ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 9 [สัทธัมมปัชโชติกา]

 
wittawat
วันที่  15 พ.ค. 2568
หมายเลข  49947
อ่าน  161

ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 9 [สัทธัมมปัชโชติกา]

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกราบระลึกถึงคุณท่านพระอัครสาวกธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 101

ชื่อว่า ปาสะ เพราะอรรถว่า เป็นดุจบ่วง ด้วยอรรถว่า ผูกไว้, บ่วงแห่งมาร ชื่อว่า มารปาสะ.

ชื่อว่า พฬิสะ เพราะอรรถว่า เหมือนเบ็ด ด้วยอรรถว่า กลืนยาก, เบ็ดแห่งมาร ชื่อว่า มารพฬิสะ.

ชื่อว่า มารวิสัย เพราะอรรถว่า เป็นวิสัยแห่งมาร โดยปริยาย นี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ถูกตัณหาครอบงำแล้ว ย่อมไม่ล่วงพ้นวิสัยของมาร ไปได้ มารย่อมใช้อำนาจเหนือสัตว์เหล่านั้น.

แม่น้ำคือตัณหา ชื่อว่า ตัณหานที ด้วยอรรถว่า ไหลไป.

ข่าย คือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาชาละ ด้วยอรรถว่า ท่วมทับ.

สุนัขทั้งหลาย ที่ผูกไว้แน่น คนนำไปตามปรารถนาได้ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่ตัณหาผูกไว้ ก็ฉันนั้น.

ชื่อว่า คัททละ เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนโซ่ผูกสุนัข ด้วยอรรถ ว่า ผูกไว้แน่น. โซ่ผูกสุนัข คือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาคัททละ.

ทะเลคือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาสมุทร ด้วยอรรถว่า ให้เต็มได้ยาก.

ชื่อว่า อภิชฌา ด้วยอรรถว่า เพ่งเล็ง.

ชื่อว่า โลภะ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องได้ หรือได้เอง หรือสักว่าได้เท่านั้น.

ชื่อว่า มูละ ด้วย อรรถว่า เป็นที่ตั้งแห่งอกุศลทั้งหลายที่ประกอบกัน.

บทว่า วิสตฺติกา ได้แก่ ชื่อว่าซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ .


ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา มหานิทฺเทสวณฺณนา (สทฺธมฺมปชฺโชติกา) - หน้าที่ 58

พนฺธนฏฺเฐน ปาโส วิยาติ ปาโส มารสฺส ปาโส มารปาโส ฯ

ทุรุคฺคิลนฏฺเฐน (๑) พฬิสํ วิยาติ พฬิสํ มารสฺส พฬิสํ มารพฬิสํฯ

ตณฺหาภิภูตา มารสฺส วิสยํ นาติกฺกมนฺติ เตสํ อุปริ มาโร วสํ วตฺเตตีติ อิมินา ปริยาเยน มารสฺส วิสโยติ มารวิสโย ฯ

สนฺทนฏฺเฐน ตณฺหาว นที ตณฺหานทีฯ

อชฺโฌตฺถรณฏฺเฐน ตณฺหาว ชาลํ ตณฺหาชาลํฯ

ยถา สุนขา ทฬฺหพนฺธา (๒) ยทิจฺฉกํ นิยฺยนฺติ เอวํ ตณฺหาพทฺธา สตฺตาติ ทฬฺหพนฺธนฏฺเฐน คทฺทูลํ (๓) วิยาติ คทฺทูลํฯ

ตณฺหาว คทฺทูลํ ตณหาคทฺทูลํฯ

ทุปฺปูรณฏฺเฐน ตณฺหาว สมุทฺโท ตณหาสมุทฺโท ฯ

อภิชฺฌายนฏฺเฐน อภิชฺฌา ฯ

ลุพฺภนฺติ เอเตน สยํ วา ลุพฺภติ ลุพฺภนมตฺตเมววา ตนฺติโลโภ ฯ

สมฺปยุตฺตกานํ อกุสลานํ ปติฏฺฐฏฺเฐน มูลํฯ

วิสตฺติกาตีติ (๔) วิสตฺติกา อิติฯ

# ๑. ม. ทุรุคฺคิลนฏฺเฐน ฯ ๒. ม. คทฺทูลพทฺธา ฯ ๓. ม. คทฺทูลํฯ

เอวมฺปริปิฯ ๔. ม. วิสตฺติกาตีติฯ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 11

[๑๔] คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกานี้ ในโลกเสียได้ มีความว่า คำว่า ผู้นั้น คือผู้เว้นขาดกามทั้งหลาย.

ตัณหา เรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ความกำหนัด, ... , บ่วงมาร, เบ็ดมาร, วิสัยมาร, แม่น้ำตัณหา, ข่ายตัณหา, โซ่ตัณหา, สมุทรตัณหา, อภิชฌา, โลภะ, อกุศลมูล, เรียกว่า วิสัตติกา.


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 10

๔. ปฐมปาสสูตร

[๔๒๖] ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยบ่วงของมารทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยเครื่องผูกของมาร ดูก่อนสมณะ ท่านจักไม่พ้นเราไปได้.

[๔๒๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงของมารทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกของมาร ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียแล้ว.

อรรถกถาปฐมปาสสูตร

…บทว่า มารปาเสน ได้แก่ บ่วงกิเลส . ด้วยบทว่า เย ทิพฺพา เย จ มานุสา มารกล่าวว่า ชื่อว่าบ่วงมารเหล่าใด กล่าวคือ กามคุณที่เป็นทิพย์และกล่าวคือกามคุณที่เป็นของมนุษย์มีอยู่ ท่านถูกบ่วงมารเหล่านั้น ผูกไว้แล้ว.บทว่า มารพนฺธนพนฺโธแปลว่า ถูกบ่วงมารผูกไว้ หรือติดบ่วงมาร…


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 640

๒. พฬิสสูตร

[๕๓๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนปลาบางตัวเห็นแก่เหยื่อ กลืนเบ็ดที่พรานเบ็ดเกี่ยวเหยื่อหย่อนลงในห้วงน้ำลึก มันกลืนเบ็ดของพรานเบ็ดอย่างนี้แล้ว ได้รับทุกข์ ถึงความพินาศ พรานเบ็ดพึงทำได้ตามความพอใจฉะนั้น.

[๕๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า "พรานเบ็ด" นี้เป็นชื่อของมารใจบาป คำว่า "เบ็ด" เป็นชื่อของ ลาภ สักการะ และความสรรเสริญ ภิกษุบางรูปยินดี พอใจลาภ สักการะ และความสรรเสริญที่เกิดขึ้นแล้ว ภิกษุนี้เรากล่าวว่า กลืนเบ็ดของมาร ได้รับทุกข์ ถึงความพินาศ อันมารใจบาปพึงทำได้ตามความพอใจ ภิกษุทั้งหลาย ลาภ สักการะและความสรรเสริญ ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า อย่างนี้แล…

อรรถกถาพฬิสสูตรที่ ๒

บทว่า ยถากามกรณีโย ความว่า พรานเบ็ดปรารถนาปลานั้นตามต้องการ คือ ตามความชอบใจอย่างใด พึงกระทำปลานั้นได้อย่างนั้น.

บทว่า ยถากามกรณีโย ปาปิมโต ความว่า อัน มาร คือ กิเลส พึงทำได้ตามความใคร่ คือ พึงให้ถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือเปรตวิสัยก็ได้.


พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 404

ที่ชื่อว่า พลิสํ (เบ็ด) เพราะเป็นเหมือนเบ็ด ด้วยอรรถว่า สำรอกออกยาก. เบ็ดของมาร

ทุรคฺคิลนตฺเถน (๓) พลิสํ วิยาติ พลิสํฯ มารสฺส พลิสํ มารพลิสํ ฯ

ม. ทุรุคฺคิลนฏฺเฐน


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 125

๖ อาเนญชสัปปายสูตร

[๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามไม่เที่ยง เป็นของว่างเปล่า เลือนหายไปเป็นธรรมดา ลักษณะของกามดังนี้ ได้ทําความล่อลวงเป็นที่บ่นถึงของคนพาล กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้าทั้งสองอย่างนี้ เป็นแก่งแห่งมาร เป็นวิสัยแห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นโคจรของมาร…

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 131

อรรถกถาอาเนญชสัปปายสูตร

แม้กามทั้งหลายก็อย่างนั้นเหมือนกัน ท่านกล่าวว่า ทําความลวง เพราะอรรถว่าปรากฏเป็นอีกอย่างหนึ่ง. อีกอย่างหนึ่ง นักเล่นกล เอาน้ำเป็นต้น มาแสดงลวงโดยทําให้เห็นเป็นแก้วมณีเป็นต้น ฉันใด แม้กามทั้งหลายก็ฉันนั้นแสดงลวงสภาวะที่ไม่เที่ยงเป็นต้น โดยให้เห็นว่า เที่ยง เป็นต้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ทําการลวง เพราะอรรถว่า เป็นตัวลวง. บทว่า พาลลาปนํความว่า ชื่อว่าเป็นที่บ่นถึงของคนพาลเพราะทําให้คนพาลบ่นถึงอย่างนี้ว่าบุตรของเรา ธิดาของเรา เงินของเรา ทองของเราดังนี้. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกากามา ได้แก่ กามคุณ ๕ อัน เป็นของมนุษย์. บทว่า สมฺปรายิกา ได้แก่กามที่เหลือเว้น กามคุณ ๕. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกา กามสญฺญา ได้แก่สัญญาอันปรารภกามของมนุษย์เกิดขึ้น. บทว่า อุภยเมตํ มารเธยฺยํความว่า กามด้วย กามสัญญาด้วย เหล่านั้น แม้ทั้งสองนั้นก็เป็นบ่วงแห่งมาร. เพราะว่ามารย่อมใช้อํานาจอยู่เหนือชนทั้งหลายผู้ยึดถือกามและสัญญาทั้งสองนั้น. คําว่า อุภยเมตํ มารเธยฺยํ ดังนี้ ตรัสหมายเอาอํานาจของมารนั้น.

ชนเหล่าใด ยึดถือกามเหล่านั้น มารย่อมใช้อํานาจเหนือชนเหล่านั้นทรงหมายเอาอํานาจของมารนั้นจึงตรัสว่า นั่นเป็นวิสัยของมาร. แม้ในบาลีว่ามารสฺเลส วิสโย เป็นต้น เหมือนอย่างวิสัยของโจฬะ ก็เรียกว่าโจฬวิสัยวิสัยของปัณฑะ ก็เรียกว่า ปัณฑวิสัย วิสัยของสังวรทั้งหลายก็เรียกว่า สังวรวิสัยฉะนั้น มารก็ย่อมโปรยกามคุณ ๕ ประดุจพืชผักไว้ ก็ชนเหล่าใดยึดถือเอากามคุณ ๕ นั้น มารย่อมใช้อํานาจเหนือชนเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่านั่นเป็นเหยื่อของมาร ดังนี้. เหมือนอย่างว่า สัตว์ทั้งหลายมีช้าง เป็นต้นย่อมใช้อํานาจเหนือภูมิประเทศใด ภูมิประเทศนั้น เรียกว่า ถิ่นช้าง ถิ่นม้าถิ่นแพะ ฉันใด ชนเหล่าใดยึดถือกามคุณ ๕ เหล่านั้น มารย่อมใช้อํานาจเหนือชนเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่านั่น เป็นโคจร (ถิ่น) ของมารดังนี้ฉันนั้น. บทว่า เอตฺถ ได้แก่ในกามเหล่านั้น. บทว่า มานสา คือ เกิดในจิต.


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 45

๙. นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ นตฺถิ โทสสโม คโห นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที.

"ไฟเสมอด้วยราคะ ไม่มี, ผู้จับเสมอด้วยโมหะ ไม่มี, ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี. แม่น้ำเสมอด้วย ตัณหา ไม่มี."

แก้อรรถ

บทว่า ตณฺหาสมา ความว่า เวลาเต็มก็ดี เวลาพร่องก็ดี เวลาแห้งก็ดี ของแม่น้ำทั้งหลาย มีแม่น้ำคงคาเป็นต้น ย่อมปรากฏ, แต่เวลาเต็มหรือเวลาแห้งแห่งตัณหา ย่อมไม่มี, ความพร่องอย่างเดียวย่อมปรากฏเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าแม่น้ำเสมอด้วยตัณหา ย่อมไม่มี เพราะ อรรถว่าให้เต็มได้โดยยาก.


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 541

อรรถกถาตัณหาสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในตัณหาสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ชาลินึ คือ เสมือนตาข่าย. อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่าตาข่ายที่เขาถักไว้ยุ่งเหยิงโดยรอบ ฉันใด แม้ตัณหาก็ฉันนั้น ท่านเรียกว่า ชาลินี เพราะเป็นเสมือนตาข่าย. ตัณหาชื่อว่า ชาลินี เพราะตัณหานี้ครอบงำภพ ๓ อยู่ มีตาข่ายอันเป็นส่วนของตนในภพนั้นๆ ดังนี้ ก็มี…

บทว่า ตนฺตากุลกชาโต คือ ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง. อธิบายว่า ด้ายของช่างหูก เก็บไว้ไม่ดี ถูกหนูกัด ย่อมยุ่งเหยิงในที่นั้นๆ ยากที่จะกำหนด ปลายกับปลาย หรือโคนกับโคน ว่านี้ปลาย นี้โคนดังนี้ ฉันใด สัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถูกตัณหานี้รึงรัด วุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่สามารถจะทำทางแล่นออกแห่งตัณหาของตนให้ตรงได้.

... บทว่า มุญฺชปพฺพชภูโต ได้แก่ เกิดเป็นดุจหญ้ามุงกระต่าย และหญ้าปล้อง คือ โลกเกิดเป็นเช่นนั้น.

การที่จะถือเอาเชือกที่เขาทุบหญ้าเหล่านั้นๆ ทำแล้วตกไปในที่ไหนๆ ในเวลาที่มันเก่าแล้ว ก็ยากที่จะเก็บกำหนดปลายหรือโคนของหญ้าเหล่านั้นได้ว่า นี้ปลาย นี้โคน ดังนี้ ผู้ที่ตั้งอยู่ในความพยายาม เฉพาะตัวจึงสามารถทำเชือกแม้นั้นให้ตรงได้ เว้นพระโพธิสัตว์เสีย สัตว์อื่นก็ไม่สามารถจะทำลายตาข่าย คือตัณหา โดยธรรมดาของตนแล้ว ทำทางแล่นออก จากทุกข์ของตนให้ตรงได้ ฉันใด โลกนี้ก็ฉันนั้น ถูกตาข่ายคือตัณหาหุ้มรัดไว้ ย่อมไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต วัฏสงสารไปได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อปาโย ได้แก่ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน เปตติวิสัยและอสุรกาย. แม้ทั้งหมดเหล่านั้นท่านเรียกว่า อบาย เพราะไม่มีความเจริญ กล่าวคือ ความงอกงาม. อนึ่ง ชื่อว่าทุคติเพราะความเป็นทางไปแห่งทุกข์. ชื่อวินิบาต เพราะตกไปจากกายที่เป็นสุข. ส่วนนอกนี้ มีอธิบายว่า

ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นไปอยู่ไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า สงสาร.


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 340

๗. คัททูลสูตรที่ ๑

[๒๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุนัขที่เขาล่ามเชือกแล้ว ถูกล่ามไว้ที่เสาอันมั่นคง ย่อมวิ่งวนหลักหรือเสานั้นเอง แม้ฉันใด ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในอริยธรรม ฯลฯ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตามเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา. ตามเห็นเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ โดยความเป็นอัตตา ตามเห็น อัตตาว่ามีวิญญาณ ตามเห็นวิญญาณในอัตตา หรือตามเห็นอัตตาในวิญญาณ. เขาจะแล่นวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่. เมื่อเขาวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ ก็จะไม่พ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ จะไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส. เราตถาคตกล่าวว่า เขาจะไม่พ้นไปจากทุกข์.

อรรถกถาคัททูลสูตรที่ ๑

…ในบทว่า เอวเมว โข นี้ พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ :-

คนพาลที่อาศัยวัฏฏะ พึงทราบว่า เปรียบเหมือน สุนัข .

ทิฏฐิ พึงทราบว่า เปรียบเหมือน โซ่ตรวน .

สักกายะ พึงทราบว่า เปรียบเหมือน เสา .

การหมุนไปตามสักกายะของปุถุชนผู้ถูกผูกติดไว้ที่กายของตนด้วยทิฏฐิและตัณหา พึงทราบว่า เหมือนการวิ่งวนรอบเสาของสุนัขตัวที่ถูกล่ามโซ่และเชือกไว้ติดกับเสา .

จบ อรรคกถาคัททูลสูตรที่ ๑


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 73

อรรถกถามันธาตุราชชาดกที่ ๘

พระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอกระสันอยากจะสึกจริงหรือภิกษุ. เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ครองเรือน จักอาจทําตัณหาให้เต็มได้ เมื่อไร เพราะขึ้นชื่อว่า กามตัณหานี้ เต็มได้ยาก ประดุจมหาสมุทร ด้วยว่า โปราณกบัณฑิตทั้งหลายครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒๐,๐๐๐ เป็นบริวาร ได้ครองราชย์ ในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา มีมนุษย์เป็นบริวารเท่านั้น ทั้งครองเทวราชสมบัติในสถานที่ประทับอยู่ของท้าวสักกะ ๓๖ พระองค์ ในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ไม่สามารถเลยที่จะทํากามตัณหาของตนให้เต็ม ก็ได้ทํากาลกิริยาตายไป ก็เธอเล่า เมื่อไรอาจทํากามตัณหานั้นให้เต็มได้


[สรุป]

>> ชื่อว่า ปาสะ เพราะอรรถว่า เป็นดุจบ่วง (ปาโส “บ่วง”, วิย “ดุจ”) ด้วยอรรถว่า ผูกไว้ (พนฺธน “การผูก, การพัน”), บ่วงแห่งมาร (ปาโส มารสฺส “บ่วงของมาร”) ชื่อว่า มารปาสะ.

>> ชื่อว่า พฬิสะ เพราะอรรถว่า เหมือนเบ็ด ด้วยอรรถว่า กลืนยาก (ทุรุคฺคิลน”กลืนยาก” มาจาก ทุรุ-“ยาก”+ คฺคิลน “การกลืน”), เบ็ดแห่งมาร (พฬิสํ มารสฺส “เบ็ดของมาร”) ชื่อว่า มารพฬิสะ.

>> สัตว์ผู้ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมไม่ล่วงพ้นวิสัยของมาร (ตณฺหาภิภูตา มารสฺส วิสยํ นาติกฺกมนฺติ) มารย่อมมีอำนาจเหนือสัตว์เหล่านั้น (เตสํ อุปริ มาโร วสํ วตฺเตติ, วสํ วตฺเตติ”มีอำนาจเหนือ, ครอบงำให้เป็นไป”) เพราะปริยายนี้ (ด้วยเหตุผลนี้) จึงชื่อว่า มารวิสัย (อิมินา ปริยาเยน มารสฺส วิสโยติ มารวิสโย, วิสโย“เขตแดน, อำนาจควบคุม, อาณาเขต”)

>> ตัณหาคือแม่น้ำ ชื่อว่า ตัณหานที (นที“แม่น้ำ”) เพราะมีอรรถะแห่งการไหลไป (สนฺทน”ไหลไป”), จึงเรียกว่า ตัณหานที.

>> ข่ายคือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาชาละ ด้วยอรรถว่า ครอบคลุม, ครอบงำ, คลุมทั่ว (อชฺโฌตฺถรณฏฺเฐน“ด้วยอรรถว่า ท่วมทับ, ครอบคลุม, แผ่คลุม”)

>> สุนัขทั้งหลายที่ผูกไว้แน่น ถูกนำไปตามที่ผู้นำต้องการ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่ถูกตัณหาผูกไว้ ก็เป็นฉันนั้น

>> ตัณหาคือโซ่ผูกสุนัข, ชื่อว่า ตัณหาคัททูละ

>> ทะเลคือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาสมุทร ด้วยอรรถว่า ให้เต็มได้ยาก. (ทุปฺปูรณฏฺเฐน มาจาก ทุ “ยาก, ลำบาก” + ปูรณ “การเติมเต็ม”)

>> ชื่อว่า อภิชฌา ด้วยอรรถว่า เพ่งเล็ง. (อภิชฺฌา “ความเพ่งเล็ง, ความอยากได้, ความละโมบ”)

>> ชื่อว่า โลภะ เพราะเป็นเหตุให้หมู่สัตว์อยากได้ (ลุพฺภนฺติ “อยากได้, ปรารถนา, โลภ” เอเตน “ด้วยสิ่งนี้, เพราะสิ่งนี้” รวมเป็น “อยากได้เพราะสิ่งนี้”), หรือเพราะโลภะเองย่อมอยากได้ (สยํ “ตนเอง, ตัวเอง” วา“หรือ” ลุพฺภติ “อยากได้, ปรารถนา” รวมเป็น “หรือสภาพที่อยากได้”), หรือเพราะเป็นเพียงการอยากได้เท่านั้น (ลุพฺภนมตฺตํ “ความอยากได้อย่างเดียว, ความอยากได้ล้วนๆ “ เอว “เท่านั้น, อย่างเดียว” วา“หรือ” รวมเป็น หรือเป็นเพียงความอยากเท่านั้น) .

>> ชื่อว่า ‘ มูล ’ (มูล “ราก, เหตุ, รากฐาน”) เพราะมีความหมายว่า เป็นที่ตั้งของอกุศลธรรมทั้งหลายที่ประกอบพร้อมกัน (สมฺปยุตฺตกานํ “ของสิ่งที่ประกอบพร้อมกัน” อกุสลานํ ”ของอกุศลธรรมทั้งหลาย” ปติฏฺฐฏฺเฐน “ด้วยความหมายว่าเป็นที่ตั้ง, ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้ง”)


เรียนอาจารย์คำปั่น

1. คำว่า “ มารปาสะ ” จากข้อความทั้งในสังยุตนิกายสคาถวรรค และมหานิเทส เข้าใจว่า ได้แก่ ตัณหานั้นเองเป็นดุจบ่วง คือเป็นกิเลส ที่มีลักษณะผูกพันไว้ในกามคุณ มีรูป เสียง กลิ่น รส กระทบสัมผัส ที่น่าปรารถนา น่าพอใจทั้งหลาย

2. คำว่า “ ทุรคฺคิลนตฺเถน ” แปลว่า “กลืนได้ยาก” หรือแปลว่า “สำรอกได้ยาก” กันแน่ครับ กระผมเข้าใจว่าแปลว่า “กลืนได้ยาก” หรือว่าจะหมายถึง เมื่อกลืนแล้วนำมาสู่ความลำบาก อย่างไรก็ดีในธรรมสังคณี ท่านแปลว่า สำรอกได้ยาก ขออาจารย์พิจารณาด้วยครับ

3. คำว่า “ มารพฬิสะ ” หรือ เบ็ดของมาร อันนี้ หมายถึง ตัณหาที่มีลักษณะ พอใจใน ลาภ สักการะ สรรเสริญ ซึ่งแท้จริงแล้ว ลาภ สักการะ สรรเสริญ นั้นไม่ได้มีแต่ประโยชน์ เป็นสิ่งที่เป็นโทษด้วย และเป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรม และถ้าติดข้องจนกระทั่งประพฤติทุจริตกรรม ก็สามารถที่จะนำไปสู่อบายภูมิได้ เช่นเดียวกับการกลืนเบ็ดของปลา ไม่ได้อร่อยอย่างเดียว แต่นำพาความเจ็บปวดมาด้วย เข้าใจถูกหรือไม่อย่างไร ขออาจารย์พิจารณา

4. คำว่า “ มารวิสัย ” ที่กล่าวว่า “สัตว์ผู้ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมไม่ล่วงพ้นวิสัยของมาร” เข้าใจว่าเป็นลักษณะของโลภะที่ยินดีพอใจในกาม และกามสัญญา ส่วน ‘มาร’ ในที่นี้ หมายถึง เทวบุตรมาร หรือกิเลสมารครับ เพราะมีข้อความในอรรถกถาอาเนญชสัปปายสูตรว่า “มารก็ย่อมโปรยกามคุณ ๕ ประดุจพืชผักไว้ ก็ชนเหล่าใดยึดถือเอากามคุณ ๕ นั้น มารย่อมใช้อํานาจเหนือชนเหล่านั้น” เข้าใจว่า ถ้าไม่มีมาร แต่มีใครซักคน มาบอกให้เราทำบางอย่างที่ผู้นั้นต้องการ และจะให้สิ่งที่น่าพอใจกับเรา เช่น เงิน ทอง เป็นต้น เข้าใจว่าเป็นลักษณะของโลภะที่ยอมทำทุกอย่าง โดยตกอยู่ในอำนาจของกิเลสมาร คือ ความอยากได้กาม ถูกผิดอย่างไรขออาจารย์ให้ความรู้เพิ่มเติม

5. คำว่า “ ตัณหานที ” เข้าใจว่ามาจากคาถาธรรมบท ซึ่งอรรถกถา แสดงว่า มีเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนแม่น้ำที่ไหล ขนาดแม้น้ำบางวันยังเต็มจนน้ำไหลช้าบ้าง น้ำนิ่งบ้าง บางวันยังแห้ง แต่แม่น้ำคือตัณหาไหลตลอด หมายถึง ความอยากเป็นสภาพที่เกิดบ่อยๆ มาเป็นประจำใช่ไหมครับ

6. คำว่า “ ตัณหาชาลํ ” ตาข่ายคือตัณหา หมายถึงสภาพความติดข้อง เหมือนตาข่ายที่ปกคลุม ครอบงำ ผู้นั้นไม่ให้ออกไปจากสังสารวัฏได้ โดย สังสาระ คือ ความเป็นไปที่ไม่ขาดสายหรือการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม หมายถึง ถ้าตาข่ายคือตัณหายังมี ยังไม่ดับสิ้น ผู้นั้นเมื่อชาตินี้ตายไป ก็ยังต้องมีการเกิดอีก เห็นอีก ได้ยินอีก ไม่สามารถล่วงพ้นจากการเกิดดับของสภาพธรรมไปได้ ใช่ไหมครับ

7. ฉบับแปล “ชื่อว่า คัททละ เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนโซ่ผูกสุนัข ด้วยอรรถ ว่า ผูกไว้แน่น. โซ่ผูกสุนัข คือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาคัททละ.” เข้าใจว่า พิมพ์คลาดเคลื่อนหรือเปล่าครับ ต้องเป็น คัททูละ ใช่ไหมครับ

8. คำว่า “ ตัณหาสมุทร ” หมายถึง ความอยากได้สิ่งต่างๆ ที่แม้ว่าได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้ว แต่ก็ยังอยากได้มากขึ้นอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งมากเท่าไหร่ก็ไม่พอ ใช่ไหมครับ

9. คำว่า “ มูล ” ที่ท่านแสดง เข้าใจว่า หมายถึง ลักษณะประเภทหนึ่งของโลภะ ในขณะที่โลภมูลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมีตัณหาเกิดขึ้นเป็นเหตุ เป็นรากฐาน ให้อกุศลเจตสิกประเภทอื่นๆ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน อย่างนั้นหรือครับ

10. “ตัณหา เรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ความกำหนัด, ... , บ่วงมาร, เบ็ดมาร, วิสัยมาร, แม่น้ำตัณหา, ข่ายตัณหา, โซ่ตัณหา, สมุทรตัณหา, อภิชฌา, โลภะ, อกุศลมูล, เรียกว่า วิสัตติกา.” เมื่อประมวลทั้งหมด ตัณหาทุกประการ ทุกลักษณะที่ท่านแสดงทั้งที่มีความกำหนัด เป็นต้น รวมความคือ ไม่พ้นไปจากตัณหาที่แผ่ซ่านไปในอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนั้นหรือครับ

กราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 16 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. คำว่า “ มารปาสะ ” จากข้อความทั้งในสังยุตนิกายสคาถวรรค และมหานิเทส เข้าใจว่า ได้แก่ ตัณหานั้นเองเป็นดุจบ่วง คือเป็นกิเลส ที่มีลักษณะผูกพันไว้ในกามคุณ มีรูป เสียง กลิ่น รส กระทบสัมผัส ที่น่าปรารถนา น่าพอใจทั้งหลาย

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ


2. คำว่า “ ทุรคฺคิลนตฺเถน ” แปลว่า “กลืนได้ยาก” หรือแปลว่า “สำรอกได้ยาก” กันแน่ครับ กระผมเข้าใจว่าแปลว่า “กลืนได้ยาก” หรือว่าจะหมายถึง เมื่อกลืนแล้วนำมาสู่ความลำบาก อย่างไรก็ดีในธรรมสังคณี ท่านแปลว่า สำรอกได้ยาก ขออาจารย์พิจารณาด้วยครับ

พิจารณาได้ว่า โลภะ เป็นสภาพที่ทำให้เกิดความลำบาก เกิดความทุกข์ แปลโดยศัพท์ ก็คือ กลืนได้ยาก เพราะทำให้เกิดความทุกข์เท่านั้น และแน่นอน ก็นำออกได้ยาก หรือ สำรอกได้ยากด้วยครับ


3. คำว่า “ มารพฬิสะ ” หรือ เบ็ดของมาร อันนี้ หมายถึง ตัณหาที่มีลักษณะ พอใจใน ลาภ สักการะ สรรเสริญ ซึ่งแท้จริงแล้ว ลาภ สักการะ สรรเสริญ นั้นไม่ได้มีแต่ประโยชน์ เป็นสิ่งที่เป็นโทษด้วย และเป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรม และถ้าติดข้องจนกระทั่งประพฤติทุจริตกรรม ก็สามารถที่จะนำไปสู่อบายภูมิได้ เช่นเดียวกับการกลืนเบ็ดของปลา ไม่ได้อร่อยอย่างเดียว แต่นำพาความเจ็บปวดมาด้วย เข้าใจถูกหรือไม่อย่างไร ขออาจารย์พิจารณา

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ


4. คำว่า “ มารวิสัย ” ที่กล่าวว่า “สัตว์ผู้ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมไม่ล่วงพ้นวิสัยของมาร” เข้าใจว่าเป็นลักษณะของโลภะที่ยินดีพอใจในกาม และกามสัญญา ส่วน ‘มาร’ ในที่นี้ หมายถึง เทวบุตรมาร หรือกิเลสมารครับ เพราะมีข้อความในอรรถกถาอาเนญชสัปปายสูตรว่า “มารก็ย่อมโปรยกามคุณ ๕ ประดุจพืชผักไว้ ก็ชนเหล่าใดยึดถือเอากามคุณ ๕ นั้น มารย่อมใช้อํานาจเหนือชนเหล่านั้น” เข้าใจว่า ถ้าไม่มีมาร แต่มีใครซักคน มาบอกให้เราทำบางอย่างที่ผู้นั้นต้องการ และจะให้สิ่งที่น่าพอใจกับเรา เช่น เงิน ทอง เป็นต้น เข้าใจว่าเป็นลักษณะของโลภะที่ยอมทำทุกอย่าง โดยตกอยู่ในอำนาจของกิเลสมาร คือ ความอยากได้กาม ถูกผิดอย่างไรขออาจารย์ให้ความรู้เพิ่มเติม

ตีความได้ทั้ง ๒ นัย แต่ไม่ว่าจะโดยนัยเทวปุตตมาร หรือ กิเลสมาร ก็ต้องมีตัวธรรม คือ กิเลสที่เกิดขึ้นเป็นไปนั่นเองครับ


5. คำว่า “ ตัณหานที ” เข้าใจว่ามาจากคาถาธรรมบท ซึ่งอรรถกถา แสดงว่า มีเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนแม่น้ำที่ไหล ขนาดแม้น้ำบางวันยังเต็มจนน้ำไหลช้าบ้าง น้ำนิ่งบ้าง บางวันยังแห้ง แต่แม่น้ำคือตัณหาไหลตลอด หมายถึง ความอยากเป็นสภาพที่เกิดบ่อยๆ มาเป็นประจำใช่ไหมครับ

เป็นความจริงเช่นนั้น เพราะตัณหา ไม่มีวันพอ มีแต่ไปเรื่อยๆ ติดข้องไปเรื่อยๆ เป็นประจำครับ


6. คำว่า “ ตัณหาชาลํ ” ตาข่ายคือตัณหา หมายถึงสภาพความติดข้อง เหมือนตาข่ายที่ปกคลุม ครอบงำ ผู้นั้นไม่ให้ออกไปจากสังสารวัฏได้ โดย สังสาระ คือ ความเป็นไปที่ไม่ขาดสายหรือการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม หมายถึง ถ้าตาข่ายคือตัณหายังมี ยังไม่ดับสิ้น ผู้นั้นเมื่อชาตินี้ตายไป ก็ยังต้องมีการเกิดอีก เห็นอีก ได้ยินอีก ไม่สามารถล่วงพ้นจากการเกิดดับของสภาพธรรมไปได้ ใช่ไหมครับ.

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ


7. ฉบับแปล “ชื่อว่า คัททละ เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนโซ่ผูกสุนัข ด้วยอรรถ ว่า ผูกไว้แน่น. โซ่ผูกสุนัข คือตัณหา ชื่อว่า ตัณหาคัททละ.” เข้าใจว่า พิมพ์คลาดเคลื่อนหรือเปล่าครับ ต้องเป็น คัททูละ ใช่ไหมครับ

ตรวจสอบจากภาษาบาลีแล้ว เป็น ตณฺหาคทฺทูล (ตัณหาคัททูละ) ครับ


8. คำว่า “ ตัณหาสมุทร ” หมายถึง ความอยากได้สิ่งต่างๆ ที่แม้ว่าได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้ว แต่ก็ยังอยากได้มากขึ้นอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งมากเท่าไหร่ก็ไม่พอ ใช่ไหมครับ

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ


9. คำว่า “ มูล ” ที่ท่านแสดง เข้าใจว่า หมายถึง ลักษณะประเภทหนึ่งของโลภะ ในขณะที่โลภมูลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมีตัณหาเกิดขึ้นเป็นเหตุ เป็นรากฐาน ให้อกุศลเจตสิกประเภทอื่นๆ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน อย่างนั้นหรือครับ

และตัณหา ยังเป็นเหตุปัจจัยให้ตัณหาต่อๆ ไป เกิดพอกพูนมากยิ่งขึ้นอีกด้วยครับ


10. “ตัณหา เรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ความกำหนัด, ... , บ่วงมาร, เบ็ดมาร, วิสัยมาร, แม่น้ำตัณหา, ข่ายตัณหา, โซ่ตัณหา, สมุทรตัณหา, อภิชฌา, โลภะ, อกุศลมูล, เรียกว่า วิสัตติกา.” เมื่อประมวลทั้งหมด ตัณหาทุกประการ ทุกลักษณะที่ท่านแสดงทั้งที่มีความกำหนัด เป็นต้น รวมความคือ ไม่พ้นไปจากตัณหาที่แผ่ซ่านไปในอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนั้นหรือครับ

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ


... ยินดีในกุศลวิริยะของคุณวิทวัตอย่างยิ่งครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ