลเหตุแห่งความวิวาทอันลามกนี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการเช่นนี้ ดูก่อนอานนท์ เหล่านี้แล มูลเหตุแห่งความวิวาท ๖ อย่าง.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 624
๖. วิวาทมูลสูตร
ว่าด้วยมูลเหตุแห่งการวิวาท ๖ ประการ
[๓๐๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มูลเหตุแห่งการวิวาท ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มักโกรธ ผูกโกรธไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดย่อมเป็นผู้มักโกรธ ผูกโกรธไว้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงแม้ในพระศาสดา ... แม้ในพระธรรม ... แม้ในพระสงฆ์ เป็นผู้ไม่ทำให้บริบูรณ์แม้ในสิกขา ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ในพระศาสดา ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ย่อมก่อการวิวาทให้เกิดขึ้นในสงฆ์ ซึ่งเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล แก่ชนหมู่มาก เพื่อสิ่งไม่เป็นสุขแก่ชน หมู่มาก เพื่อความฉิบหาย เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่ชนหมู่มาก เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายพึง พิจารณาเห็น ซึ่งมูลเหตุแห่งการวิวาท เห็นบาปนั้น ในภายใน หรือภายนอกไซร้ เธอทั้งหลาย พึงพยายามเพื่อละมูลเหตุ แห่งการวิวาท ที่เป็นบาปนั้นเสีย ถ้าเธอทั้งหลาย ไม่พึงพิจารณาเห็น ซึ่งมูลเหตุแห่งการวิวาท เห็นบาปนั้น ในภายในหรือ ภายนอกไซร้ เธอทั้งหลาย พึงปฏิบัติเพื่อไม่ให้มูลเหตุ แห่งการวิวาท เห็นบาปนั้น ครอบงำต่อไป การละมูลเหตุแห่งการวิวาท ที่เป็นบาปนั้น (และ) มูลเหตุ แห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้น ไม่ครอบงำต่อไป ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ลบหลู่ ตีเสมอ ฯลฯ เป็นผู้ริษยา มีความตระหนี่ เป็นผู้โอ้อวด มีมารยา เป็นผู้มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิด เป็นผู้มีความถือมั่นทิฏฐิของตน มีความถือรั้น สละความเห็นของตนได้ยาก ภิกษุใด เป็นผู้ถือมั่นทิฏฐิของตน ถือรั้น สละความเห็นของตนได้ยาก ภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่ยำเกรง แม้ในพระศาสดา ... แม้ในพระธรรม ... แม้ในพระสงฆ์ ... ไม่กระทำให้บริบูรณ์ แม้ในสิกขา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระศาสดา ฯลฯ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ย่อมก่อการวิวาท ให้เกิดขึ้นในสงฆ์ ซึ่งเป็นไป เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่ชนหมู่มาก เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความฉิบหาย เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่ชนหมู่มาก เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลาย พึงพิจารณาเห็นมูลเหตุ แห่งการวิวาทเห็นบาปนั้น ในภายในหรือภายนอกไซร้ เธอทั้งหลายพึงพยายาม เพื่อละเหตุแห่งการวิวาท ที่เป็นบาปนั้นเสีย ถ้าเธอทั้งหลาย ไม่พึงพิจารณา เห็นมูลเหตุแห่งการวิวาท เห็นบาปนั้น ในภายในหรือภายนอกไซร้ เธอทั้งหลาย พึงปฏิบัติ เพื่อไม่ให้มูลเหตุ แห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้น ครอบงำต่อไป การละมูลเหตุ แห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้น (และ) มูลเหตุแห่งการวิวาท ที่เป็นบาปนั้น ไม่ครอบงำต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยประการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มูลเหตุแห่งการวิวาท ๖ ประการ นี้แล.
จบวิวาทมูลสูตร ๖
อรรถกถาวิวาทมูลสูตร
พึงทราบวินิจฉัย ในวิวาทมูลสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
มูลเหตุของการวิวาท ชื่อว่า วิวาทมูล.
ผู้ที่ประกอบด้วยความโกรธ มีความเคืองเป็นลักษณะ ชื่อว่า โกธนะ (ผู้มักโกรธ)
ผู้ประกอบด้วยการผูกโกรธ มีการไม่สลัดเวรเป็นลักษณะ ชื่อว่า อุปนาหี (ผูกโกรธ) .
บทว่า อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานํ ความว่า การวิวาทของภิกษุ ๒ รูป ย่อมเป็นไป เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ถามว่า เป็นไปได้อย่างไร? ตอบว่า (เป็นไปได้อย่างนี้ คือ) เมื่อภิกษุ ๒ รูปวิวาทกัน อันเตวาสิกของท่านทั้งสองนั้น ในวัดนั้นก็จะวิวาทกัน ภิกษุณีสงฆ์ผู้รับโอวาทของภิกษุเหล่านี้ ก็จะวิวาทกัน เหมือนในคัมภีร์โกสัมพีขันธกะ
ต่อจากนั้น อุปัฏฐากของท่านเหล่านั้น ก็จะวิวาทกัน ต่อมาอารักขเทวดาของมนุษย์ทั้งหลาย ก็จะแยกกันเป็นสองฝ่าย
อารักขเทวดาของฝ่ายพระธรรมวาที ก็จะเป็นเช่นนั้น คือ เป็นข้างฝ่ายพระธรรมวาที ของฝ่ายพวกอธรรมวาที ก็จะเป็นพวกอธรรมวาที.
ต่อจากนั้น ภุมมเทวดาผู้เป็นมิตร ของอารักขเทวดาทั้งหลาย ก็จะแตกกัน.
แต่ (ถ้า) ฝ่ายอธรรมวาที มีจำนวนมากกว่า ฝ่ายธรรมวาที
ต่อแต่นั้น เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ก็จะยึดเอาสิ่งที่คนจำนวนมากยึดถือ
จะพากันละทิ้งธรรม ยึดเอาอธรรมเป็นจำนวนมาก ทีเดียว.
เทวดา และมนุษย์เหล่านั้น เมื่ออยู่อย่างยึดเอาอธรรมเป็นหลัก ก็จักเกิดในอบาย
การวิวาทของภิกษุทั้งสองรูป ย่อมเป็นไป เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนา ฉะนี้.
บทว่า อชฺฌตฺตํ วา ได้แก่ บริษัทภายในของท่านทั้งหลาย.
บทว่า พหิทฺธา ได้แก่ บริษัทของคนเหล่าอื่น.
ผู้ที่ประกอบไปด้วยการลบหลู่ ที่มีการลบล้างคุณของผู้อื่นเป็นลักษณะ ชื่อว่า มักขี.
ผู้ที่ประกอบไปด้วยการตีเสมอ มีการจักคู่เป็นลักษณะ ชื่อว่า ปฬาสี (ตีเสมอ) .
ผู้ที่ประกอบไปด้วยความริษยา ที่มีความริษยาในสักการะเป็นต้น ของผู้อื่นเป็นลักษณะ ชื่อว่า อิสฺสุกี (ริษยา) .
ผู้ที่ประกอบไปด้วยความตระหนี่ทั้งหลาย มีความตระหนี่ที่อยู่เป็นต้น ชื่อว่า มัจฉรี (ผู้ตระหนี่)
ผู้ที่โอ้อวด ชื่อว่า สฐะ
ผู้ที่ปกปิดสิ่งที่ทำไว้แล้ว ชื่อว่า มายาวี.
ผู้ทุศีล ผู้ปรารถนาความยกย่องที่ไม่มีอยู่ ชื่อว่า ปาปิจฺโฉ (ปรารถนาลามก) .
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิ ได้แก่ นัตถิกวาทีบุคคล อเหตุกวาทีบุคคล อกิริยวาทีบุคคล.
บทว่า สนฺทิฏฺฐิปรามาสี ได้แก่ ผู้ยึดมั่นทิฏฐิของตน นั่นแล.
บทว่า อาธานคฺคาหี ได้แก่ ผู้ยึดมั่น.
บทว่า ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี ได้แก่ เป็นผู้ไม่อาจจะละทิฏฐิ ที่ตนยึดแล้ว.
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสวัฏฏะไว้อย่างเดียวเท่านั้น.
จบอรรถกถา วิวาทมูลสูตรที่ ๖
องคุตตรนิกายฎฐกถา (มโนรถปูรณี ๓) - หน้าที่ 174 *เล่มที่ ๑๕ ฉกุกนิปาตวณฺณนา หน้า ๑๒๔
ฉฏฺเฐ ฯ
(ในสูตรที่หก)
วิวาทมูลานีติ วิวาทสฺส มูลานิฯ
(คำว่า "วิวาทมูลานิ" แปลว่า รากเหง้าของความวิวาท)
โกธโนติ กุชฺฌนลกฺขเณน โกเธน สมนฺนาคโต ฯ
(คำว่า "โกธโน" หมายถึง ผู้ประกอบด้วยโทสะ มีลักษณะขุ่นเคือง โกรธ)
อุปนาหีติ เวรอปฺปฏินิสฺสคฺคลกฺขเณน อุปนาเหน สมนฺนาคโตฯ
(คำว่า "อุปนาหี" หมายถึง ผู้ผูกเวร มีลักษณะไม่สลัดเวร--เวร"ความมุ่งร้าย")
อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานนฺติ
(วิวาทของภิกษุสองรูป ย่อมเป็นไปเพื่อโทษและทุกข์ของเทวดาและมนุษย์)
ทวินฺนํ ภิกขูน วิวาโท เทวมนุสฺสานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตติ
(ความวิวาทของภิกษุสองรูป ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เกื้อกูลและความทุกข์ของเทวดาและมนุษย์)
โกสมฺพิกกุขนฺธเก วิย ทฺวีสุ ภิกฺขูสุ วิวาทํ อาปนฺเนสุ
(ดังเช่นในคัมภีร์โกสัมพีขันธกะ เมื่อภิกษุสองรูปวิวาทกัน)
ตสฺมึ วิหาเร เตสํ อนฺเตวาสิกา วิวทนฺติ
(ในวิหารนั้น ศิษย์ของท่านทั้งสองก็วิวาทกัน)
เอเตสํ โอวาทํ คณฺหนฺโต ภิกขุนีสงฺโฆ วิวทติฯ
(ภิกษุณีสงฆ์ผู้รับโอวาทจากท่านเหล่านั้นก็วิวาทกัน)
ตโต เตสํ อุปฏฺฐากา วิวทนฺติ อถ มนุสฺสานํ อารกฺขเทวตา เทฺว โกฏฺฐาสา โหนฺติ ฯ
(ต่อจากนั้น อุปัฏฐากของภิกษุเหล่านั้นก็วิวาทกัน แล้วอารักขเทวดาของมนุษย์ทั้งหลายก็แยกออกเป็นสองพวก)
ตถา ธมฺมวาทีนํ อารกุขเทวตา ธมฺมวาทินิโย โหนฺติ อธมฺมวาทีนํ อธมฺมวาทินิโยฯ
(อารักขเทวดาฝ่ายธรรมวาทีย่อมเป็นฝ่ายธรรมวาที ฝ่ายอธรรมวาทีย่อมเป็นฝ่ายอธรรมวาที)
ตโต อารกุขเทวตานํ มิตฺตา ภุมฺมเทวตา ภิชฺชนฺติ เอวํ ปรมฺปราย ยาว พฺรหฺมโลกา ฐเปตฺวา อริยสาวเก สพฺเพ เทวมนุสฺสา เทฺว โกฏฺฐาสา โหนฺติ ฯ
(ต่อมาเทวดาในพื้นดินผู้เป็นมิตรกับเทวดาอารักขาก็แตกกัน ดังนี้เป็นลำดับไปจนถึงพรหมโลก ยกเว้นอริยสาวก เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็แยกเป็นสองพวก)
ธมฺมวาทีหิ ปน อธมฺมวาทิโนว พหุตรา โหนฺติ ฯ
(แต่ฝ่ายอธรรมวาทีมักมีจำนวนมากกว่าฝ่ายธรรมวาที)
ตโต ยํ พหุเกหิ คหิตํ ตํ คจฺฉนฺติ ฯ
(แล้วหมู่ชนทั้งหลายก็ยึดถือสิ่งที่หมู่มากถือกัน)
ธมฺมํ วิสฺสชฺเชวตฺวา พหุตราว อธมฺมํ คณฺหนฺติ ฯ
(พากันละธรรม ถือเอาอธรรมเสียเป็นอันมาก)
เต อธมฺมํ ปุรกฺขตฺวา วิหรนฺตา อปาเย นิพฺพตฺตนฺติ ฯ
(บุคคลเหล่านั้นอยู่อย่างยึดอธรรมไว้เป็นหลัก ย่อมเกิดในอบาย)
เอวํ ทฺวินฺนํ ภิกขูนํ วิวาโท เทวมนุสฺสานํ อหิตาย ทุกขาย โหติ ฯ
(ดังนี้แหละ ความวิวาทของภิกษุสองรูป ย่อมเป็นไปเพื่อโทษและทุกข์ของเทวดาและมนุษย์)
อชฺฌตฺตํ วาติ ตุมฺหากํ อพฺภนฺตรปริสาย ฯ
(คำว่า "อชฺฌัตตํ" หมายถึง บริษัทภายในของพวกท่าน)
พหิทฺธาติ ปเรสํ ปริสาย ฯ
(คำว่า "พหิทฺธา" หมายถึง บริษัทของผู้อื่น)
มกฺขีติ ปเรสํ คุณมกฺขนลกฺขเณน มกฺเขน สมนฺนาคโต ฯ
(คำว่า "มักขี" หมายถึง ผู้ลบหลู่คุณของผู้อื่น)
ปฬาสิติ ยุคคฺคาหลกฺขเณน ปฬาเสน สมนฺนาคโต ฯ
(คำว่า "ปฬาสี" หมายถึง ผู้ตีเสมอ มีลักษณะจับคู่เปรียบเทียบ)
อิสฺสุกีติ ปรสฺส สกฺการาทีนํ อิสฺสายนลกฺขณาย อิสฺสายสมนฺนาคโต ฯ
(คำว่า "อิสสุกี" หมายถึง ผู้มีความริษยาในสักการะของผู้อื่น)
มจฺฉรีติ อาวาสมจฺฉริยาทีหิ สมนฺนาคโต ฯ
(คำว่า "มัจฉรี" หมายถึง ผู้ตระหนี่ในเรื่องที่อยู่เป็นต้น)
สโฐติ เกราฏิโก ฯ
(คำว่า "สโฐ" หมายถึง ผู้โอ้อวด เสแสร้ง)
มายาวีติ กตปฏฺิจฺฉาทโก ฯ
(คำว่า "มายาวี" หมายถึง ผู้ปกปิดความผิดของตน)
ปาปิจฺโฉติ อสนฺตสมฺภาวนิจฺฉโก ทุสฺสีโล ฯ
(คำว่า "ปาปิจโฉ" หมายถึง ผู้ปรารถนาความยกย่องโดยไม่เหมาะสม เป็นผู้ทุศีล)
มิจฺฉาทิฏฺฐีติ นตฺถิกวาที อเหตุกวาที อกิริยวาที ฯ
(คำว่า "มิจฉาทิฏฐิ" ได้แก่ ผู้มีความเห็นผิดว่า ไม่มีผลกรรม ไม่มีเหตุ ไม่มีการกระทำ)
สนฺทิฏฺฐิปรามาสีติ สยํ ทิฏฐเมว ปรามาสติ ฯ
(คำว่า "สันทิฏฐิปรามาสี" หมายถึง ผู้ยึดถือความเห็นของตนเองอย่างมั่นคง)
อาทานคฺคาหีติ ทฬฺหคฺคาหี ฯ
(คำว่า "อาทานคาหี" หมายถึง ผู้ยึดถือมั่น)
ทุปฺปฏินิสฺสคฺคีติ น สกฺกา โหติ คหิตํ วิสฺสชฺชาเปตุํ
(คำว่า "ทุปปฏินิสสคคี" หมายถึง ผู้ไม่สามารถปล่อยวางทิฏฐิที่ยึดถือไว้ได้)
อิมสฺมึ สุตฺเต วฏฺฏเมว กถิตนฺติฯ
(ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเฉพาะวัฏฏะเท่านั้น)
กราบอนุโมทนา



