ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๔

~ รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ หรือยัง ? หรือเพียงได้ยินชื่อ แล้วก็มีผู้ที่บอกว่า "เป็นผู้ที่ประเสริฐสุด" ได้ยินเพียงเท่านี้ ก็เลื่อมใส ศรัทธา กราบไหว้ บูชา แต่เท่านั้นไม่พอ เพราะเหตุว่า ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้ผู้อื่นกราบไหว้ บูชา สรรเสริญ แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้อื่นได้สามารถที่จะเข้าใจธรรม คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้
~ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม จะชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ? นี่ก็เป็นข้อเตือนใจ เพราะว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมและทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าชาวพุทธไม่รู้จักธรรม จะชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาหรือเปล่า?
~ ผู้ที่เคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จึงเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรม ไม่ประมาทในพระธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นสิ่งที่ง่าย
~ ถ้าไม่รู้ความจริง ทุกคนแสวงหาแต่เงินทอง ลาภ ยศ ชื่อเสียง ใช่ไหม? แต่เมื่อรู้ความจริง ไม่มีอะไรจะมีค่าเท่ากับรู้ความจริงที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ ชีวิตนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ แต่ก่อนที่จะตายก็ยังมีโอกาสได้รู้ความจริง ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ติดตามไปไม่ได้ แต่ความเข้าใจถูกเริ่มปลูกฝัง จะค่อยๆ เจริญขึ้น
~ จะใช้กำลังทำอะไร รบราฆ่าฟันเบียดเบียนประทุษร้ายต่อสู้กันหรืออย่างไร เพราะเหตุว่ากำลังของร่างกายที่มีควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตไปวันหนึ่งๆ ให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม ไม่ใช่เอาร่างกายที่แข็งแรงไปเบียดเบียนไปประทุษร้ายไปต่อสู้กัน
~ ประโยชน์ของการฟังธรรมมีมากทีเดียว พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎกนั้น ก็ควรค่าแก่การฟัง ควรค่าแก่การศึกษา ควรค่าแก่การอ่าน การค้นคว้า เพื่อให้ได้รับประโยชน์ให้เต็มที่ เพราะเหตุว่าที่พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมถึง ๔๕ พรรษา ก็เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ฟังได้เข้าใจสภาพธรรมชัดเจนถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดแล้ว ก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปได้
~ ความสงสัยใดๆ ทั้งหมด ไม่มีวันหมดสิ้นได้ ถ้าไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ที่จะหมดความสงสัยในลักษณะของนามใด รูปใด ในเหตุในผลของนามนั้นรูปนั้น ก็ต้องเพราะรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้
~ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยต้องอดทน ละเว้นการทำบาปทั้งสิ้น อดทนที่จะยังกุศลให้ถึงพร้อม อดทนที่จะทำจิตของตนให้ผ่องใส ขาดความอดทนไม่ได้เลย ถ้าขาดความอดทนก็เป็นอกุศล แล้วก็กระทำบาปไปทันทีได้ เพราะขาดความอดทน
~ การขัดเกลาในชีวิตประจำวันนั้น ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง ท่านเป็นคนดีทุกประการหรือเปล่า? ทางกายหาที่ติไม่ได้เลย ทางวาจาจะมีใครติก็ไม่ได้ ทุกโอกาสทุกวันเวลาหรือไม่? ก็จะเห็นได้ว่า ยังมีกิเลสมาก ไม่ได้ลดน้อยไปเลย และถ้าไม่เจริญสติ อวิชชาท่วมทับ โลภะ โทสะ โมหะมากมายสักแค่ไหน ผู้ที่เห็นว่าทางกายก็ดีแล้ว ทางวาจาก็ดีแล้ว ไม่ต้องขัดเกลาอะไรอีก นั้น ไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง
~ ทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรมเกิดแล้ว แต่ทุกข์ทางใจเกิดจากกิเลส ถ้ากิเลสน้อยลง ทุกข์ทางใจก็น้อยลง แต่ทุกข์ทางกายซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วถึงเวลาจะต้องให้ผลใครก็ยับยั้งไม่ได้ ฟังธรรมไม่ใช่คล้อยตามหรือตามแต่ต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเองจนเป็นความเข้าใจขึ้นจึงจะรู้ว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมด ทีเล็กทีละน้อย
~ หนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นคนนี้และจะเป็นคนนี้อีกไม่นาน ไม่มีใครจะรู้ว่าจะเป็นคนนี้อีกนานเท่าไหร่ ต่อไปก็จะเป็นคนใหม่ คนใหม่ก็มาจากคนนี้ คนนี้ทำอะไรไว้ สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ ก็จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไป จากโลกนี้สู่โลกอื่น เป็นคนใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่ากรรมใดที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด กรรมไหนจะให้ผล ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ละเว้นแต่ละโอกาส แต่ละขณะ มีค่าอย่างยิ่ง ที่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะ ไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรม ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย แต่เพื่อเข้าใจ และการเข้าใจธรรมก็จะเป็นการรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าการบูชาพระองค์ ก็คือ ด้วยความเข้าใจของแต่ละคน
~ กำลังเห็นก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม จำก็เป็นธรรม ชอบก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงๆ ทั้งหมด เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่มี และเกิดเองก็ไม่ได้ด้วย ต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้ธรรมอะไรเกิดขึ้น
~ กว่าจะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ก็ต้องไม่ประมาทจริงๆ ไม่ใช่มีเราที่จะไปทำให้เกิดปัญญาที่จะละคลายกิเลส แต่ความเข้าใจถูกต่างหาก ทีละเล็กทีละน้อยที่ค่อยๆ ทำให้เข้าใจความจริง ไม่ผิดพลาด และต้องมั่นคง "อธิษฐานบารมี" เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เห็นไหม ? มั่นคงอย่างไร? มั่นคงว่า เดี๋ยวนี้เอง เป็นธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ ต้องมั่นคง ทุกอย่างไม่เว้นเลยทั้งสิ้น เป็นธรรม แต่ละคำเปลี่ยนไม่ได้เลย คำใดที่ตรัสไว้แล้วจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ แต่ผู้ที่ฟัง ต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ละเลย ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดว่าขณะนี้ อะไรมีจริง ? มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าธรรมได้
~ เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าขณะนี้ทุกสิ่งที่มีขณะนี้ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงความจริงว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก
~ ใครว่าเรา ใครโกรธเรา เขาไม่ดีใช่ไหม ? อกุศลใช่ไหม ? อกุศลเป็นความไม่ดี เขาว่าเรา ถ้าเราโกรธเขา เราไม่ดีทันที
~ เมตตาคือความเป็นมิตร ความหวังดี การทำประโยชน์เกื้อกูลทันทีที่สามารถทำได้ เมตตามีประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่เว้นเลย
~ ไม่มีโอกาสหรือเวลาไหนที่จะประเสริฐเท่าที่ได้มีการได้ยินได้ฟังคำซึ่งแสนยากที่จะได้ฟัง เพราะเหตุว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นานมาก กว่าจะได้ตรัสรู้ และถ้าพระธรรมอันตรธาน (สูญสิ้น) ก็ต้องอีกนานมาก กว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๓


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี
ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง
อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก
จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ




