ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๓
~ ปัญญาที่รู้ความจริงเท่านั้นที่สามารถจะทำให้พ้นจากทุกข์ เพราะเหตุว่า โลภะ ความติดข้อง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกคนมีโลภะ ลองคิดว่าละโลภะได้ไหม ยากแค่ไหน พยายามสักเท่าไหร่ก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา และเมื่อปัญญายังไม่เจริญถึงขั้นที่สามารถจะละความติดข้อง ก็ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น นอกจากสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าในขณะที่กำลังเข้าใจถูกนั่นเอง กำลังละความไม่รู้และความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
~ การฟังพระธรรม ไม่ใช่เพียงฟัง ไม่ใช่เพียงเข้าใจ แต่ฟังจริงๆ ประโยชน์คือประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าตราบใดยังไม่ประพฤติปฏิบัติตาม หมายความว่าความเข้าใจนั้นไม่พอ เพียงแต่เราจำชื่อ เราเข้าใจเรื่อง แต่ว่าขณะนี้เป็นอะไร ธรรมทั้งหมดไม่ได้อยู่นอกขณะนี้เลย แต่มีอยู่ในชีวิตประจำวันทุกชาติทุกขณะไม่ต้องไปแสวงหา
~ พระธรรมทั้งหมดเพื่อไม่ประมาทเลย เพราะใครก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด แม้แต่ขณะต่อไป ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย สภาพธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท คือ ฟังธรรม เพื่อที่จะสะสมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปอยากรู้อยากเข้าใจหรืออยากเรียกคำต่างๆ
~ การฟังพระธรรม จะเห็นได้ว่าทรงพระมหากรุณา แสดงโดยละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวงไม่ว่าขณะนั้นจะประทับที่ไหน มีสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ก็ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้น อย่าลืม ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ฟังแล้วก็คิดถึงเรื่องอื่น
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ก็จะเป็นผู้ที่ไม่เดือดร้อน เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลอีกแล้วที่เดือดร้อน ง่ายมาก งานนี้ง่ายมากเดี๋ยวก็ทำ เดี๋ยวก็ทำ คือ งานของอกุศล ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง งานสะสมกิเลสหนัก แต่ส่วนงานสะสมปัญญาเบาสบายแน่ เพราะว่าเข้าใจและเข้าใจขึ้น ขณะที่เป็นกุศลไม่เดือดร้อนเลย แต่พอหวังเมื่อไหร่อกุศลแทรกเมื่อไหร่ก็จะเดือดร้อนทันที
*** ~ ชีวิตปกติประจำวัน ไม่ได้ผิดปกติ แต่ถ้าใครเกิดผิดปกติและเข้าใจว่าจะปฏิบัติธรรมในขณะที่ผิดปกติ ก็ให้ทราบว่าในขณะนั้นเป็นเพราะอะไร ซึ่งตามปกติธรรมดาอาจจะไม่เฉลียวใจเลยว่า โลภะหรือเปล่า ความเห็นผิดหรือเปล่า ต้องแยกกัน ปัญญากับโลภะ ที่ใดที่มีปัญญา ที่นั้นโลภะจะมืดมน ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เลย***
*** ~ ถ้าได้ยินได้ฟังว่าทุกขณะเป็นนามธรรมและรูปธรรม จะต้องทำอะไรที่ผิดปกติไหม และการทำที่ผิดปกติจะทำให้รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้อย่างไร มีเหตุผลอะไรที่ใครสามารถอธิบายหรือสามารถตอบได้ว่า การทำให้ผิดปกตินั้น จะทำให้ปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมได้อย่างไร***
~ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถรู้สภาพธรรมทุกอย่างได้ตามความเป็นจริง แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรม การเป็นผู้ที่ละเอียดและการเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาเป็นลำดับขั้นด้วย การฟังพระธรรมจะทำให้เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัยและผลซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยนั้นๆ เพื่อให้ระลึกได้ในชีวิตประจำวันว่าเป็นเพียงสภาพธรรมทั้งหลาย
~ โกรธคนอื่น โกรธอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเอง จะให้พ้นไหมหรือว่าเอาไว้ก่อน หอบไปเยอะๆ อันตรายมากเลย ไม่เห็นภัยที่ยิ่งกว่าภัยอื่น เพราะใกล้ตัวที่สุด เกิดเมื่อไหร่ก็ได้ นอนสบายๆ เป็นทุกข์ได้แล้วเพราะกิเลส ใครทำให้ ไม่มีใครเลย อกุศลที่สะสมมานั่นเอง
~ สิ่งใดที่ไม่ผิดสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ กล้าทำไหม เพื่อประโยชน์ของคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเองเพื่อประโยชน์ของทุกคน เพราะไม่มีเราที่จะต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่ได้เข้าใจแล้วก็ทำประโยชน์ตามความสามารถที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
~ ไม่ให้เวลาของอกุศลเกิดขึ้นซึ่งมากมายอยู่แล้วในวันหนึ่งๆ ยังจะเอาเวลาของกุศลไปให้อกุศลอีกหรือ? นี่เป็นเหตุที่ทุกคนทำความดีทุกขณะ เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เป็นคุณความดีไม่ง่ายและไม่มาก อาจจะตายไปก่อนก็ได้
~ ขณะที่ไม่พอใจ โทษอยู่ที่ใครกำลังไม่พอใจ ไม่รู้เลยว่าโทษอยู่ที่ตัวเอง ขณะใดก็ตามเห็นความไม่ดีของคนอื่น เขาไม่ดีจริงๆ ไม่ใช่ไปเปลี่ยนเขาได้ แต่ใจที่คิดอย่างนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เขาไม่ดี แล้วเราก็ไม่ดีด้วยขณะที่เป็นอกุศล
*** ~ ถ้าขณะนั้นโกรธ เพิ่มความโกรธขึ้นไปอีก เมื่อไหร่จะหมด แต่ว่าถ้าเริ่มรู้ความจริง เห็นใจ เข้าใจ เขาโกรธแต่เราไม่โกรธ จบ ไม่มีเรื่องต่อไป ไม่เดือดร้อน แล้วก็ยังเป็นประโยชน์ทั้งเขาและเราด้วย ถ้าเราแสดงอาการโต้ตอบ เรื่องใหญ่โตมากมาย***
~ ค่อยๆ สะสมทางฝ่ายกุศลไปเพื่อเวลาที่ทางฝ่ายอกุศลมีกำลังมาก อย่างน้อยก็จะผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นไปได้ เพราะเคยสะสมเหตุปัจจัยคือการละคลายความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ทำให้ไม่ประพฤติทุจริตกรรม และยังสามารถรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่าตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญถึงขั้นที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด) ประมาทอกุศลไม่ได้เลย
~ ท่านผู้ใดที่ให้ทาน ท่านอาจจะไม่ได้พิจารณาจิตใจในขณะนั้นว่าเพราะเมตตา ท่านมีอุปนิสัยที่จะให้ ท่านก็ให้ ท่านสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขต่อบุคคลอื่น แต่ถ้าจะพิจารณาพื้นฐานที่ทำให้เกิดการกระทำนั้นก็คือเมตตา หรือท่านที่วิรัติ (งดเว้น) ทุจริต ทั้งกายและวาจา ก็จะได้เห็นว่าพื้นฐานที่ทำให้ท่านวิรัติทุจริตนั้นก็คือเมตตาด้วย ไม่ต้องการให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเป็นทุกข์แม้ด้วยกายหรือวาจาของท่านขณะนั้น ก็เพราะเมตตา
~ บารมีทุกบารมีมีประโยชน์มาก ถ้าเพียงแต่ค่อยๆ ระลึกได้และบำเพ็ญไป ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดความไม่อดทน แล้วคิดถึงขันติความอดทน ในขณะนั้นก็จะเป็นการสะสมความอดทนต่อสภาพที่ไม่น่าพอใจหรือต่อความสูญของสิ่งที่น่าปรารถนา
~ บังคับไม่ได้เรื่องที่จะให้หรือไม่ให้ ถ้าสะสมเรื่องการให้บ่อยๆ เนืองๆ มากๆ จะเห็นได้ว่า คนนั้นเร็วไว และให้โดยที่ไม่ลังเลเลย หรือไม่ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่การให้ไม่แล่นไปโดยเร็วหรืออาจจะลังเล ควรแน่ใจในข้อนั้นได้ว่าเมื่อก่อนเรามิได้สะสมในการให้เป็นแน่
~ เรื่องบารมีเป็นเรื่องยาก แม้จะได้ยินได้ฟัง ก็แล้วแต่กำลังของแต่ละบุคคลที่จะเจริญกุศลถึงระดับใด ขั้นใด เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ สะสมอบรมไปพร้อมกับปัญญา และบารมีอื่นๆ ทั้งหมดก็ต้องอบรมเจริญไปเรื่อยๆ ถ้ารู้ว่ากิเลสยังมากมาย และปัญญาที่จะตัดกิเลสนั้นก็ยาก เพราะว่ากิเลสมากเหลือเกิน
~ ประโยชน์ของพระธรรมที่จะได้รับฟัง คือ ซ้ำ เพื่อให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังเข้าใจแล้ว ขั้นฟังเข้าใจแล้วนี่ไม่มีปัญหา จะมากหรือจะน้อย แต่การอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะแท้ๆ ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่ได้ฟังแล้วในขณะหนึ่งขณะใดก็ตาม นั่นเป็นประโยชน์ที่สำคัญมาก
~ มีชีวิตชาตินี้ด้วยการเป็นโอกาสที่จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม และเราเองก็ขัดเกลากิเลส ชาติหน้าจะเป็นอะไรรู้ไม่ได้ แต่ว่าเราก็ปลูกฝังสะสมความเข้าใจที่มั่นคงในการที่จะขัดเกลากิเลสและเผยแพร่พระธรรม
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๒
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...