ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 8 [สัทธัมมปัชโชติกา]

 
wittawat
วันที่  25 ก.พ. 2568
หมายเลข  49540
อ่าน  257

ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 8 [สัทธัมมปัชโชติกา]

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกราบระลึกถึงคุณท่านพระอัครสาวกธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 100

ชื่อว่า ความใคร่ ด้วยสามารถแห่งความใคร่ในอารมณ์ทั้งหลาย.

อาการแห่งความใคร่ ชื่อว่า นิกามนา .

ชื่อว่า ความมุ่งหมาย ด้วย สามารถแห่งความมุ่งหมายวัตถุ.

ชื่อว่า ความปอง ด้วยสามารถแห่ง ความต้องการ.

ความปรารถนาด้วยดี ชื่อว่า ความปรารถนาดี .

ตัณหา ในกามคุณ ๕ ชื่อว่า กามตัณหา . ตัณหาในรูปภพและอรูปภพ ชื่อว่า ภวตัณหา .

ตัณหาในความไม่มี กล่าวคือขาดสูญ ชื่อว่า วิภวตัณหา .

ตัณหาในรูปภพที่บริสุทธิ์นั่นแลชื่อว่า รูปตัณหา .

ตัณหาในอรูปภพ ชื่อว่า อรูปตัณหา ได้แก่ ความกำหนัดที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ.

ตัณหา ในนิโรธ ชื่อว่า นิโรธตัณหา .

ตัณหาในเสียง ชื่อว่า สัททตัณหา .

แม้ใน คันธตัณหา เป็นต้นก็นัยนี้แหละ.

โอฆะเป็นต้น มีเนื้อความได้ กล่าวไว้แล้วแล.


ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา มหานิทฺเทสวณฺณนา (สทฺธมฺมปชฺโชติกา) - หน้าที่ 56

อารมฺมณานํ นิกามนวเสน นิกนฺติฯ

นิกามนากาโร นิกามนา ฯ

วตฺถุสฺส (๑) ปตฺถนวเสน ปตฺถนา ฯ

ปิหายนวเสน ปิหนา ฯ

สุฏฺฐุ ปตฺถนา สมฺปตฺถนา ฯ

ปญฺจสุ กามคุเณสุ ตณฺหา กามตณฺหา ฯ

รูปารูปภเวสุ ตณฺหา ภวตณฺหา ฯ

อุจฺเฉทสงฺขาเต วิภเว ตณฺหาวิภวตณฺหา ฯ

สุทฺเธรูปภวสฺมึเยว ตณฺหา รูปตณฺหา ฯ

อรูปภเว ตณฺหา อรูปตณฺหา ฯ

อุจฺเฉททิฏฺฐิสหคโต ราโค นิโรเธ ตณฺหา นิโรธตณฺหา ฯ

[๒] สทฺเท ตณฺหา สทฺทตณฺหา ฯ

คนฺธตณฺหาทีสุปิ เอเสว นโย ฯ

โอฆาทโย วุตฺตตฺถาว ฯ


<# ๑. ม. วตฺถุสฺสาติ นตฺถิฯ ๒. ม. เอตฺถนฺตเรรูเป ตณฺหา รูปตณฺหาติ ทิสฺสติฯ >


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 11

[๑๔] คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกานี้ ในโลกเสียได้ มีความว่า คำว่า ผู้นั้น คือผู้เว้นขาดกามทั้งหลาย.

ตัณหา เรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ความกำหนัด, ... ,ความใคร่, อาการแห่งความใคร่, ความมุ่งหมาย, ความปอง, ความปรารถนาดี, กามตัณหา, ภวตัณหา, วิภวตัณหา, ตัณหาในรูปภพ, ตัณหาในอรูปภพ, ตัณหาในนิโรธ, รูปตัณหา, สัททตัณหา, คันธตัณหา, รสตัณหา, โผฏฐัพพตัณหา, ธัมมตัณหา, โอฆะ, โยคะ, คันถะ, อุปาทาน, ...


สุตฺต ขุ. มหานิทฺเทโส - หน้าที่ 9

[๑๔] โสมํ วิสตฺติกํ โลเก สโต สมติวตฺตตีติ โสติ โย

กาเม ปริวชฺเชติ ฯ วิสตฺติกา วุจฺจติ ตณฺหา โย ราโค ... นิกนฺติ นิกามนา ปตฺถนา ปหนา สมฺปตฺถนา กามตณฺหา

ภวตณฺหา วิภวตณฺหา รูปตณฺหา อรูปตณฺหา นิโรธตณฺหา รูปตณฺหา

สทฺทตณฺหา คนฺธตณฺหา รสตณฺหา โผฏฺฐพฺพตณฺหา ธมฺมตณฺหา โอโฆ โยโค คนฺโถ อุปาทานํ


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 356

ถ้ามีคําถามว่า ตัณหานั้นเป็นไฉน. ความอยากในกาม ชื่อว่า กามตัณหา. คําว่า กามตัณหานั้น เป็นชื่อของความกําหนัดเกี่ยวด้วยกามคุณ ๕. ความอยากในภพ ชื่อว่า ภวตัณหา. คําว่า ภวตัณหานี้ เป็นชื่อของความกําหนัดในรูปภพ และอรูปภพ อันเกิดพร้อมด้วยสัสสตทิฏฐิ ที่เกิดโดยความปรารถนาภพ และความยินดีในฌาน. ความอยากในวิภพ ชื่อว่า วิภวตัณหา. คําว่า วิภวตัณหานี้ เป็นชื่อของความกําหนัด ที่เกิดพร้อมด้วยอุจเฉททิฏฐิ.


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 536

ก็แล บรรดาตัณหาเหล่านั้น ตัณหาแต่ละอย่าง ตรัสไว้ ๓ อย่างนี้ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาตามอาการที่เป็นไป จริงอยู่ ในกาลใดรูปตัณหานั่นแหละยินดีรูปารมณ์ที่มาสู่คลองจักษุด้วยอำนาจความยินดีในกามเป็นไป ในกาลนั้นชื่อว่า กามตัณหา ในกาลใดรูปตัณหาเป็นไปพร้อมกับทิฏฐิที่เป็นไปว่า รูปารมณ์นั้นนั่นแหละเที่ยง ยั่งยืน ดังนี้ ในกาลนั้นชื่อว่า ภวตัณหาเพราะราคะเกิดร่วมกับสัสสตทิฏฐิ ตรัสเรียกว่า ภวตัณหา แต่ในกาลใด รูปตัณหานั้นเป็นพร้อมกับอุจเฉททิฏฐิที่เป็นไปว่า รูปารมณ์นั้นนั่นแหละขาดสูญ ย่อมพินาศ ดังนี้ ในกาลนั้น ชื่อว่า วิภวตัณหา เพราะราคะเกิดร่วมกับอุจเฉททิฏฐิ ตรัสเรียกว่า วิภวตัณหา. แม้ในสัททตัณหาเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน…


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 777

ภวตัณหา ความปรารถนาภพ เป็นไฉน?

ความพอใจในภพ ความยินดีในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ความปรารถนาในภพ ความเยื่อใยในภพ ความเร่าร้อนในภพ ความสยบในภพ ความหมกมุ่นในภพ อันใด นี้เรียกว่า ภวตัณหา ความปรารถนาภพ.


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 286

ตอบว่า เพราะแม้พระอนาคามี บังเกิดในชั้นสุทธาวาส แลดูต้นกัลปพฤกษ์ในวิมานอุทยาน (สวนสวรรค์) เปล่งอุทานว่า สุขหนอ สุขหนอ.ความโลภในภพ ตัณหาในภพ ย่อมเป็นอันพระอนาคามี ยังละไม่ได้เลยเพราะพระอนาคามีนั้นยังละตัณหาไม่ได้ ชื่อว่า อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมเสื่อมไป ย่อมยังอัตภาพที่มีทุกข์นั่นแลให้เกิดขึ้น พึงทราบว่า ยังเป็นผู้มีภพไม่สิ้นสุดนั่นแหละ.


>> ชื่อว่า นิกันติ หมายถึง ความใคร่หรือความพอใจ เพราะอรรถว่า ความใคร่ในอารมณ์ทั้งหลายโดยอำนาจแห่งความพอใจ

>> อาการแห่งความใคร่ ชื่อว่า นิกามนา (นิกามนา = อาการแห่งความใคร่ นิกมฺ=“ออกไป, ไปสู่, ปรารถนา” + ยุ ปัจจัย ใช้แสดงสภาพ + อา ปัจจัย ใช้เน้นความหมาย)

>> ชื่อว่า ปตฺถนา หมายถึง ความมุ่งหมาย ด้วยสามารถแห่งความมุ่งหมายของวัตถุ (วตฺถุสฺส = ของวัตถุ, ปตฺถนา = ความมุ่งหมาย/ความปรารถนา,วเสน = ด้วยอำนาจ) ซึ่งภาษาบาลีท่านแสดงว่าพระไตรปิฎกฉบับพม่า ไม่มีคำว่า ของวัตถุ

>> ชื่อว่า ปิหนา หมายถึง ความปอง (ปิหฺ ธาตุ”ต้องการ, ปรารถนา” + ยุ ปัจจัย เปลี่ยนเป็นคำนาม + อ ปัจจัย เติมท้ายให้เป็นคำนาม, ปิหนา=ความปอง/ความต้องการ/ความปรารถนา) ด้วยสามารถแห่ง ความต้องการ.

>> ความปรารถนาโดยดี (สุฏฺฐุ ปตฺถนา) ชื่อว่า สมฺปตฺถนา หมายถึง ความปรารถนาดี? (สมฺ (อุปสัคค์) เข้าใจว่าหมายถึง ความปรารถนาแรงกล้า)

>> ตัณหา ในกามคุณ ๕ (ปญฺจสุ “ห้า” + กามคุเณสุ “กามคุณ”) ชื่อว่า กามตัณหา หมายถึง ตัณหาในกาม.

>> ตัณหาในรูปภพและอรูปภพ (รูปารูปภเวสุ = ในภพทั้งสอง คือ รูปภพและอรูปภพ) ชื่อว่า ภวตัณหา หมายถึง ตัณหาในภพ.

>> ตัณหาในความไม่มีภพ กล่าวคือ ความขาดสูญ (อุจฺเฉทสงฺขาเต = อันชื่อว่าความขาดสูญ, อุจฺเฉท”ความขาดสูญ”+สงฺขาเต”อันชื่อว่า, อันเรียกว่า”) ชื่อว่า วิภวตัณหา หมายถึง ตัณหาในความไม่มีภพ.

>> ตัณหาในรูปภพที่บริสุทธิ์ (สุทฺเธ รูปภวสฺมึ "ในรูปภพที่บริสุทธิ์”) นั่นแลชื่อว่า รูปตัณหา.

>> ตัณหาในอรูปภพ ชื่อว่า อรูปตัณหา

>> ความกำหนัดที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นตัณหาในความดับ ชื่อว่า นิโรธตัณหา

>> ตัณหาในเสียง (สทฺเท “ในเสียง” ตณฺหา “ความอยาก, ตัณหา”) ชื่อว่า สัททตัณหา .

>> แม้ (อปิ”แม้,ก็”) ใน คันธตัณหา เป็นต้น (คนฺธตณฺหาทีสุ”คันธตัณหา เป็นต้น”) ก็นัยนี้แหละ (เอเสว”นี้เอง,นี้แหละ”) .

>> โอฆะเป็นต้น (โอฆาทโย) มีเนื้อความได้ กล่าวไว้แล้วแล (วุตฺต"ที่กล่าวแล้ว"+ อตฺถ"ความหมาย, เนื้อความ"

+อาวเสสน"ยังเหลืออยู่, ตามที่เหลืออยู่"= วุตฺตตฺถาว”ตามเนื้อความที่กล่าวไว้แล้ว”) .


เรียนอาจารย์คำปั่น

1. “ปตฺถนา” ที่ท่านแปลว่า ความมุ่งหมาย คำนี้ ภาษาไทย คือ ปรารถนา หรือเปล่าครับ

2. “สมฺปตฺถนา” ที่ท่านแปลว่า ความปรารถนาดี อันนี้ภาษาไทย อาจจะสับสนหน่อยครับ เพราะฟังดูเป็นเรื่องดีกระผมเข้าใจว่า หมายถึง ความปรารถนาที่สมบูรณ์ หรือความปรารถนาที่มีกำลัง จะถูกหรือผิดประการใดครับ

3. ฌานลาภีบุคคลหรือพรหมบุคคลที่เป็นปุถุชน อบรมเจริญความสงบเข้าฌานมีฌานนิมิตเป็นอารมณ์ มีฌานจิตเกิดขึ้นประกอบด้วยองค์ฌาน เมื่อฌานกุศลจิตดับไป โลภะที่ติดข้องที่ติดข้อง ในอารมณ์ของฌาน รวมไปถึงฌานจิตโดยเห็นผิดว่าเป็นเรา อันนี้เป็นภวตัณหาใช่ไหมครับ

4. พระอนาคามีแม้ความเห็นผิดดับ และความยินดีในกามคุณ ๕ ก็ดับสิ้นแล้ว ไม่เกิดอีก เมื่อจุติจากโลกนี้ไปแล้วเกิดในพรหมโลก ข้อความในคัมภีร์ปปัญจสูทนี แสดงว่า ท่านยังมีภวตัณหา ท่านเห็นต้นอุทยานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาส แล้วเปล่งอุทานว่า สุขหนอ เข้าใจว่าท่านคงไม่ได้ติดในความงามของต้นไม้ เพราะความพอใจในกามคุณ ๕ ท่านดับได้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านพอใจในการเกิดเป็นพรหมบุคคล ในฌานจิต ในความสงบ และอยากมีชีวิตอยู่เรื่อยๆ ต่อไปหรืออย่างไรครับ

5. ภวตัณหาที่เกิดกับความเห็นผิด เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วคิดว่าเป็นเรา ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่างนี้เป็นภวตัณหาที่เกิดกับความเห็นผิดใช่ไหมครับ เข้าใจว่าปัญญาขั้นฟังจะทำให้ความคิดอย่างนี้ไม่เกิดบ่อย แต่ก็มีโอกาสเกิดได้เพราะยังไม่ได้ดับไป

6. เข้าใจว่าภวตัณหาเกิดได้แม้ไม่ร่วมกับความเห็นผิดว่าฝ่ายสัสตทิฏฐิ เพราะแม้กระทั่งพระอนาคามียังดับภวตัณหาไม่ได้ ภวตัณหาที่ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ที่สำคัญว่านามรูปนั้นเที่ยงไม่ดับยั่งยืน เป็นต้น มีโอกาสเกิดขึ้นไหมครับในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะที่ทำบุญแล้วอยากเกิดในสวรรค์ การดีใจที่หายป่วยหรือพ้นจากอุบัติเหตุภัยอันตราย การอยากมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนาน เป็นต้น อย่างนี้พอจะเป็นตัวอย่างได้ไหมครับ

7. “อรูปภเว ตณฺหา อรูปตณฺหา ฯ อุจฺเฉททิฏฺฐิสหคโต ราโค นิโรเธ ตณฺหา นิโรธตณฺหา ฯ ” ควรจะแปลแยกประโยคว่า “ตัณหาในอรูปภพ ชื่อว่า อรูปตัณหา” และ “ความกำหนัดที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นตัณหาในความดับ ชื่อว่า นิโรธตัณหา” ใช่หรือไม่ครับ ขออาจารย์พิจารณาคำแปลด้วย ดูเหมือนคำแปลในฉบับแปลจะตรงกับวรรคตอนในภาษาบาลีหรือไม่ครับ

กราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 27 ก.พ. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ยินดีในกุศลวิริยะของคุณวิทวัตอย่างยิ่ง ครับ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ดังนี้

1. “ปตฺถนา” ที่ท่านแปลว่า ความมุ่งหมาย คำนี้ ภาษาไทย คือ ปรารถนา หรือเปล่าครับ
ปตฺถนา แปลว่า ปรารถนา นั้น ถูกต้องแล้ว ซึ่งเป็นความอยากได้ ความต้องการ นั่นเอง เพราะกำลังอธิบายถึงความเป็นจริงของตัณหา


2. “สมฺปตฺถนา” ที่ท่านแปลว่า ความปรารถนาดี อันนี้ภาษาไทย อาจจะสับสนหน่อยครับ เพราะฟังดูเป็นเรื่องดีกระผมเข้าใจว่า หมายถึง ความปรารถนาที่สมบูรณ์ หรือความปรารถนาที่มีกำลัง จะถูกหรือผิดประการใดครับ

ถ้าเพียงดูคำแปลยังไม่พอ ก็ต้องดูเนื้อหาตรงนั้นด้วยว่ากำลังกล่าวถึงธรรมอะไร เพราะตรงนี้กำลังอธิบายถึงตัณหา สมฺปตฺถนา คำนี้ จึงแสดงให้เห็นถึงความอยากได้ ความต้องการในสิ่งนั้นๆ ที่เป็นที่ติดข้องต้องการ ไม่ใช่อย่างอื่น ซึ่งก็เป็นไปตามกำลังของตัณหา ถ้ามีกำลังมากก็ล่วงเป็นทุจริตกรรมได้


3. ฌานลาภีบุคคลหรือพรหมบุคคลที่เป็นปุถุชน อบรมเจริญความสงบเข้าฌานมีฌานนิมิตเป็นอารมณ์ มีฌานจิตเกิดขึ้นประกอบด้วยองค์ฌาน เมื่อฌานกุศลจิตดับไป โลภะที่ติดข้องที่ติดข้อง ในอารมณ์ของฌาน รวมไปถึงฌานจิตโดยเห็นผิดว่าเป็นเรา อันนี้เป็นภวตัณหาใช่ไหมครับ

เป็นตัณหาที่ประกอบด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยง ยั่งยืน คือ ภวตัณหา ครับ

4. พระอนาคามีแม้ความเห็นผิดดับ และความยินดีในกามคุณ ๕ ก็ดับสิ้นแล้ว ไม่เกิดอีก เมื่อจุติจากโลกนี้ไปแล้วเกิดในพรหมโลก ข้อความในคัมภีร์ปปัญจสูทนี แสดงว่า ท่านยังมีภวตัณหา ท่านเห็นต้นอุทยานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาส แล้วเปล่งอุทานว่า สุขหนอ เข้าใจว่าท่านคงไม่ได้ติดในความงามของต้นไม้ เพราะความพอใจในกามคุณ ๕ ท่านดับได้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านพอใจในการเกิดเป็นพรหมบุคคล ในฌานจิต ในความสงบ และอยากมีชีวิตอยู่เรื่อยๆ ต่อไปหรืออย่างไรครับ

ภวตัณหาในที่นี้ มุ่งหมายถึง ติดข้องยินดีพอใจในการเกิดนั่นอง เพราะท่านยังมีตัณหาที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งจะดับได้หมดสิ้นเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์

5. ภวตัณหาที่เกิดกับความเห็นผิด เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วคิดว่าเป็นเรา ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่างนี้เป็นภวตัณหาที่เกิดกับความเห็นผิดใช่ไหมครับ เข้าใจว่าปัญญาขั้นฟังจะทำให้ความคิดอย่างนี้ไม่เกิดบ่อย แต่ก็มีโอกาสเกิดได้เพราะยังไม่ได้ดับไป

ถูกต้องครับ

6. เข้าใจว่าภวตัณหาเกิดได้แม้ไม่ร่วมกับความเห็นผิดว่าฝ่ายสัสตทิฏฐิ เพราะแม้กระทั่งพระอนาคามียังดับภวตัณหาไม่ได้ ภวตัณหาที่ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ที่สำคัญว่านามรูปนั้นเที่ยงไม่ดับยั่งยืน เป็นต้น มีโอกาสเกิดขึ้นไหมครับในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะที่ทำบุญแล้วอยากเกิดในสวรรค์ การดีใจที่หายป่วยหรือพ้นจากอุบัติเหตุภัยอันตราย การอยากมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนาน เป็นต้น อย่างนี้พอจะเป็นตัวอย่างได้ไหมครับ

ตัวอย่างที่ยกมา เกี่ยวเนื่องกับกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ความติดข้องอย่างนั้น ไม่พ้นจากความติดข้องในกามซึ่งเป็นกามตัณหา ครับ

7. “อรูปภเว ตณฺหา อรูปตณฺหา ฯ อุจฺเฉททิฏฺฐิสหคโต ราโค นิโรเธ ตณฺหา นิโรธตณฺหา ฯ ” ควรจะแปลแยกประโยคว่า “ตัณหาในอรูปภพ ชื่อว่า อรูปตัณหา” และ “ความกำหนัดที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นตัณหาในความดับ ชื่อว่า นิโรธตัณหา” ใช่หรือไม่ครับ ขออาจารย์พิจารณาคำแปลด้วย ดูเหมือนคำแปลในฉบับแปลจะตรงกับวรรคตอนในภาษาบาลีหรือไม่ครับ

ควรจะแปลแยกประโยคว่า “ตัณหาในอรูปภพ ชื่อว่า อรูปตัณหา” และ “ความกำหนัดที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นตัณหาในความดับ ชื่อว่า นิโรธตัณหา” นั่นถูกต้องแล้ว ครับ


... ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wittawat
วันที่ 28 ก.พ. 2568

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 5 มี.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ