ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๗๐๑] อุปฺปาทวยสภาว
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อุปฺปาทวยสภาว ”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
อุปฺปาทวยสภาว อ่านตามภาษาบาลีว่า อุบ - ปา - ทะ - วะ - ยะ - สะ - บา - วะ มาจากคำว่า อุปฺปาท (เกิดขึ้น) วย (เสื่อมไป) กับคำว่า สภาว (ความเป็นจริง, ความเป็นจริงของสิ่งนั้น) รวมกันเป็น อุปฺปาทวยสภาว แปลว่า มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นสภาพ , มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นความเป็นจริง ซึ่งแสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง คือสังขารทั้งปวง เพราะสังขาร คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเกิดแล้วก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนแต่อย่างใด
ในสารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค นันทนสูตร มีคำอธิบายดังนี้
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา อธิบายว่า สังขารอันเป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วหามีไม่ (เกิดแล้วก็ดับไป) . คำว่า อุปฺปาทวยธมฺมิโน ได้แก่ สภาวะที่เกิดขึ้นและเสื่อมไป (มีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา) . คำว่า อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ (เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป) นี้ เป็นไวพจน์ของคำก่อน (คือ อุปฺปาทวย) . อีกอย่างหนึ่ง แปลว่า เพราะเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์เมื่อครั้งที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ก็เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ คือรู้อย่างแจ่มแจ้งซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงมีพระมหากรุณา แสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามพระองค์ ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ทรงให้ประโยชน์กับคนอื่นจากแต่ละคำของพระองค์ ถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะอยู่แสนไกลหรือแม้กระทั่งช่วงเวลาที่พระองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เขาต่อไปในสังสารวัฏฏ์ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาจากการตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ทุกกาลสมัยด้วย
พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีล้าสมัย เป็นประโยชน์ทุกเมื่อ ประโยชน์ที่พระองค์ทรงมอบให้กับพุทธบริษัทก็คือ ความเข้าใจซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ถ้าหากกล่าวถึงการที่จะให้อะไรแก่ใคร ไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้า และอาหาร เป็นต้น สิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง และไม่ได้ติดตามไปในภพหน้าได้เลย แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้คนเกิดความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจนั้น ไม่หมด เพราะเหตุว่าสะสมสืบต่อไปจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงจนถึงความเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขึ้นได้ จึงแสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ประเสริฐที่สุด มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์
สำหรับสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น ก็คือขณะนี้ทั้งหมด มีในขณะนี้จริงๆ ซึ่งเป็นสังขารธรรมคือเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะไม่พ้นไปจากธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเลย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แม้จะไม่เรียกชื่อ แต่ความเป็นจริงของธรรมก็ไม่เปลี่ยน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น โดยประมวลแล้ว ธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วมีความเสื่อมไปหรือดับไปเป็นธรรมดาซึ่งเป็นสังขารธรรมนั้น ก็คือ ขันธ์ (สภาพที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) ทั้ง ๕ นั่นเอง
ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ (รูปทั้งหมด) ๑ เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) ๑ สัญญาขันธ์ (ความจำ) ๑ สังขารขันธ์ (ได้แก่ เจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ๕๐ ประเภท มี ผัสสะ เป็นต้น) ๑ วิญญาณขันธ์ (จิตทุกประเภท) ๑ แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เกื้อกูลให้เริ่มเข้าใจว่า ต้องมีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมดเป็นขันธ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่ได้ยั่งยืนเลย ไม่เที่ยง เพราะต้องดับไป ยกตัวอย่างเช่น ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วปรากฏ เมื่อมีสภาพรู้กำลังเห็นสิ่งนั้น จึงปรากฏว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องเกิดแน่นอนเพราะปรากฏว่ามีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และเห็นก็มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงประมวลได้ว่าในขณะที่เห็น มีอะไรบ้างที่เป็นขันธ์ กล่าวคือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปขันธ์ และเห็นซึ่งเป็นจิตประเภทหนึ่ง ก็เป็นวิญญาณขันธ์ และในขณะที่เห็นเกิดขึ้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ได้แก่ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ เจตสิกอีก ๕ ที่เกิดร่วมกับจิตเห็น คือ ผัสสะ (สภาพที่กระทบอารมณ์) เจตนา (สภาพที่จงใจขวนขวายให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมกันทำกิจหน้าที่) เอกัคคตา (สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์) ชีวิตินทรีย์ (สภาพที่เกิดขึ้นทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยดำรงอยู่จนกว่าจะดับไป) และมนสิการ (สภาพที่ใส่ใจในอารมณ์) ก็เป็นสังขารขันธ์ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน นี้คือ การยกตัวอย่างให้เข้าใจถึงความเป็นขันธ์ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ซึ่งไม่พ้นไปจากขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลเป็นตัวตนไม่ได้เลย
ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ แต่ธรรมเกิดแล้วมีแล้วในขณะนี้ จากที่ไม่มีแล้วเกิดมีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ควรหรือที่จะหลงติดข้องหลงยึดถือในสิ่งที่ไม่มี เพราะเพียงเกิดแล้วก็ดับไป? ธรรม เป็นสิ่งที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา
ไม่มีใครรู้ว่าชาติก่อนเกิดเป็นอะไร และชาติต่อไปจะเกิดเป็นอะไร แม้แต่ขณะต่อไปจะเกิดอะไร ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ จะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าใด ไม่มีใครรู้ได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในแต่ละชาติ คือ ความเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าทรัพย์สินเงินทองก็นำไปไม่ได้ ร่างกายของตนก็ติดตามไปไม่ได้เลย แต่ว่าความเข้าใจธรรมที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ทำให้ค่อยๆ มั่นคงในความเป็นจริงของธรรมยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลโดยตลอด เป็นที่พึ่งได้ในกาลทุกเมื่อ
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..