แล้วเมื่อไหร่ ขณะนั้นจึงจะอยู่ด้วยธรรมดีงาม?

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่า เครื่องอยู่ขณะนี้เป็นอะไร แบบไหน ทำให้อยู่อย่างไร
อ.อรรณพ: เครื่องอยู่ ก็คือจิต เจตสิก รูป ที่อาศัยกันเป็นไปที่จะอาศัยกัน เห็นอยู่ ตอนนี้เห็นอยู่ เกิดขึ้นขณะที่เห็น ขณะนั้นก็มีเห็นอยู่ครับ ก็เพราะว่า มีตา มีสิ่งที่กระทบตา มีธาตุรู้ มีจิต เจตสิก อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นไป ท่านอาจารย์กล่าวว่า ดับไปอย่างรวดเร็ว จิตขณะต่อไปก็เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้ครับ
เพราะฉะนั้น ก็อยู่อย่างนี้มาแสนนาน และท่านอาจารย์ก็ยังกล่าวถึงความยาวนานของสังสารวัฏฏ์ หรือความไม่สิ้นสุดของอนันตจักรวาล อนันตจักรวาลก็ไม่มีที่สิ้นสุด สังสารวัฏฏ์ก็ไม่มีเบื้องต้น
เพราะฉะนั้น ก็นานแสนโกฏมหากัปป์แค่ไหน ก็อยู่มาด้วย จิต เจตสิก รูป อาศัยกันเป็นไปในแต่ละขณะๆ แล้วก็ส่วนสำคัญของชีวิต ก็คือขณะที่จิตเป็นกุศล หรืออกุศล เพราะฉะนัั้น ก็ส่วนใหญ่ก็จะไม่พูดถึงการอยู่ด้วยการรับผลของกรรม หรือขณะที่จิต เจตสิก นั้นเป็นผลของกรรมที่เป็นวิบาก แต่ส่วนสำคัญที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แต่ก็เป็นอกุศลเสียมากกว่าครับ อยู่ด้วยจิตที่เป็นอกุศล สะสมความไม่รู้ และอกุศลต่างๆ ต่อไป
ถ้าจะเป็นกุศลบ้างก็เป็นกุศลที่เพียงแค่สะสมอัธยาศัยมาที่จะดีงามนิดๆ หน่อยๆ อะไรอย่างนี้ครับ แต่ไม่ใช่กุศลที่จะทำให้แม้กระทั่งรู้ว่าอะไรอยู่ ที่ท่านอาจารย์ถามว่า ขณะนี้อะไรอยู่ อะไรเป็นธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ ถ้าไม่ศึกษาธรรมจริงๆ ที่เป็นจิต เจตสิก รูป ก็ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น อีกประโยคหนึ่งที่ผมคิดว่า พวกเราควรที่จะได้ไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจ เพราะว่า ถ้าพูดถึงธรรมเป็นเครื่องอยู่ เราก็จะคิดถึงพรหมวิหาร ๔ บ้าง วิหารที่ประเสริฐ เครื่องอยู่ที่ประเสริฐบ้างล่ะ อนุสติ ๖ บ้างล่ะ หรืออนุสติ ๑๐ บ้างล่ะ อะไรอย่างนี้ ซึ่งก็จริง แต่ว่ากว่าจะเป็นเครื่องอยู่ที่ดีงามอย่างนั้นได้ ก็ต้องเข้าใจว่า อะไรอยู่ นะครับ อันนี้ดี เป็นประโยชน์มากเลยครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า เครื่องอยู่ที่ดีงาม ที่จะทำให้ไม่ต้องมาอยู่อย่างนี้ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์แสดงเครื่องอยู่ที่ดีงามที่จะสะสมเป็นไปที่จะทำให้ไม่ต้องไปอยู่อย่างนี้ครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อกี้นี้คุณอรรณพพูดถึงอะไรเป็นเครื่องอยู่ที่ดีงาม?
อ.อรรณพ: ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงครับ
ท่านอาจารย์: เท่านั้นหรือ?
อ.อรรณพ: แล้วก็คุณความดีทั้งหลาย ความสละ ความระลึกได้ มากมายครับที่เป็นธรรมที่ดีงาม
ท่านอาจารย์: แล้วเมื่อไหร่ ขณะนั้นจึงจะอยู่ด้วยธรรมที่ดีงาม
อ.อรรณพ: ก็ต้องอาศัย คำ ที่ท่านอาจารย์กล่าวตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ช่วยกันคิดไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ธรรมที่ดีงามนั้นจะอยู่ ขณะไหน?
ตอนนี้อยู่หรือเปล่า? เห็นไหม? ไม่ใช่พูดถึงเป็นหน้าๆ เป็นอะไรบ้าง อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่า ธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ ที่อยู่ใกล้ที่สุด ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจะเข้าใจธรรมอะไรเลย ได้แต่ฟังแล้วก็ไม่รู้ว่า ธรรมคือขณะนี้ ขณะนี้อยู่แบบไหน อยู่อย่างไร อะไรเป็นเครื่องอยู่ ต้องตรง
อ.อรรณพ: แต่ละขณะก็อยู่ด้วยธรรมที่เป็นเครื่องอยู่แต่ละอย่างไปครับ
ท่านอาจารย์: แต่ละขณะที่พูดถึงเครื่องอยู่ที่ดี เมื่อไหร่ล่ะ?
อ.อรรณพ: เมื่อขณะที่กำลังเข้าใจเดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจ อยู่ด้วยเข้าใจ แล้วยังมีขณะไหนอีก?
อ.อรรณพ: ขณะที่เป็นความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวันครับ
ท่านอาจารย์: ประการต่างๆ บอกสักหนึ่งซิ ไม่อย่างนั้นก็ประการต่างๆ ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง
อ.อรรณพ: ความตรงต่อความเป็นจริงในทุกระดับครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่? ไม่ใช่พูดถึงแต่ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่
อ.อรรณพ: ก็ขณะนี้ที่ตรงต่อคำถามที่ท่านอาจารย์ถามครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ตรงต่อ แต่ละคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จะเข้าใจความจริงได้ไหม?
อ.อรรณพ: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พูดถึง เมตตา ถ้าเมตตาไม่เกิด จะอยู่ด้วยเมตตาเป็นเครื่องอยู่หรือเปล่า?
อ.อรรณพ: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พูดถึง เมตตา ให้จำว่า เมตตา คืออะไร แต่เพื่อ เมตตา จะได้เกิดเป็นเครื่องอยู่ทุกขณะที่สามารถจะเป็นไปได้ ไม่ใช่ว่า กล่าวถึงหนังสือ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย แต่เมื่อมีอะไรที่เกิดขึ้น ขณะนั้นมีอะไรเป็นเครื่องอยู่ อกุศล หรือกุศล แค่ไหนมากน้อยตรงตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา
อ.อรรณพ: เมื่อมีเครื่องอยู่ที่ดี คือความตรงต่อคำที่จะกล่าว ถาม ตอบ แม้กระทั่ง เมตตา ไม่ใช่ว่า เรามาเรียนกันอย่างนั้น
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความตรงเป็นสัจจบารมี ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรอง จะตรงไหมกับแต่ละหนึ่งธรรม?
อ.อรรณพ: ไม่มีทางตรง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังว่า จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป ไม่ใช่เป็นอัตตาทุกวี่ทุกวันเหมือนเคย
เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะพูดเรื่องตรง ก็ต้องรู้ว่า กว่าจะ ตรง มั่นคงจนถึงความเป็นอนัตตา จึงเป็นสัจจบารมี แต่ละหนึ่งๆ เป็นคุณความดีที่ช่วยกันเกิดขึ้นทำงานร่วมกัน ประกอบกัน เพื่อที่จะละความไม่รู้ เพื่อที่จะมีปัญญาที่สามารถจะถึงการรู้แจ้งสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ทุกขณะเดี๋ยวนี้เกิดดับ
อ.อรรณพ: เป็นขณะนี้ เมื่อมีการกล่าวของท่านอาจารย์ แล้วก็มีความใส่ใจด้วยดี มีความตรงต่อ คำ ที่ท่านอาจารย์กล่าว ก็จะทำให้ค่อยๆ ได้รับประโยชน์ แล้วมีประโยชน์ขณะนั้นก็เป็น การอยู่ที่ดี อยู่ด้วยความตรง ในขณะหนึ่ง แล้วก็ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเห็นประโยชน์ ด้วยความตั้งใจมั่นที่จะฟังอย่างนี้ ไตร่ตรองอย่างนี้ แล้วก็มีการปรุงแต่งไปที่จะเป็นกุศลประการต่างๆ ที่จะพ้นจากการอยู่ครับ
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้องกล่าวคำว่า บารมี เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวถึงบารมีในตอนนี้ก็คงไม่ผิดว่า ก็เป็นคุณความดีที่จะเป็นเครื่องอยู่ในชีวิตประจำวันด้วย แล้วเป็นเครื่องอยู่ที่ทำให้ข้ามไป ไม่ต้องมาอยู่อย่างนี้อีกนะครับ ก็เป็นขณะนี้เองครับท่านอาจารย์ สลับกับการอยู่ด้วยการได้ยิน ขณะได้ยินก็เพียงได้ยิน ก็อยู่ด้วยการที่รับผลของกรรมนะครับ ขณะที่ได้ฟังเข้าใจได้รู้กลุ่มเสียงความหมายอะไรต่ออะไรครับที่ท่านอาจารย์กรุณากล่าว ก็เป็นอารมณ์ที่ดี ก็เป็นอารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงพระธรรมไว้ จะได้สะสมอุปนิสัยให้เข้าใจต่อไปครับ
ก็เป็นอย่างนี้ครับท่านอาจารย์ แต่อยู่ด้วยธรรมที่เป็นอกุศล อยู่ด้วยความไม่รู้ความจริงมันมากมายมหาศาลครับ กว่าที่จะอยู่แล้วก็ค่อยมีความรู้ขึ้นนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็มีคุณความดีประการต่างๆ ที่จะทำให้พ้นจากความเป็นอย่างนี้ครับ
ขอเชิญฟังวีดีโอได้ที่ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ



