ทราบได้อย่างไรว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด

คำถาม ทราบได้อย่างไรว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด แตกดับไปแล้ว ทราบได้อย่างไรว่าจะต้องไปเกิดในภูมิอื่น
สุ. ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่จริง หรือดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ หรือดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไม่เห็น แต่ถ้าเป็นผู้ที่พิจารณาในเหตุและในผล ย่อมสามารถรู้ได้ว่า จิต เจตสิก รูปเมื่อวานนี้ อยู่ที่ไหน จิต เจตสิก รูปเมื่อเดือนก่อนอยู่ที่ไหน จิต เจตสิก รูปเมื่อปีก่อน อยู่ที่ไหน จิต เจตสิก รูปเมื่อสิบปีก่อน อยู่ที่ไหน จิต เจตสิก รูปในขณะที่เกิดและยังไม่เติบโตนั้นอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ทุกขณะเกิดขึ้นและดับไปๆ ที่ใช้คำว่า สังสาระ คือ วนเวียน ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง
เมื่อเกิดมาแล้วจะให้เห็นอย่างเดียวไม่ได้ หรือจะให้ได้ยินแต่เพียงอย่างเดียว ก็ไม่ได้ เกิดมาแล้วเดี๋ยวเห็น ขณะหนึ่งหมดไป เดี๋ยวได้ยินอีกขณะหนึ่งหมดไป เดี๋ยวได้กลิ่นขณะหนึ่งหมดไป เดี๋ยวนึกคิดอีกขณะหนึ่งหมดไป เมื่อวานนี้ก็อย่างนี้ วันนี้ก็อย่างนี้ พรุ่งนี้ก็อย่างนี้ เพราะฉะนั้น แต่ละขณะซึ่งเกิดและดับไปต้องมี เหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เมื่อวานนี้จิตก็เกิดดับสืบต่อ จิตในขณะนี้ดับแล้วจิตในขณะต่อไปก็เกิดสืบต่ออีก เพราะว่าการดับไปของจิตดวงก่อน เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นโดยเป็นอนันตรปัจจัย
เวลาที่สวดศพ จะมีเรื่องของปัจจัย ๒๔ อนันตรปัจจัยเป็นปัจจัยหนึ่งที่แสดงว่า เมื่อนามธรรม คือ จิตและเจตสิก ดับไป การดับไปของจิตเจตสิกนั้น เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกขณะต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ใครจะยุติสภาพการเกิดดับสืบต่อกันของจิตในสังสารวัฏฏ์ได้ ในเมื่อเหตุยังมีอยู่
เพราะฉะนั้น เป็นของที่แน่นอนว่า เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว ปฏิสนธิจะต้องเกิดต่อ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในเหตุและในผลก็จะคิดว่า ไม่มีเหตุที่จะทำให้จิตเกิด แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ธรรมทั้งหลายที่เกิดต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง มีเหตุที่จะทำให้เกิดจึงเกิดได้ ต่อเมื่อใดที่ดับเหตุปัจจัย คือ จุติจิตของพระอรหันต์ ดับเหตุปัจจัยที่จะให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์ดับ ก็ไม่มีปฏิสนธิอีกต่อไป
นี่เป็นความต่างกันของปุถุชนกับพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ยังต้องมีปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิต


