วิพากษ์วิจารณ์ คือความไม่รู้

[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 27 - 28
อรรถกถาวิภังคสูตร
พึงทราบวินิจฉัยใน วิภังคสูตรที่ ๘.
ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ชื่อว่า เป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก. จริงอยู่ทุกขสัจจะ ก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้น ย่อมถึงแม้ซึ่งอันตนพึงกล่าวว่า ทุกข์หนอ ในการกระทบด้วยตอและหนามเป็นต้น. แม้สมุทัยก็ปรากฏได้เพราะความเกิดขึ้น ด้วยสามารถมีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะเคี้ยวกินและจะบริโภค เป็นต้น. แต่ว่า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะ ทุกข์และสมุทยสัจแม้ทั้งสองก็เป็นธรรมลุ่มลึก. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นธรรมอันลุ่มลึก. เพราะเห็นได้ยาก ด้วยประการดังนี้. ความพยายามเพื่อต้องการเห็นสัจจะทั้งสองนอกนี้ (นิโรธ มรรค) ย่อมเป็นเหมือนการเหยียดมือไปเพื่อจับภวัคคพรหม เหมือนการเหยียดเท้าไปเพื่อถูกต้องอเวจี และเหมือนการยังปลายแห่งขนหางสัตว์ซึ่งแยกแล้วโดย ๗ ส่วนให้ตกสู่ปลาย. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. บทเป็นอาทิว่า ทุกฺเข าณํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยสามารถการเรียนเป็นต้น ในสัจจะ ๔ ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก และชื่อว่าเป็นธรรมเห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก ด้วยประการดังนี้. ส่วนญาณนั้น ย่อมมีอย่างนี้แล ในลักษณะแห่งปฏิเวธ.
อ.อรรณพ: เมื่อวาน อ.ธีรพันธ์ก็ได้นำสนทนาในเรื่อง ฟังเพื่อรู้ความลึกซึ้งของธรรม ซึ่ง อ.ธีรพันธ์ ยังมีประเด็นอะไรจะกราบเรียนท่านอาจารย์ต่อไหมครับในเรื่องฟังเพื่อรู้ความลึกซึ้งของธรรม
อ.ธีรพันธ์: กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อวานมีการสนทนาเรื่อง ฟังธรรมเพื่อเห็นความลึกซึ้งของธรรม แล้วก็ยังมีคำว่า วิพากษ์วิจารณ์ธรรม ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: ไหนลองวิพากษ์วิจารณ์ธรรมให้ฟังหน่อยซิ?
อ.ธีรพันธ์: อาจจะกล่าวไปตามความเห็น
ท่านอาจารย์: นั่นแหละๆ ลองวิพากษ์วิจารณ์ธรรมซิ เราจะไม่พูดเรื่องราว แต่ทุกคำที่เราพูดนี่หมายถึงอะไร ไม่ใช่นั้นเราก็เพ้อเจ้อตามกันไปหมด ถ้าใช้คำว่า วิพากษ์วิจารณ์ธรรม ก็ต้องมีตัวอย่าง
อ.ธีรพันธ์: ครับ อย่างเช่น โลกนี้เกิดมามีความเป็นมาอย่างไรถึงได้เรียกว่าโลก
ท่านอาจารย์: ขอโทษค่ะ ไหนล่ะ ธรรม? วิพากษ์วิจารณ์ธรรม? โลกนี้เกิดมาแล้วไง ไหนว่าโลกอะไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ลอยๆ ก็มีการฟังธรรมนี่แหละครับ แต่พูดถึงธรรมที่กล่าวถึงอย่างเช่น คำว่า โลก นี่ครับ ก็กล่าวว่าโลกครับ
ท่านอาจารย์: นี่คือสนทนาธรรมหรือเปล่า เมื่อกล่าวคำว่า โลก หรือวิพากษ์วิจารณ์?
อ.ธีรพันธ์: ก็เริ่มที่จะวิพากษ์วิจารณ์แล้วโดยที่ยังไม่รู้ ...
ท่านอาจารย์: วิพากษ์วิจารณ์เลยๆ วิพากษ์วิจารณ์ว่าอย่างไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ ว่าโลกเป็นมาอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: โลกเป็นมาอย่างไร วิพากษ์วิจารณ์อะไร วิพากวิจารณ์โลกหรืออะไร หรือความเป็นไปของโลก?
อ.ธีรพันธ์: ความเป็นไปของโลกครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่วิจารณ์โลกนะ
อ.ธีรพันธ์: นี่ครับ เริ่มเห็นความแตกต่างแล้วครับ
ท่านอาจารย์: นี่แหละ ความเข้าใจธรรม ละเอียดทุกคำ ต้องตรง ไม่อย่างนั้นพูดกันเรื่องอะไร เรื่องอะไรก็ไม่รู้ พากันไปหมด แล้วก็เข้าใจว่าอย่างนั้น เข้าใจว่าอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ยังไม่รู้เลยว่าอะไร เพราะไม่รู้ จึงเข้าใจว่าวิพากษ์วิจารณ์ อะไรก็ไม่รู้
อ.ธีรพันธ์: ก็คำนี้ส่วนใหญ่คำว่า วิพากษ์วิจารณ์ ในทางโลกก็เหมือนกับว่า ผู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์แสดงว่า ผู้นั้นต้องมีความรู้เป็นของคนนั้นแล้ว แล้วก็วิพากษ์ในสิ่งที่ตนเองเห็น หรือทราบนี่ครับ วิจารณ์ก็ทำให้คิดถึงว่า การวิพากษ์วิจารณ์ ก็คือเหมือนกับว่าเป็นผู้ใส่ใจสนใจในพระธรรม แต่จริงๆ แล้วมันก็ยังไม่เพื่อความลึกซึ้งจริงๆ ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: วิพากษ์วิจารณ์ คือความไม่รู้
อ.ธีรพันธ์: ก็เขารู้ครับ
ท่านอาจารย์: รู้อะไร?
อ.ธีรพันธ์: บอกวิจารณ์ด้วยความรู้
ท่านอาจารย์: ว่ามา วิจารณ์อะไร วิจารณ์อะไรก่อน ต้องมีสิ่งที่เขาวิจารณ์ใช่ไหม? อะไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ แสดงว่า หาตัวจริงไม่เจอ
ท่านอาจารย์: พูดกันไปด้วยความไม่รู้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ก็เริ่มเห็นความแตกต่างของวิพากษ์วิจารณ์ เพราะว่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่รู้ เพราะว่าศึกษาธรรมเพื่อรู้นี่ครับ
ท่านอาจารย์: ก็เขารู้อะไร พูดมาซิ?
อ.ธีรพันธ์: ก็รู้ จิต เจตสิก รูป
ท่านอาจารย์: จิต คืออะไร จิตคืออะไรนั้นไม่ใช่วิพากษ์นะ
อ.ธีรพันธ์: ก็รู้ครับ จิตเป็นธาตุรู้ เจตสิกที่..
ท่านอาจารย์: แค่นี้ค่ะ แค่นี้ จิตเป็นธาตุรู้ พอไหม? รู้แล้วหรือ หรือว่าพูดว่า ธาตุรู้?
อ.ธีรพันธ์: ครับ มาตรงนี้ก็ไม่พอเลยครับ
ท่านอาจารย์: แล้วจะไปวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่รู้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ตรงนี้ครับที่จะเป็นตรงนี้ที่จะออกจากวิพากษ์วิจารณ์ แล้วเพื่อจะรู้จริงๆ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อย่าตามใคร พูดอะไรต้องรู้ว่า กำลังพูดอะไร เรื่องอะไร ไม่ใช่คำวิพากษ์วิจารณ์ เราก็วิพากษ์วิจารณ์ไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าวิพากษ์วิจารณ์คืออะไร แล้ววิพากษ์วิจารณ์นั้นรู้อะไรหรือเปล่าที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์
อ.ธีรพันธ์: ครับ ก็เริ่มมาที่รู้ก่อนว่า คืออะไรก่อนครับ
ท่านอาจารย์: ธรรมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ธรรมไม่ใช่เรื่องใครๆ ก็คิดได้ แต่ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงที่ลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ แม้กำลังปรากฏก็ไม่รู้ความจริง แล้วจะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ มีธรรมอยู่แท้ๆ ก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์: และก็วิพากษ์วิจารณ์ใหญ่ด้วยความไม่รู้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ก็พอได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มเติม ลึกซึ้งเพิ่มเติมขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้ว่า สิ่งที่มี ไม่มีใครรู้ เพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง แล้วก็มัวแต่วิพากษ์วิจารณ์กัน แล้วจะรู้ได้อย่างไร
อ.ธีรพันธ์: ก็เป็นผู้สนใจนะครับ
ท่านอาจารย์: สนใจแล้วอย่างไร สนใจแล้วเข้าใจหรือเปล่า?
อ.ธีรพันธ์: สนใจแล้วเข้าใจหรือเปล่า ...
ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่เข้าใจ วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่รู้ใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: เป็นไปกับความไม่รู้ครับ ท่านอาจารย์ให้เห็นความที่จะเสียเวลาไปกับวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงซึ่งรู้ยากครับ จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ก็บังคับไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์
ท่านอาจารย์: ก็ไม่รู้ต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้วิพากษ์วิจารณ์ หรือให้เข้าใจ?
อ.ธีรพันธ์: ให้เข้าใจครับ ตรงนี้ชัดเลยครับท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้ และทรงแสดงไม่ให้ ไม่ใช่เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ครับ ตรงนี้เห็นชัดเจนเลยครับ กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มได้ที่..
การศึกษาพระอภิธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ
ทุกข์และสมุทยสัจเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก [อรรถกถาวิภังคสูตร]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ ด้วยความเคารพค่ะ



