อะไรเป็นเครื่องผูกพัน ตอนที่ ๑ [สักกปัญหสูตร]

 
wittawat
วันที่  15 พ.ค. 2568
หมายเลข  49943
อ่าน  170

อะไรเป็นเครื่องผูกพัน ตอนที่ ๑ [สักกปัญหสูตร]

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 132
ทรงแก้ปัญหาท้าวสักกะ
[๒๕๕] ท้าวสักกะผู้จอมเทพ ได้รับประทานพระวโรกาสแล้ว ได้ทูลถามปัญหาทีแรกนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เทวดามนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมาก มีอะไรเป็นเครื่องผูกพัน เขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีความคับแค้นใจ มีความหวังอยู่ว่า ขอพวกเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรเป็นต้น อยู่เถิด ดังนี้แต่ไฉนยังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีข้าศึก มีความคับแค้นใจ เป็นไปกับด้วยเวรอยู่อีกเล่า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพยากรณ์แก่ท้าวเธอว่า ขอถวายพระพรเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมาก มีความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูกพัน เขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีความคับแค้นใจ หวังอยู่ว่า ขอเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรเป็นต้นอยู่เถิด ดังนี้ แต่ก็ยังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีข้าศึก มีความคับแค้นใจ เป็นไปกับด้วยเวรอยู่.

ท้าวสักกะผู้จอมเทพ มีพระหฤทัยชื่นชม เพลิดเพลินอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อพยากรณ์นั้น ย่อมเป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อพยากรณ์นั้นย่อมเป็นอย่างนั้น ข้าพระองค์ข้ามพ้นข้อสงสัยในข้อนั้นเสียได้แล้ว หมดความสงสัยที่จะพึงกล่าวว่าอะไรๆ แล้วเพราะได้สดับปัญหาพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 173
บทว่า มีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ คือ มีอะไรเป็นเครื่องผูกได้แก่เป็นผู้ถูกเครื่องผูกอะไรผูกเอาไว้. บทว่า กายมาก คือ ชนมาก.
บทว่า ไม่มีเวร คือไม่มีความกระทบกระทั่ง.
บทว่า ไม่มีอาชญา คือพ้นจากอาชญาคืออาวุธ และอาชญาคือธนู.
บทว่า ไม่มีข้าศึก คือไม่มีศัตรู.
บทว่า ไม่มีความพยาบาท ได้แก่ปราศจากโทมนัส.
บทว่า พึงเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่ คือ ย่อมให้ทาน ย่อมทําการบูชาแล้วปรารถนาว่า โอ้หนอ ขอให้พวกเราพึงเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่กับใครๆ เถิด
ขอให้พวกเราพึงไม่ก่อความกําเริบให้เกิดในใครๆ แล้วใช้สอยของที่ถือเอาด้วยนิ้วมือพร้อมกับคนหนึ่งพันเถิด.
บทว่า และย่อมมีแก่พวกเขาด้วยประการฉะนี้ คือและก็ความปรารถนานี้ย่อมมีแก่พวกเขาด้วยประการฉะนี้.
บทว่า และก็เมื่อเป็นเช่นนั้น คือเมื่อความปรารถนาอย่างนั้นแม้มีอยู่.
บทว่า มีริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องประกอบเข้าไว้ คือ ความริษยามีความสิ้นไปแห่งสมบัติของอื่นเป็นลักษณะ
และความตระหนี่อันมีความทนไม่ได้ต่อความที่สมบัติของตนเป็นของทั่วไปกับพวกคนเหล่าอื่นเป็นลักษณะ.
ชื่อว่า ผู้มีความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องประกอบเข้าไว้ เพราะความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องประกอบเข้าไว้ของพวกเขา.
นี้เป็นความย่อในที่นี้.
ส่วนควาษริษยาและความตระหนี่อย่างพิสดาร ได้กล่าวไว้เสร็จแล้วในอภิธรรม.
สําหรับในเรื่องความตระหนี่นี้ เพราะความตระหนี่ที่อยู่ สัตว์ไม่ว่าเป็นยักษ์หรือเป็นเปรตต่างก็เที่ยวใช้ศีรษะทูนขยะของที่อยู่นั้นเอง.
เพราะความตระหนี่ตระกูล เมื่อบุคคลเห็นผู้ที่กําลังทําทานเป็นต้นแก่ผู้อื่นในตระกูลนั้นก็คิดว่า ตระกูลของเรานี้แตกแล้วหนอ ถึงกับกระอักเลือดบ้าง
ถ่ายท้องบ้างไส้ขาดเป็นท่อนน้อยใหญ่ทะลักออกมาบ้าง.
เพราะความตระหนี่ลาภ ผู้เกิดตระหนี่ในลาภของสงฆ์หรือของหมู่ บริโภคเหมือนบริโภคของส่วนบุคคลเกิดเป็นยักษ์บ้าง เปรตบ้าง งูเหลือมขนาดใหญ่บ้าง.
ก็เพราะความตระหนี่วรรณแห่งสรีระและวรรณแห่งคุณ และเพราะความตระหนี่การศึกษาเล่าเรียนบุคคลจะกล่าวชมแต่คุณของตัวเองเท่านั้น หากล่าวชมคุณของคนเหล่าอื่น
ไม่กล่าวอยู่แต่โทษนั้นๆ ว่า คนนี้ มีดีอะไร และจะไม่ให้การศึกษาเล่าเรียนอะไรๆ แก่ใครๆ พูดแต่โทษว่า คนนี้ขี้เหร่ และบ้าบอ.
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความตระหนี่ที่อยู่ เขาย่อมไหม้ในเรือนโลหะ.
ด้วยความตระหนี่ตระกูล เขาย่อมเป็นผู้มีลาภน้อย. ด้วยความตระหนี่ลาภ เขาย่อมเกิดในคูถนรก. ด้วยความตระหนี่วรรณ เมื่อเกิดในภพ จะไม่มีวรรณ. ด้วยความตระหนี่ธรรม เขาย่อมเกิดในนรกขี้เถ้า.
ก็แล ความริษยาและความตระหนี่ที่เป็นเครื่องประกอบ (สัตว์ไว้ในภพ) นี้ จะละได้ก็ด้วยโสดาปัตติมรรค.
ตลอดเวลาที่ยังละมันไม่ได้
เทวดาและมนุษย์ แม้ปรารถนาความเป็นผู้ไม่มีเวรเป็นต้นอยู่ก็ตาม ก็หาได้รอดพ้นไปจากเวรเป็นต้นไม่เลย.
บทว่า ข้าพระองค์ข้ามความสงสัยในปัญหานี้ได้แล้ว ความว่า ท้าวสักกะตรัสว่า ในปัญหานี้ เพราะฟังพระดํารัสของพระองค์ ข้าพระองค์จึงข้ามความสงสัยได้แล้ว.
ท้าวสักกะไม่ได้ทรงแสดงความที่ทรงข้ามความสงสัยได้ด้วยอํานาจมรรค.
คําว่า ความสงสัยที่ต้องถามว่าอย่างไรๆ ปราศไปแล้ว คือความสงสัย แม้นี้ว่า อย่างไรนี้นี้อย่างไร ปราศไปแล้ว.


ทีฆนิกายฏฺฐกถา (สุมงฺคลวิลาสินี๒) - หน้าที่ 544
ปญฺหเวยฺยากรณวณฺณนา
กึสญฺโญชนาติ กึพนฺธนา เกน พนฺธเนน พนฺธา (๑) หุตฺวา ปุถุกายาติ พหุชนา ฯ
(บทว่า มีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้ คือ มีอะไรเป็นเครื่องผูก? ได้แก่ ผู้ที่ถูกผูกด้วยเครื่องผูกอะไร? บทว่า กายมาก คือ ชนมาก.)
อเวราติ อปฏิฆา ฯ
(บทว่า ไม่มีเวร คือ ไม่มีความกระทบกระทั่ง.)
อทณฺฑาติ อาวุธทณฺฑธนุทณฺฑา วิมุตฺตา ฯ
(บทว่า ไม่มีอาชญา (มาจาก ทัณฑะ "ท่อนไม้,อาวุธ,การลงโทษ") คือพ้นจากอาชญาคืออาวุธ และอาชญาคือธนู.)
อสปตฺตาติ อปจฺจตฺถิกา ฯ
(บทว่า ไม่มีข้าศึก คือไม่มีศัตรู.)
อพฺยาปชฺฌาติ วิคตโทมนสฺสา ฯ
(บทว่า ไม่มีความพยาบาท ได้แก่ปราศจากโทมนัส. (วิคต "ปราศจาก,พ้นไปจาก"))
วิหเรมุ อเวริโนติ อโห วต เกนจิ สทฺธึ อเวริโน วิหเรยฺยาม ฯ
(บทว่า พึงเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่ คือ ย่อมให้ทาน ย่อมทําการบูชา แล้วปรารถนาว่า โอ้หนอ ขอให้พวกเราพึงเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่กับใครๆ เถิด)
กตฺถจิ โกปํ น อุปฺปาเทตฺวา อจฺฉราย คหิตกํ ชงฺฆสหสฺเสน สทฺธึ ปริภุญฺเชยฺยามาติ ทานํ ทตฺวา ปูชํ กตฺวา จ ปตฺถยนฺติฯ
(ขอให้พวกเราพึงไม่ก่อความโกรธต่อใครๆ แล้วพึงได้ใช้สอยสิ่งของที่ถือด้วยนิ้วมือ ร่วมกับหมู่ชนถึงพันคน)
อิติ จ เนสํ โหตีติ เอวญฺจ เนสํ อยํ ปตฺถนา โหติฯ
(บทว่า และย่อมมีแก่พวกเขาด้วยประการฉะนี้ คือ และความปรารถนานี้ก็ย่อมมีแก่พวกเขาด้วยประการฉะนี้.)
อถ จ ปนาติ เอวํ ปตฺถนาย สติปิฯ
(บทว่า และก็เมื่อเป็นเช่นนั้น คือเมื่อความปรารถนาอย่างนั้นแม้มีอยู่.)
อิสฺสามจฺฉริยสญฺโญชนาติ ปรสมฺปตฺติขียนลกฺขณา อิสฺสา ฯ
(บทว่า ‘มีริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องประกอบ’ หมายถึง ริษยา (อิสฺสา) มีลักษณะคือ ความขุ่นข้องใจ (ขียน"ความขุ่นข้องใจ") เมื่อเห็นผู้อื่นได้สมบัติ (ปรสมฺปตฺติ "สมบัติของผู้อื่น") )
อตฺตสมฺปตฺติยา ปเรหิ สาธารณภาวอสหนลกฺขณํ มจฺฉริยํ จ ฯ
(และความตระหนี่ มีลักษณะคือความไม่สามารถทนได้ที่สมบัติของตนจะต้องเป็นของสาธารณะร่วมกับผู้อื่น)
อิสฺสามจฺฉริยํ สญฺโญชนํ เอเตสนฺติ อิสฺสามจฺฉริยสญฺโญชนา ฯ
(ชื่อว่า ผู้มีความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูก คือสัญโยชน์ เพราะความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูกของพวกเขา.)
อยเมตฺถ สงฺเขโป ฯ
(นี้เป็นความย่อในที่นี้.)
วิตฺถาเรน ปน อิสฺสามจฺฉริยานิ อภิธมเมฺ วุตฺตาเนว ฯ
(ส่วนความริษยาและความตระหนี่อย่างพิสดาร ได้กล่าวไว้เสร็จแล้วในอภิธรรม.)
อาวาสมจฺฉริเยน ปเนตฺถ ยกโขฺ วา เปโต วา หุตฺวา ตสฺเสว อาวาสสฺส สงฺการํ สีเสน อุกฺขิปิตฺวา วิจริฯ
(แต่ในเรื่องความตระหนี่ที่อยู่อาศัยนี้ (มีเรื่องเล่าว่า) ยักษ์หรือเปรตตนใดตนหนึ่ง ครั้นเป็นแล้ว (หุตฺวา) ก็เที่ยวไปด้วยการยกเอาขยะของที่อยู่อาศัยนั้นด้วยศีรษะ)
กุลมจฺฉริเยน ตสฺมึ กุเล อญฺเญสํ ทานาทีนิ กโรนฺเต ทิสฺวา ภินฺนํ วติทํ กุลํ มมาติ จินฺตยโต โลหิตํปิ มุขโต อุคฺคจฺฉติฯ กุจฺฉิวิเรจนํปิ โหติฯ
(เพราะความตระหนี่ตระกูล เมื่อบุคคลเห็นผู้ที่กําลังทําทานเป็นต้น แก่ผู้อื่นในตระกูลนั้น ก็คิดว่า "ตระกูลของเรานี้แตกแล้วหนอ" ถึงกับกระอักเลือดบ้าง)
อนฺตานิปิ ขณฺฑาขณฺฑานิ
(ถ่ายท้องบ้าง ไส้ขาดเป็นท่อนน้อยใหญ่ทะลักออกมาบ้าง)
หุตฺวา นิกฺขมนฺติฯ ลาภมจฺฉริเยน สํฆสฺส วา คณสฺส วา สนฺตเก ลาเภ มจฺฉรายิตฺวา ปุคฺคลิกปริโภคํ (๓) วิย ปริภุญฺชิตฺวา ยกฺโข วา เปโต วา มหาอชคโร วา หุตฺวา นิพฺพพตฺติฯ (๔)
(เพราะความตระหนี่ลาภ ผู้เกิดตระหนี่ในลาภของสงฆ์หรือของหมู่ บริโภคเหมือนของส่วนตัว ย่อมเกิดเป็นยักษ์บ้าง เปรตบ้าง งูเหลือมขนาดใหญ่บ้าง)
สรีรวณฺณคุณวณฺณมจฺฉริเยน ปน ปริยตฺติธมฺมมจฺฉริเยน จ อตฺตโนว วณฺณํ วณฺเณติ น ปเรสํ วณฺณํฯ
(ก็เพราะความตระหนี่วรรณแห่งสรีระและคุณ และความตระหนี่ธรรมการศึกษา ย่อมกล่าวสรรเสริญแต่ตนเอง ไม่กล่าวสรรเสริญคนอื่น)
กึวณโณฺ เอโสติ ตํ ตํ โทสํ วทนฺโต ปริยตฺติญฺจ กสฺสจิ กิญฺจิ อเทนฺโต ทุพฺพณฺโณ เจว เอฬมูโค จ โหตีติฯ (๕)
(มัวแต่กล่าวโทษว่า คนนี้ มีดีอะไร ไม่ให้การศึกษาเล่าเรียนใดๆ แก่ใครเลย พูดแต่โทษว่า คนนี้มีวรรณะไม่งาม และโง่เขลา)
อปิจ อาวาสมจฺฉริเยน โลหเคเห ปจฺจติฯ
(อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความตระหนี่ที่อยู่ เขาย่อมไหม้ในเรือนโลหะ)
กุลมจฺฉริเยน อปฺปลาโภ โหติฯ
(ด้วยความตระหนี่ตระกูล เขาย่อมเป็นผู้มีลาภน้อย)
ลาภมจฺฉริเยน คูถนิรเย นิพฺพตฺตติฯ
(ด้วยความตระหนี่ลาภ เขาย่อมเกิดในคูถนรก)
วณฺณมจฺฉริเยน ภเว นิพฺพตฺตสฺส วณฺโณ นาม น โหติฯ
(วรรณะที่เรียกว่าวรรณะ ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่เกิดในภพ ด้วยผลของความตระหนี่ในวรรณะ)
ธมฺมมจฺฉริเยน กุกฺกุฬนิรเย นิพฺพตฺตติฯ
(ด้วยความตระหนี่ธรรม เขาย่อมเกิดในนรกขี้เถ้า)
อิทํ ปน อิสฺสามจฺฉริยสญฺโญชนํ โสตาปตฺติมคฺเคน ปหียติฯ
(ก็แล ความริษยาและความตระหนี่ที่เป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพนี้ จะละได้ก็ด้วยโสดาปัตติมรรค)
ยาว ตํ น ปหียติฯ
(ตลอดเวลาที่ยังละมันไม่ได้)
ตาว เทวมนุสฺสา อเวรตาทีนิ ปตฺถยนฺตาปิ เวราทีหิ น ปริมุจฺจนฺติเยว ฯ
(เทวดาและมนุษย์ แม้ปรารถนาความไม่มีเวรเป็นต้น ก็หาได้รอดพ้นไปจากเวรเป็นต้นไม่เลย)
ติณฺณา เมตฺถ กงฺขาติ เอตสฺมึ ปเญฺห มยา ตุมฺหากํ วจนํ สุตฺวา กงฺขา ติณฺณาติ วทติฯ
(บทว่า ข้าพระองค์ข้ามความสงสัยในปัญหานี้ได้แล้ว หมายความว่า ท้าวสักกะตรัสว่า ในปัญหานี้ เพราะฟังพระดำรัสของพระองค์ ข้าพระองค์จึงข้ามความสงสัยได้แล้ว)
น มคฺควเสน ติณฺณกงฺขตํ ทีเปติฯ
(ท้าวสักกะไม่ได้ทรงแสดงว่าทรงข้ามความสงสัยได้ด้วยอำนาจมรรค)
วิคตา กถํกถาติ อิทํ กถํ อิทํ กถนฺติ อยํปิ กถํกถา วิคตา ฯ
(คำว่า ความสงสัยที่ต้องถามว่า อย่างไรๆ ปราศไปแล้ว คือความสงสัยแม้นี้ว่า อย่างไร นี้ๆ อย่างไร ปราศไปแล้ว)


[สรุป]
>> อะไรเป็นเครื่องผูกพัน?
>> ทรงแสดงว่า ความริษยาและความตระหนี่ เป็น เครื่องผูกพัน คือ เครื่องพันธนาการ เป็นสัญโยชน์ ที่ผูกสัตว์ไว้ในภพ ไว้ในสังสารวัฏฏ์ (การเดินทางที่วนเวียนซ้ำๆ) ซึ่งหมายถึง การเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม มีการเกิด การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส การหลับ การตาย เป็นต้น ที่มีอยู่จริงขณะนี้
>> ความริษยาและความตระหนี่ เป็นนามธรรม เป็นกิเลสที่เป็นปัจจัยให้ยังมีความกระทบกระทั่ง (เวร), การประทุษร้ายด้วยอาวุธต่างๆ (อาชญา), ศัตรู (สปตฺตา) และความพยาบาท ความทุกข์ใจ เกิดขึ้นได้
>> ความริษยา (อิสสา) หมายถึง ความทนไม่ได้ถ้าเห็นบุคคลอื่นได้สมบัติ
>> ความตระหนี่ (มัจฉริยะ) หมายถึง ความทนไม่ได้ถ้าสมบัติของตนจะมีผู้อื่นร่วมใช้สอย
>> ความตระหนี่ (มัจฉริยะ) มี ๕ ประเภท ได้แก่ อาวาสมจฺฉริย กุลมจฺฉริย ลาภมจฺฉริย วณฺณมจฺฉริย ธมฺมมจฺฉริย
>> อาวาสมัจฉริยะ หมายถึง ความหวงในที่อยู่อาศัย การทนไม่ได้ที่ผู้อื่นมาใช้สอยที่อยู่อาศัยของตน เช่น ยักษ์ยกขยะในที่อยู่นั้น (เข้าใจว่าเป็นการประกาศพื้นที่หรือเขตแดนของตน)
>> โทษของความตระหนี่ในที่อยู่อาศัย ถ้าประพฤติทุจริตกรรม ย่อมไปเกิดในนรกเรือนโลหะ
>> กุลมัจฉริยะ หมายถึง ความหวงในตระกูล ทนไม่ได้ถ้าบุคคลในตระกูลของตนให้ทาน หรือเอื้อเฟื้อประโยชน์แก่บุคคลอื่น เป็นต้น ก็คิดว่าตระกูลตนเองแตกแล้ว
>> โทษของความตระหนี่ในตระกูล ทรงแสดงว่า ทำให้เกิดเป็นบุคคลผู้มีลาภน้อย
>> ลาภมัจฉริยะ หมายถึง ความหวงในลาภหรือสิ่งของที่ได้มา และถ้าเข้าใจผิดว่าของส่วนรวมที่ได้มาเป็นของตน และประพฤติทุจริตก็ยิ่งมีโทษ
>> โทษของความตระหนี่ในลาภ ท่านแสดงว่า ถ้าพระภิกษุเข้าใจว่าลาภที่ได้มาของสงฆ์ เป็นของตนและบริโภคใช้สอยเหมือนของส่วนตัว ย่อมไปเกิดในกำเนิด ยักษ์ เปรต สัตว์ดิรัจฉาน หรือนรกคูถ เป็นต้น
>> วัณณมัจฉริยะ หมายถึง ความตระหนี่ในรูปสมบัติของตน ท่านแสดงว่า ผู้ตระหนี่ในวรรณะ จะไม่กล่าวชมใครเลย เอาแต่โทษบุคคลอื่นว่าคนนั้นรูปร่างหน้าตาไม่ดี
>> โทษของความตระหนี่วรรณ เมื่อเกิดในภพ จะไม่มีวรรณ หมายถึง เป็นบุคคลผู้มีรูปร่างหน้าตาไม่งาม
>> ธัมมมัจฉริยะ หมายถึง ความตระหนี่ในธรรม ผู้ตระหนี่ในธรรม ก็จะไม่กล่าวให้ความรู้แก่บุคคลอื่นเช่นกัน เอาแต่ด่าว่าบุคคลอื่นว่า โง่เขลาเบาปัญญา
>> โทษของทุจริตกรรมจากความตระหนี่ธรรม ทำให้เกิดในนรกขี้เถ้า
>> การอบรมเจริญปัญญา มีการฟังธรรม การระลึกศึกษาสภาพธรรมตามความเป็นจริงตามลำดับขั้น จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบันเท่านั้น ที่ความริษยา และความตระหนี่จะดับไปได้ไม่เกิดขึ้นอีกเลย

กราบอนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ