[คำที่ ๗๐๓] วิปลฺลาส
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ " วิปลฺลาส"
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
วิปลฺลาส อ่านตามภาษาบาลีว่า วิ - ปัน - ลา - สะ มีความหมายว่า ความคลาดเคลื่อน, ความตรงกันข้าม, ความผิดเพี้ยน แปลทับศัพท์เป็น วิปลาส ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต วิปัลลาสสูตร แสดงความเป็นจริงของวิปลาสไว้ดังนี้
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส (จำคลาดเคลื่อน) จิตวิปลาส (คิดคลาดเคลื่อน) ทิฏฐิวิปลาส (เห็นคลาดเคลื่อน) มี ๔ ประการนี้ ๔ ประการ คืออะไรบ้าง คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ นี้แล สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ๔ ประการ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ๔ นี้ ๔ คืออะไรบ้าง คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ว่าไม่เที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าทุกข์ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นอนัตตาในสิ่งที่เป็นอนัตตา ว่าไม่งามในสิ่งที่ไม่งาม นี้แล สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฏฐิไม่วิปลาส ๔ ประการ
พระคาถา
สัตว์เหล่าใด สำคัญว่าเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยง สำคัญว่าสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์ สำคัญว่าเป็นอัตตาในสิ่งที่เป็นอนัตตา และสำคัญว่างามในสิ่งที่ไม่งาม ถูกความเห็นผิดชักนำไปแล้ว ความคิดซัดส่ายไป มีความสำคัญผิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า ถูกเครื่องผูกของมารผูกไว้แล้ว เป็นคนไม่เกษมจากโยคะ ย่อมเวียนเกิดเวียนตายไป เมื่อใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประดุจดวงอาทิตย์ บังเกิดขึ้นในโลก ทรงประกาศธรรมอันนี้ซึ่งเป็นทางให้ถึงความสงบทุกข์ เมื่อนั้น สัตว์เหล่านั้น ผู้ที่มีปัญญา ได้ฟังธรรมของท่านแล้วจึงกลับได้คิดเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่งาม ตามความเป็นจริง เพราะมาถือเอาทางความเห็นชอบ ก็ล่วงพ้นทุกข์ ทั้งปวงได้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำเป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เกื้อกูลผู้ที่มากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยความเห็นผิดและกิเลสประการอื่นๆ ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เจริญขึ้น พ้นจากความไม่รู้ความเห็นผิดและกิเลสทั้งหลายที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เกื้อกูลให้เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธรรมประเภทใด ก็แสดงให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง แม้แต่ธรรมที่เป็นอกุศล ก็แสดงให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า เป็นอกุศล เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย และในขณะที่อกุศลเกิดขึ้นนั้นก็เป็นวิปลาสด้วย
วิปลาส หมายถึง ความคลาดเคลื่อน ความตรงกันข้าม ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ สัญญาวิปลาส (คลาดเคลื่อนด้วยความจำ คือ จำผิด) ๑ จิตตวิปลาส (คลาดเคลื่อนด้วยจิต คือ คิดผิด) ๑ ทิฏฐิวิปลาส (คลาดเคลื่อนด้วยมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิด) ๑ วิปลาส มีในขณะที่จิตเป็นอกุศลเท่านั้น
วิปลาสทั้ง ๓ นี้เป็นไปในวัตถุ (ที่ตั้งแห่งวิปลาส) ๔ คือ ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน ๑ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ จึงเป็นวิปลาส ๑๒ อย่าง ได้แก่
๑. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าเป็นของงาม
๒. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าเป็นสุข
๓. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าเที่ยง
๔. สัญญาวิปลาส จำผิดว่าธรรมเป็นตัวตน
๕. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าเป็นของงาม
๖. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าเป็นสุข
๗. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าเที่ยง
๘. จิตตวิปลาส คิดผิดว่าธรรมเป็นตัวตน
๙. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าเป็นของงาม
๑๐. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าเป็นสุข
๑๑. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าเที่ยง
๑๒. ทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดว่าธรรมเป็นตัวตน
การละวิปลาส ต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคล โดยที่พระโสดาบันและพระสกทาคามีละวิปลาสได้ ๘ ประเภท คือ ละสัญญาวิปลาสในธรรมที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ละสัญญาวิปลาสในธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน ๑ ละจิตตวิปลาสในธรรมที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ละจิตวิปลาสในธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน ๑ และละทิฎฐิวิปลาสในวัตถุทั้ง ๔ ได้
พระอนาคามีละวิปลาสได้อีก ๒ คือ ละสัญญาวิปลาสในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ และละจิตตวิปลาสในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑
พระอรหันต์ละวิปลาสที่เหลือทั้งหมดอีก ๒ คือ ละสัญญาวิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ และ ละจิตตวิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑
สำหรับที่กล่าวถึงวิปลาสนั้น ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๙๐๒ และ ครั้งที่ ๑๘๘๓ มีดังนี้
วิปลาสมีในขณะที่อกุศลจิตเกิด เห็นสัตว์เลี้ยง สัญญาวิปลาสก็จำเรื่องราว และวิปลาสไปด้วยจิตที่ประกอบด้วยโลภะ ขณะนั้นเป็นวิปลาส แต่เมื่อเปรียบเทียบกับขณะนี้ที่กำลังฟังและเริ่มที่จะเข้าใจ เป็นทางที่จะละวิปลาสหรือเปล่า
ถ้ายังคงมีวิปลาสอยู่มากๆ ไม่มีทางเลย วิปลาสก็ตามไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น จึงต้องแสดงให้เห็นว่า ขณะใดมีวิปลาส และขณะใดไม่มีวิปลาส
ขณะที่เป็นกุศล ขณะที่โสภณธรรมเกิดขึ้น ไม่มีอวิชชาขึ้นมาปิดบัง ก็ไม่มีสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส เพราะในขณะนั้นเป็นเรื่องราวของกุศล ที่แน่นอนคือกุศลที่เป็นไปในเรื่องของปัญญาความเห็นถูก ซึ่งขณะนั้นก็จะค่อยๆ คลายความวิปลาส แต่ถ้ากล่าวถึงกุศลอื่น จะยังให้มีวิปลาสเกิดร่วมด้วยไหม ถ้ายังให้มีวิปลาสเกิดร่วมด้วย ก็คงจะหมดทางตั้งต้น เพราะกว่าปัญญาจะเจริญ ก็เป็นจิรกาลภาวนาซึ่งจะต้องเจริญกุศลนานาประการทีเดียว ก็ขอฝากท่านผู้ฟังให้พิจารณา รวมทั้งท่านผู้รู้บาลีและอรรถกถาด้วย เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อของนามธรรมรวดเร็วเหมือนอยู่ในความมืด วิปลาสเป็นเรื่องต้องละ แม้พระโสดาบันบุคคลซึ่งดับมิจฉาทิฏฐิแล้วก็ยังมีวิปลาส แต่ก็ควรที่จะได้ถามว่าในขณะไหนสำหรับพระโสดาบันที่ยังมีวิปลาส ในขณะที่เป็นอกุศลหรือในขณะที่เป็นกุศล เพราะพระโสดาบันยังมีสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส ในขณะที่เกิดความยินดีเพลิดเพลินขึ้นด้วยกำลังของอวิชชาซึ่งยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท (แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๙๐๒)
สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ละวิปลาสไปตามลำดับ คือผู้ที่เป็นพระโสดาบันละทิฏฐิวิปลาส แต่ยังมีสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส ในขณะที่ถือสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข สภาพธรรมที่ไม่งามว่างาม
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นต่อไป ไม่ต้องละทิฏฐิวิปลาสแล้ว ยังคงเหลือแต่สัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส
พระอนาคามีบุคคล ท่านละวิปลาสที่เห็นว่างามในสิ่งที่ไม่งาม เพราะว่าท่านละความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ท่านไม่มีความเห็นว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้งามที่จะเพลิดเพลินยินดีอีกต่อไป แต่เมื่อท่านยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ยังมีโมหะอยู่ ก็ยังเห็นว่าสภาพธรรมบางอย่างเป็นสุข จึงยังคงมีสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาสในสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เมื่อใดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นจะดับสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาสในสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุขได้ เพราะแม้แต่ความสงบของจิตก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะว่าเกิดขึ้นและดับไป (แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๘๘๓)
ในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส ย่อมเป็นผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุมจิตใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมองอยู่เป็นประจำ ยังไม่พ้นไปจากวิปลาส ซึ่งไม่ใช่เฉพาะวันนี้ ชาตินี้เท่านั้น เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว การที่จะดับกิเลสให้หมดไปนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงต้องเริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรม เพื่อสะสมปัญญาต่อไป เพราะเหตุว่ากิเลสที่มีมาก ต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น จึงจะดับได้ และปัญญาจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน ด้วยการฟัง การศึกษาบ่อยๆ เนืองๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ที่สำคัญจะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

