[คำที่ ๖๙๙] สตฺถุคารวตา
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สตฺถุคารวตา”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
สตฺถุคารวตา อ่านตามภาษาบาลีว่า สัด - ถุ - คา - ระ - วะ - ตา มาจากคำว่า สตฺถุ (พระศาสดา, ผู้สอน, ผู้นำประโยชน์มาให้ ในที่นี้มุ่งหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา เป็นผู้สอน ผู้นำประโยชน์มาให้แก่สัตว์โลกโดยไม่มีใครเปรียบได้เลย) กับคำว่า คารวตา (ความเป็นผู้มีความเคารพ) รวมกันเป็น สตฺถุคารวตา เขียนเป็นไทยได้ว่า สัตถุคารวตา แปลว่า ความเป็นผู้มีความเคารพในพระศาสดา ตามข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ปฐมอปริหานิย-สูตร ว่า “ความเป็นผู้เคารพในพระศาสดา ชื่อว่า สตฺถุคารวตา” แสดงถึงสภาพธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้น มีความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดา การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ด้วยการฟังการศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง มีความเข้าใจที่ถูกต้องจึงรู้จักพระองค์และมีความเคารพตามปัญญาของตนที่เจริญขึ้น ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะได้มีความเคารพในพระองค์ ก็สามารถที่จะอบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้น มีสภาพธรรมฝ่ายดีเจริญขึ้น ละอกุศลได้ ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-นิบาต สักกัจจสูตร ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกร สารีบุตร ดีล่ะๆ ภิกษุ สักการะ เคารพ อาศัยพระศาสดาอยู่แล จะพึงละอกุศล เจริญกุศล
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้หมดจดจากกิเลส เป็นผู้พ้นจากกิเลสด้วยพระองค์เอง พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่เพียงเพื่อตรัสรู้เฉพาะเพื่อพระองค์เองเท่านั้น แต่เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พระองค์ทรงเห็นว่าสัตว์โลกมากไปด้วยกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ทั้งหลาย มีความติดข้อง ความไม่รู้ และความเห็นผิด เป็นต้น ด้วยพระมหากรุณาที่ไม่มีใครเสมอเหมือน จึงทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกได้พ้นจากกิเลสตามพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ ทุกคำของพระองค์เป็นความจริงทุกกาลสมัย เพราะไม่ได้เกิดจากการตรึกนึกคิด แต่ว่าเกิดจากการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมจนหมดความสงสัยและหมดความไม่รู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย มืดสนิทด้วยความไม่รู้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นคำสอนของพระผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาก็ดำรงสืบทอดมาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม เพราะการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ผู้ฟังได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และรู้ว่าเป็นเหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น คือฟังด้วยความตั้งใจ ด้วยความละเอียดรอบคอบ พระธรรมที่ทรงแสดง ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะให้ปัญญาเกิด จึงต้องฟัง ต้องศึกษาเท่านั้น สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรมก็จะเห็นได้ว่า ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ให้เวลากับสิ่งที่มีค่าที่สุดนี้ โดยเริ่มจากคำแรก คือ คำว่าธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดทั้งปวงของการฟังนั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมของพระองค์ จึงจะรู้จักพระองค์และมีความเคารพสักการะต่อพระองค์อย่างยิ่ง เพราะเห็นคุณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมแล้วๆ เล่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้ฟังจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ จึงทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขาได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ชาวพุทธที่แท้จริงก็ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครที่จะประเสริฐกว่าพระองค์ เมื่อไม่มีใครที่จะประเสริฐกว่าพระองค์ สมควรไหมที่จะเคารพสูงสุดด้วยการศึกษาให้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง แล้วเราจะไม่เป็นผู้ฟังคนหนึ่งหรือ ? ที่จะค่อยๆ ฟังพระธรรม ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เคารพ นอบน้อม สักการะยิ่งขึ้น
ข้อที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ บุคคลผู้ที่มีความเคารพสักการะและระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมเสมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่เฉพาะหน้า ไม่สามารถที่จะกระทำอะไรที่ผิดที่ไม่เหมาะไม่ควรได้เลย เพราะเหตุว่า ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงพระธรรม ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่า ธรรมใดเป็นอกุศลที่ควรละ ธรรมใดเป็นกุศลที่ควรเจริญ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงต้องการอย่างอื่นใดทั้งสิ้นจากพุทธบริษัทเลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่า คือ พระธรรม ด้วยการทรงจำแนกแจกแจงแสดงความจริงโดยละเอียด โดยนัยประการต่างๆ ให้กับพุทธบริษัท แต่ผู้นั้นจะไม่ได้รับมรดกที่ล้ำค่านี้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ดังนั้น ใครที่ไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธไม่ได้เลย ไม่ใช่ชาวพุทธอย่างแน่นอน เพราะว่า ถ้าเป็นชาวพุทธ ต้องตรงและจริงใจ เคารพนับถือ ก็ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น มีค่ามาก มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกทั้งปวง จึงต้องฟังต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ควรให้ผ่านไปโดยฟังอย่างไม่ตั้งใจหรือว่าเป็นผู้เผิน เพราะเหตุว่าบุคคลผู้ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา ปัญญาย่อมเจริญขึ้น เพิ่มขึ้นจากการฟังในแต่ละครั้ง เป็นการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ประมาทในทุกคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..
