Englsh-Hindi 28 December 2024

 
prinwut
วันที่  29 ธ.ค. 2567
หมายเลข  49170
อ่าน  401

English-Hindi 28 December 2024


- ตอนนี้คุณสนใจนิพพาน เดี๋ยวนี้มีนิพพานไหม เพียงอยากเข้าใจคำที่ได้ยินเท่านั้นใช่ไหม หรือเข้าใจความจริง (อยากเข้าใจนิวรณ์) ค่ะ เพราะฉะนั้นนิวรณ์คืออะไร (นิวรณ์คือกิเลส)

- เรากำลังศึกษาความจริงของสิ่งที่กำลังมีเพื่อเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือ ทั้งหมดเป็นธรรม และ ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ศึกษาเพื่อละความคิดเรื่องนิวรณ์ ละความคิดที่ว่า ”ฉันมีนิวรณ์“ หรือศึกษาว่า ไม่มีใคร มีเพียงนิวรณ์ เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อละความยึดถือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เพื่อเข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไรที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ไม่มีใครรู้

- เพราะฉะนั้นจะละความคิดที่ว่าเป็นเรามีนิวรณ์อย่างไร มีนิวรณ์อะไรบ้าง เมื่อเกิดขึ้นที่สามารถที่จะเข้าใจนิวรณ์ได้ไหมที่ไม่ใช่แค่คำ แม้เดี๋ยวนี้เรากำลังสนทนาถึงนิวรณ์ แต่แม้ว่ากำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ หรือว่าศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่เพียงแค่คำแต่ศึกษาความจริง

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจอรรถของนิวรณ์ เริ่มต้นด้วยการเข้าใจว่า นิวรณ์มีจริงไหม สิ่งที่เคยได้ฟังมาเกี่ยวกับนิวรณ์มีอะไรบ้างเท่าที่รู้ (เป็นเครื่องกั้นเป็นอุปสรรคจากที่เคยอ่านพบในพระไตรปิฎกว่า นิวรณ์เกี่ยวกับฌาน)

- แล้วนิวรณ์คืออะไร เมื่อไม่ได้เป็นไปในฌาน (นิวรณ์เป็นเครื่องกั้น) เพราะฉะนั้นความหมายหรือลักษณะของสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์คืออะไร ศึกษาเพื่อเข้าใจไม่ใช่เพื่อคิดถึงว่า มันเป็นอย่างนั้นๆ แต่เพื่อเข้าใจเมื่อนิวรณ์กำลังมี เดี๋ยวนี้มีนิวรณ์ไหม

- แม้เดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ใช่ขณะที่กำลังอบรมเจริญฌาน เราเพียงศึกษาขณะที่แตกต่างกันในชีวิตประจำวันและขณะที่กำลังเป็นไปในการเจริญฌาน โดยไม่เข้าใจว่าฌานคืออะไร ไม่รู้ว่าอะไรเป็นองค์ของฌาน แล้วจะรู้สิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงได้อย่างไร เป็นเพียงความคิดของตนเองเรื่องนิวรณ์ที่เป็นเครื่องกั้นฌาน แต่ว่าคืออะไร

- เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ นิวรณ์คืออะไร ทำไมถึงเป็นนิวรณ์ และลักษณะของนิวรณ์มีอะไรบ้าง ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อที่จะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นๆ เป็นความเข้าใจนิวรณ์ต่างๆ ว่ามีลักษณะอย่างไร มีอาการปรากฏเป็นไปอย่างไร ไม่ใช่คิดถึงเท่านั้น

- เดี๋ยวนี้มีนิวรณ์ไหม ถ้าคุณไม่รู้ว่านิวรณ์คืออะไร นิวรณ์มีเท่าไหร่ในขณะต่างๆ เพราะฉะนั้นนิวรณ์คืออะไร นิวรณ์ไม่ใช่คุณเลยขณะที่นิวรณ์เกิดขึ้น มีนิวรณ์ได้นานทั้งวันโดยไม่รู้เลย แต่เริ่มที่จะเข้าใจนิวรณ์ เริ่มที่จะเข้าใจชีวิต เริ่มที่จะเข้าใจขณะที่เป็นไปต่างๆ กันโดยปัจจัยไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ เป็นกิเลส หรือเป็นโอคะ ฯลฯ ไม่ใช่แค่คำแต่เป็นสิ่งที่มีจริงโดยปัจจัยต่างๆ ทำให้เกิดเป็นแต่ละขณะที่แตกต่างกันที่ไม่มีวันเหมือนกันเลย แม้แต่นิวรณ์ในชาติก่อนๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายแสนโกฏกัปป์ก็ไม่ใช่อันเดียวกันแต่เป็นประเภทเดียวกัน

- ศึกษาเพื่อเข้าใจว่า ชีวิตไม่ได้ยั่งยืนเลยแต่ละขณะผ่านไปโดยไม่รู้จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงและด้วยพระปัญญาของพระองค์ทรงแสดงความจริงให้ผู้อื่นได้เข้าใจความจริงด้วย ขณะที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจคำเท่านั้นแต่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นนิวรณ์หรือไม่

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจความจริงของนิวรณ์ที่ไม่ใช่แค่คำ เพระฉะนั้นนิวรณ์คืออะไร ทีละน้อยๆ เดี๋ยวนี้มีไหม แต่ถ้าไม่รู้ว่านิวรณ์คืออะไร จะสามารถมีความเข้าใจได้ไหมแม้ว่า กำลังมีนิวรณ์เดี๋ยวนี้ แต่ถ้ามีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีก็สามารถรู้สิ่งนี้ได้ แม้โดยการไตร่ตรองพิจารณาเพราะว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณ แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมแต่ละ ๑

- ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงเห็นเพราะเดี๋ยวนี้กำลังพูดถึงคำว่า นิวรณ์ มีจริงไหม มีเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเคยได้ฟังได้ศึกษามาว่า นิวรณ์คืออะไร ต้องเป็นการพิจารณาไตร่ตรองของตนเองไม่ใช่ฟังเขาบอก นิวรณ์เดี๋ยวนี้คืออะไร เป็นขณะที่เป็นปัจจัยให้เกิดการไตร่ตรองอย่างละเอียดเพื่อเข้าใจนิวรณ์ นิวรณ์คืออะไร มิฉะนั้นถ้าเราเพียงบอกไปแล้วจะมีความเข้าใจในขณะที่มีนิวรณ์หรือไม่มีนิวรณ์ได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นตอนนี้นิวรณ์คืออะไรคะคุณอาช่า (นิวรณ์คือเครื่องกั้นเครื่องเนิ่นช้าเป็นอุปสรรคไม่ให้ก้าวหน้าไปในการเข้าใจธรรม) เป็นอุปสรรคขณะนี้หรือเปล่า มีจริงไหม เป็นรูปหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นเป็นอะไร (เป็นนาม) ตอบเป็นชื่อเพราะว่า นามรูปเดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า เป็นนามอะไร เป็นรูปอะไร มิฉะนั้นไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเลย เป็นเพียงแค่คำ เท่านี้ไม่พอเลยเพราะทุกคนทราบว่า อะไรที่มีจริงต้องมีลักษณะเป็นสภาพที่รู้อารมณ์หรือเป็นสภาพที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นเป็นประโยชน์ไหมที่จะกล่าวถึงนิวรณ์โดยที่ไม่มีความเข้าใจเลย (เดี๋ยวนี้มีนิวรณ์แต่ไม่มีความเข้าใจขณะนี้) ด้วยเหตุนี้จึงห่างไกลออกไปจากขณะนี้เพราะว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคือนิวรณ์ คือกิเลส หรือว่าคืออายตนะ หรือว่าคือปฏิจสมุปบาท ไม่ใช่คำไม่ใช่ชื่อแต่เป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อละความเข้าใจผิด

- ไม่รีบด่วนที่จะไปรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ คำนั้นคำนี้แต่ความจริงคือ แต่ละคำส่องให้เห็นถึงสภาพธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เช่นคำว่า จิต ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่มีตามความเป็นจริงอาศัยการพิจารณาไตร่ตรองคำที่ได้ฟังอย่างละเอียด จิตคือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่กำลังรู้อารมณ์ขณะนี้ เพียงแค่คำที่ได้ฟังทีละเล็กทีน้อยโดยไม่ลืมเพื่อที่จะค่อยๆ เข้าถึงลักษณะของสิ่งที่ไม่ใช่ของเราเลย แต่เป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

- เพราะฉะนั้นนิวรณ์คืออะไร เป็นจิตหรือเปล่าเดี๋ยวนี้ นิวรณ์เป็นจิตไหม (เป็นเจตสิก) ไม่ใช่จิตใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นเจตสิกประเภทไหน (เป็นอกุศล) คืออะไร มีนิวรณ์กี่ประเภท เป็นเจตสิกกี่ประเภท อะไรบ้าง เพื่อสามารถที่จะรู้ได้ขณะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ หรือว่าแม้ขณะนี้ยังไม่มีแต่ต่อไปขณะใดก็ตามที่มีก็สามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่า เราได้ศึกษาได้พิจารณาถึงความต่างระหว่างจิตและเจตสิก และแม้แต่ลักษณะของเจตสิกต่างๆ เจตสิกใดเป็นนิวรณ์ เจตสิกใดไม่ใช่นิวรณ์

- เพราะฉะนั้นมีนิวรณ์เท่าไหร่ (ไม่ทราบ) เพราะฉะนั้นนิวรณ์คืออะไร (นิวรณ์คือเครื่องเนิ่นช้า) เนิ่นช้าอะไร อะไรที่ทำให้เนิ่นช้าเดี๋ยวนี้ เนิ่นช้าในอะไร เห็นไหม ไม่ใช่แค่คำแต่ต้องเป็นความเข้าใจความจริงซึ่งสำคัญกว่ามากและเป็นหนทางที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- การเข้าใจคำสอนต้องเป็นความเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมทุกประการ แม้แต่แข็งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ แม้แต่คิดเดี๋ยวนี้ หรือแม้แต่การไม่เข้าใจนิวรณ์เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดมีจริงๆ แต่แต่ละ ๑ แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า ขัดขวาง ขัดขวางอะไร (ขัดขวางความเข้าใจ) ​ ความเข้าใจอะไร (เข้าใจสิ่งที่มีจริง) เพราะฉะนั้นขณะนี้เดี๋ยวนี้อะไรที่กำลังขัดขวาง เราต้องเข้าใจสิ่งที่เป็นนิวรณ์ไม่ใช่คำแต่ขณะกล่าวว่า “เดี๋ยวนี้มีไหม” ไม่ใช่แค่คำแต่เป็นลักษณะของสิ่งที่กั้นความจริง ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะละได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นเรา ศึกษาเพื่อเข้าใจขณะนี้ว่า อะไรเป็นเครื่องกั้นเดี๋ยวนี้ กั้นความเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ หรือว่ากั้นขณะที่เป็นไปในกุศลทุกประเภททุกขณะ มีสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เกิดกุศลเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คืออะไร ศึกษาเพื่อเข้าใจขณะที่สิ่งนี้กำลังมีไม่ใช่แค่ศึกษาคำ

- เพราะฉะนั้นในตำราแสดงไว้หรือไม่ว่า มีนิวรณ์กี่ประเภท (ไม่ทราบ) แล้วเอาคำนี้มาจากไหน จากตำราหรืออะไร (ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงคำนี้ในการสนทนาครั้งที่แล้ว) เพราะฉะนั้นเคยได้ยินคำนี้มาก่อนที่จะได้ยินจากดิฉันหรือเปล่า ไม่ทราบว่าเคยได้อ่านเคยได้ฟังคำนี้จากที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าจึงนำคำนี้มาเป็นประเด็นคำถาม หรือว่าเพิ่งได้ฟังครั้งแรก (อาคิ่ลได้ฟังจากครั้งที่แล้วและไปอ่านเพิ่มในพระไตรปิฎกพบว่า เครื่องกั้นที่เป็นนิวรณ์มี ๕ ประการแต่อาช่าเพิ่งฟังครั้งแรก)

- คุณได้อ่านนิวรณ์มาแล้ว คืออะไร (เป็นอุปสรรค เป็นเครื่องเนิ่นช้า ขวางกั้นไม่ให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้และมี ๕​ อย่าง) เพราะฉะนั้นจะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นเครื่องกั้นก็ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแสดงไว้ว่ามีนิวรณ์เท่าไหร่ในตำรา เราต้องเคารพและตรงต่อความจริงเพื่อที่จะเข้าใจความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าผิดก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจแม้สิ่งนี้กำลังมี ไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นนิวรณ์มีเท่าไหร่ ไม่ใช่มีแค่ ๑ นิวรณ์

- ขณะที่มีอกุศลมากมายหลายขณะ นิวรณ์เป็นเพียงอกุศลหรือกิเลสเจตสิก ๑ ประเภท แต่อะไรที่กั้นและกั้นขณะไหน นี้คือ ความเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้ เพราะว่า บางคนแค่ได้อ่านเรื่องนิวรณ์แต่ความเข้าใจไม่พอที่จะรู้จักนิวรณ์ขณะกำลังมีให้รู้ เพียงคิดเอาเองต่อจากคำที่อ่านในตำราแต่คำในตำราส่องให้เห็นถึงลักษณะของสิ่งที่มีให้รู้ ธรรมเป็นอนัตตา นี้เป็นจุดประสงค์ที่จะเข้าใจในสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่เพียงแค่อ่านโดยที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นนิวรณ์เพียง ๑​ ประเภท สามารถพิจารณาได้ไหมว่า คืออะไร ในตำราแสดงกี่ประเภทหรือไม่มีเลย หรือมีแค่คำว่า นิวรณ์ มีอกุศลกี่ประเภทที่ทำให้เนิ่นช้าทำกิจของนิวรณ์ ลึกซึ้งอย่างยิ่งจนไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยถ้าไม่ไตร่ตรองอย่างเลียดลึกซึ้งทีละน้อยๆ นี้เป็นหนทางที่จะศึกษาพระธรรม ศึกษาคำจริงที่เกื้อกูลโดยผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ มิฉะนั้นไม่มีความหมายอะไร แค่เปิดตำราอ่านคำนี้คำนั้น แต่ความเข้าใจเดี๋ยวนี้มีไหม เพียงแค่กล่าวตามคำแต่ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่า เป็นธรรม มีบ้างไหม

- เพราะฉะนั้นนิวรณ์แรกหรือนิวรณ์สักหนึ่งอย่างคืออะไร รู้ไหม อะไรคือนิวรณ์ นิวรณ์ไม่ได้มีแค่ธรรมเดียวแต่มีมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นมีธรรมอะไรบ้างที่เป็นนิวรณ์ ธรรมลึกซึ้งมากถ้าปราศจากการไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจในพระมหากรุณาคุณของพระองค์ต่อทุกคน ที่จะฟังด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสภาพธรรม

- ตอนนี้จำนิวรณ์ได้ไหมสักหนึ่งอย่าง หรือเปิดหนังสือก็ได้เพราะว่า เราไม่ได้สนทนาแแค่สิ่งที่อยู่ในตำรา แต่สนทนาถึงสิ่งที่ละเอียดมากลึกซึ้งมากซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ง่ายๆ (อาคิ่ลพูดถึงความสงสัย) ขณะนี้อาคิ่ลรู้ไม่ได้เพราะสงสัย ถูกต้องไหม เดี๋ยวนี้เขารู้ไม่ได้เพราะกำลังสงสัยขณะนี้ เพราะฉะนั้นความสงสัยกั้นความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏที่ได้กล่าวถึง ถูกไหม

- ความสงสัยจะน้อยลงเมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่า นิวรณ์หมายถึงอะไร และอะไรอีกนอกจากความสงสัยที่กั้น นี้เป็นการศึกษาเพื่อเข้าใจชีวิตที่เป็นชีวิตจริงๆ แต่ละขณะว่า เป็นธรรมไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ไม่ลืมสิ่งที่เป็นเครื่องกั้น เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะมีความสงสัยน้อยลงคือ มีความเข้าใจถูกจากการไตร่ตรองและเข้าใจลักษณะของนิวรณ์ที่ลึกซึ้ง แม้แต่ความสงสัยก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าต่อความเข้าใจ ด้วยเหตุนี้แม้ยังมีความสงสัยในคำที่แสดงความจริง ขณะนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจเพราะเป็นความสงสัย แต่เมื่อพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบในสิ่งที่ยังไม่ได้ปรากฏก็สามารถคลายความสงสัยได้

- เพราะฉะนั้นสามารถดับความสงสัยได้หมดไม่กลับมาอีกเลยในขณะที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน หลังจากเป็นพระโสดาบันแล้วยังมีความสงสัยไหม หมดความสงสัยในทุกอย่างหรือว่ายังมีเหลือบางอย่าง ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องศึกษาด้วยความรอบคอบไม่ใช่แค่คำว่า นิวรณ์ คำเดียว พระโสดาบันไม่มีความสงสัย ต่อจากนั้นพระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ต่างก็ไม่มีความสงสัยแล้วเพราะดับหมดไม่เหลือเป็นสมุทเฉทซึ่งเป็นการสิ้นสุดของสังสารขันธ์ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความสงสัยอีก

- แต่ถ้าหมดความสงสัยแล้ว ยังสามารถที่จะมีนิวรณ์อื่นๆ ได้อีกไหม ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาความจริงของสภาพธรรมแต่ละ ๑ แม้ไม่สงสัยแต่ยังมีกิเลสมีอกุศลธรรมอื่นๆ ที่เป็นนิวรณ์เมื่อเกิดขึ้นเล็กน้อยสั้นมาก เพราะฉะนั้นความสงสัยมีตลอดวันหรือแค่ไม่กี่ขณะ เห็นไหมว่า มีมากกว่า ๑ อย่าง เมื่อสงสัยเกิดขึ้นแล้วดับไปเพราะไม่มีความสนใจในสิ่งนั้น เราไม่กล่าวถึงสิ่งนั้นอีกต่อไป เหมือนไม่มีความสงสัยเลยแต่ความจริงความสงสัยไม่เกิดเพราะความสงสัยไม่ได้เกิดตลอดเวลา จะสงสัยเมื่อความสงสัยเกิดเท่านั้น แต่พระโสดาบันไม่มีความสงสัยอีกเลย ไม่มีขณะไหนที่ความสงสัยจะเกิดได้ หลังจากที่ถึงการตรัสรู้เป็นพระโสดาบัน

- หมายความว่า ยังมีอกุศลแต่ไม่มากถึงขนาดที่จะเป็นนิวรณ์ ยกตัวอย่างเช่น ความโกรธ ความรำคาญจนนอนไม่หลับเพราะมีอยู่ตลอด คิดถึงสิ่งนั้นทั้งวันตลอดเวลาจนก่อนจะนอนก็ยังคิดถึงสิ่งนั้นซึ่งทำให้รำคาญหรือทำให้โกรธ เป็นเครื่องกั้นไม่ให้เข้าใจความจริง ความโกรธไม่ว่าระดับไหนกั้นการไตร่ตรองพิจารณาความจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรม ไม่มีใครยังยั้งได้เพราะเกิดแล้วตามเหตุปัจจัยและเป็นหนทางที่จะละกิเลสทุกประการขณะที่มีความเข้าใจและขณะนั้นเป็นสติ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นการที่สนทนาเพียงคำไม่พอเลย เราต้องศึกษาตั้งแต่ต้นว่า มีเจตสิกอะไรที่เป็นอกุศล มีลักษณะอย่างไร และสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกธรรมอะไรที่เป็นกุศลเมื่อมีการไตร่ตรองพิจารณาความจริงหรือธรรมที่ได้ฟังแม้แต่ก่อนที่จะหลับ นั้นไม่ใช่ความสงสัย ไม่เป็นเครื่องกั้นแต่ถึงเวลาที่เป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจถูกซึ่งละความสงสัยเพราะว่า เริ่มค่อยๆ เข้าถึงลักษณะของสิ่งนั้นที่เกิดจากการฟัง การไตร่ตรองพิจารณา ฯลฯ

- เพราะฉะนั้นเป็นชีวิตแต่ละขณะ ขณะที่เป็นนิวรณ์ ขณะที่เป็นอกุศล ขณะที่ติดข้องพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งสวยงามต่างๆ ขณะนั้นไม่ได้คิดถึงความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นปัญญาเข้าใจว่าอะไรเป็นเครื่องกั้น ปัญญาค่อยๆ ละปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เป็นผู้ที่โกรธนานมากแม้แค่ตื่นขึ้นก็โกรธหรือก่อนที่จะนอนหลับก็ยังโกรธไม่หายเพราะมีปัจจัยให้โกรธเกิด ขณะนั้นไม่มีความเข้าใจ ไม่เห็นโทษ ไม่ใช่ขณะที่เบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายผู้ที่ทำให้โกรธ แต่เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นประทุษร้ายไม่เป็นไปในกุศล ให้อภัย แต่โกรธต่อไปเรื่อยๆ

- เห็นไหมทั้งหมดเป็นชีวิตประจำวัน เข้าใจขณะที่เป็นอกุศลซึ่งมีตลอดไม่หยุดเลย ขณะที่รับประทานอาหาร ขณะที่แต่งตัว ขณะที่ไปนอน ฯลฯ ทั้งหมดเป็นไปตามปัจจัย เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกกั้นกระแสของการติดข้องไปจนถึงขณะที่เป็นเรา ขณะที่โกรธคนอื่น​ ให้อภัยไม่ได้เลย ฯลฯ แต่ การให้อภัยไม่ใช่พยายามทำให้คนอื่นชอบหรือมีความสุข แต่ต้องเป็นการให้อภัยที่ฉลาดด้วยที่จะช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจธรรมลึกซึ้งขึ้นในสิ่งที่ได้กระทำแล้วและจะสามารถลดลงได้อย่างไร ตราบใดที่ไม่เข้าใจยังมีอกุศลเพิ่มขึ้นก็ยังลดอกุศลไม่ได้ แต่บางคนคิดว่า ไม่เป็นไร ลืมแล้วไม่คิดถึงเลยหรือบางครั้งยังคิดถึง แต่ถ้าเป็นการให้อภัยจริงๆ จะไม่มีความคิดถึงความผิดคนอื่นเลย แต่พยายามที่จะช่วยผู้นั้นอย่างยิ่งด้วยความเป็นมิตรเป็นเพื่อน การเป็นมิตรที่ดีคือ ช่วยให้ผู้อื่นได้เข้าใจความจริงและประพฤติตามกำลังของความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

- เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่ต้องรู้มากมาย อะไรเป็นหนทางถูกและอะไรเป็นหนทางผิด แม้แต่กามฉันทะ คิดทั้งวันพรุ่งนี้จะทานอะไรเป็นอาหารเช้า ฯลฯ เป็นนิวรณ์ไหม ขณะใดก็ตามที่ไม่เป็นกุศลและคิดถึงแต่สิ่งนั้นเป็นนิวรณ์ ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศลซึ่งไม่ใช่กุศลและมีปัจจัยที่คิดถึงแต่สิ่งนั้น ไม่ลืมไม่ทิ้งไม่มีความเข้าใจเลยว่าเป็นอกุศล อะไรก็ตามที่เกิดเพราะมีปัจจัย

- เพราะฉะนั้นเป็นนิวรณ์เมื่อมียาวนาน ไม่ลืม คิดถึงแต่สิ่งนั้นแม้จะไม่ใช่ความสงสัยแต่สามารถเป็นสิ่งที่เห็น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส คิดถึงแต่สิ่งนั้นตลอด ดูเหมือนจะไม่เป็นเครื่องกั้นแต่ความจริงอะไรก็ตามที่เป็นอกุศลมีการยึดถือมากกว่าปกติ เพราะว่ากำลังติดในสิ่งที่เห็นเดี๋ยวนี้สั้นมากแต่เมื่อมีมากขึ้นๆ เกือบทั้งวันทั้งคืน ลักษณะอาการของนิวรณ์ปรากฏเป็นเครื่องกั้นขณะที่เป็นกุศล แทนที่จะเป็นการคิดถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ควรรู้แต่ไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นการติดข้องในเรื่องราว ติดข้องในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ฯลฯ นั้นเป็นนิวรณ์ใช่ไหมที่กั้นไม่ให้เป็นไปในกุศล

- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีความเข้าใจนิวรณ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถูกต้องไหม และต้องรู้ไม่ใช่แค่กล่าวคำ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ทำสิ่งที่ชอบทั้งวันแล้วมีคำจริงสามารถเป็นเครื่องเตือนว่าเป็นนิวรณ์ เพราะว่าไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่มีได้ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจในความหมายของคำว่า อุปสรรค เครื่องกั้น เพราะขณะที่เป็นอกุศลไม่ว่าประเภทไหนก็เป็นอกุศล ไม่มีความเข้าใจเพราะอกุศลมีอวิชชาเป็นปัจจัย ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่เป็นเครื่องกั้นว่าหมายความว่าอย่างไร ต้องเป็นอกุศลทุกประเภท ถูกต้องไหม

- ด้วยเหตุนี้ใครสามารถละนิวรณ์ทุกประเภทได้ทั้งหมด (ปัญญา) พระอรหันต์ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเราสามารถเข้าใจนิวรณ์ได้หลายระดับ ระดับที่ไม่สามารถรู้ได้ มีทั้งวันเพราะไม่มีความเข้าใจพอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเพียงเล็กน้อยเดี๋ยวนี้ไม่สามารถรู้ได้ ถูกต้องไหม สิ่งที่กำลังมียังไม่สามารถรู้ได้เพราะปัญญายังไม่มีกำลังพอ ปัญญาต้องมีกำลังเพิ่มขึ้นมากขึ้นไป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปตามลำดับ ก่อนเป็นพระโสดาบันอะไรเป็นนิวรณ์ หลังจากเป็นพระโสดาบันอะไรเป็นนิวรณ์ หลังจากเป็นพระสกทาคามีอะไรเป็นนิวรณ์ จนกระทั่งถึงขณะที่ไม่มีอกุศลหลงเหลืออยู่อีกเลย เพราะเป็นพระอรหันต์จึงไม่เหลือนิวรณ์อีก

- มีสถานการณ์มากมายสำหรับแต่ละนิวรณ์ สำหรับใครก็ตามที่ไม่ได้อบรมเจริญสมถะภาวนามีนิวรณ์ไหม เริ่มที่จะเข้าใจลักษณะอาการที่แตกต่างกันของอกุศล เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องสามารถกล่าวได้ไหมว่า อกุศลทุกประการเป็นนิวรณ์ บางแห่งแสดงนิวรณ์ ๕ และบางแห่งแสดงนิวรณ์ ๖ เพราะว่าแตกต่างกันหลากหลายตามบุคคลตามระดับของความเข้าใจ สำหรับพระโสดาบัน สำหรับพระอนาคามี สำหรับพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นบางคนศึกษานิวรณ์ ๕ ที่เป็นเครื่องกั้นของสมถะก็คิดแค่นั้น เพราะฉะนั้นนิวรณ์ 5 สำหรับใคร และเมื่อแสดงนิวรณ์ ๖ สำหรับใครซึ่งต่างก็จริงทั้งหมดโดยนัยที่แตกต่างกัน

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจกิเลส อกุศลเจตสิก เมื่อความเข้าใจมีกำลังไม่พอในแต่ละวันจะเข้าใจว่าเป็นเครื่องกั้นกุศลได้ไหม ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้มีความยึดถือในเห็น ในได้ยินและสภาพธรรมอื่นๆ รู้ไหมว่า เป็นนิวรณ์ ที่ไม่รู้เพราะว่าไม่มีกำลัง เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้ว่า วันนี้มีนิวรณ์ทั้ง ๕ หรือเปล่าหรือเมื่อเช้านี้ หรือเดี๋ยวนี้แต่ความติดข้องในอารมณ์ที่มากระทบเป็นศัตรูในการอบรมเจริญสมถภาวนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

- ไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้เลย ประโยชน์ของความเข้าใจนิวรณ์คืออะไร เครื่องกั้นความเข้าใจพระธรรมคำสอนก็จะน้อยลงและเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เพราะอะไรถึงไม่มีปัจจัยให้เกิดความเข้าใจขณะที่เป็นอกุศล ในแต่ละวันมีใครรู้ขณะที่เป็นอกุศลไหม นับไม่ถ้วนเลยเมื่อเทียบกับขณะที่เป็นกุศล และอะไรกั้นขณะที่เป็นกุศลถ้าไม่รู้ย่อมต้องเป็นขณะที่เป็นอกุศลที่เกิดสืบต่อยาวนาน

- เพราะฉะนั้นเมื่อเรากล่าวว่า อกุศลทุกประเภทขวางกั้นขณะที่เป็นกุศล แต่แค่นั้นไม่พอเลยดังนั้นจึงต้องศึกษาสภาพธรรมที่เป็นอกุศลที่เป็นเครื่องกั้นความดีอีกมาก เพราะว่าถ้าปราศจากความเข้าใจขณะที่เป็นกุศลว่าต่างจากขณะที่เป็นอกุศล อะไรกั้นขณะที่เป็นกุศลไม่ให้เกิดขึ้น อกุศลทั้งหมดเกิดขึ้นกางกั้นต่อๆ ไป

- เพราะฉะนั้นขณะนี้อะไรเป็นอกุศลที่กางกั้นไม่ให้กุศลเกิดขึ้น (มีความสงสัย ความติดข้องที่เป็นเครื่องกั้นไม่ให้เกิดความเข้าใจ) แล้วความสงสัยจะน้อยลงได้อย่างไร ถ้าเราไม่สนทนาถึงลักษณะของอกุศลที่เป็นเครื่องกั้นแล้วจะรู้ว่ากำลังเป็นเครื่องกั้นเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ศึกษาเครื่องกั้นคุณความดี ๕ อย่างที่เป็นนิวรณ์ได้หรือยัง ขณะที่เพลินเพลินไปกับสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา หู ฯลฯ เป็นเครื่องกั้นหรือเปล่า ถ้าไม่ชี้ชัดลงไปว่า ขณะที่ติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏทางทวารต่างๆ ขณะนั้นเป็นเครื่องกันกุศล ยกตัวอย่างเช่น เพลินเพลินในสิ่งที่เห็น ฯลฯ ขณะนั้นกั้นกุศลเพราะว่า ขณะนั้นเป็นขณะที่เพลินไปในอารมณ์

- เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ติดข้องยินดีพอใจในอารมณ์ขณะนั้นเข้าใจว่าเป็นกามฉันทนิวรณ์ มีอยู่ในตำราหรือว่ากำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจโทษภัยของความติดข้องในกาม เริ่มที่จะมีความติดข้องน้อยลง และผู้ที่เริ่มเห็นโทษภัยของความติดข้องเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่เข้าใจหนทางที่จะติดข้องน้อยลงจึงมีคำว่า อบรมเจริญสมถภาวนา เพราะฉะนั้นขณะใดที่ห่างออกหรือขณะใดที่ไม่มีอารมณ์ที่เป็นกามมากระทบทางทวารต่างๆ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะมีกามฉันทะนิวรณ์น้อยลง เพราะฉะนั้นไม่มีความเข้าใจในหนทางที่นำไปสู่ความสงบ ไกลจากความติดข้องในกาม ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้มีความสงบเพิ่มขึ้น

- ใครเห็นโทษภัยของความติดข้องเพลินพลินในอารมณ์ที่มากระทบตลอดทั้งวันบ้างหรือเปล่า (ไม่เห็น) เป็นความจริงเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริง ไม่มีความเข้าใจในอันตรายของการติดข้องในสิ่งที่เห็นได้ยินในแต่ละวันเลย ต้องเป็นปัญญาระดับที่เห็นโทษอย่างยิ่งในอกุศลที่ติดข้องในกามซึ่งนำไปสู่การกระทำทุจริตทางกาย ทางวาจาและอกุศลกรรมทุกประการ เพราะฉะนั้นในแต่ละวันมีใครเห็นโทษภัยของความติดข้องที่เป็นปัจจัยให้เกิดทุจริตทางกาย ทางวาจาและอกุศลกรรมที่ร้ายแรงทุกประการบ้างไหม เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้นั้นเท่านั้นที่เห็นโทษของความติดข้องยินดีพอใจในกามซึ่งเป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรมหนักหรือกรรมที่ร้ายแรงมากเป็นอกุศลกรรม

- ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้หนทางที่จะตรัสรู้ความจริงของอนัตตา เท่าที่สามารถจะรู้ได้ก็มีเพียงเห็นโทษภัยของความติดข้องในกามและรู้ว่าจะให้เกิดน้อยลงได้อย่างไร นั่นเป็นหนทางของสมถภาวนา ถ้าเพียงต้องการความสงบแต่ไม่เห็นโทษของความยินดีพอใจในกามจะสงบได้ไหม และถ้าไม่มีปัญญาที่รู้หนทางที่เป็นไปในความสงบเพิ่มขึ้นๆ ก็ติดข้องเพิ่มขึ้นในสิ่งที่อยากจะเป็น (ถ้าไม่มีความเข้าใจ ความติดข้องก็เพิ่มขึ้น)

- เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้ที่กล่าวว่า ตอนนี้กำลังเจริญสมถ เพียงนั่งเพ่งไปที่สิ่งหนึ่ง ขณะนั้นเป็นหนทางไปสู่การอบรมเจริญสมาธิที่เป็นสมถภาวนาหรือเปล่า ขณะนั้นเป็นเครื่องกั้นหรือเปล่า เพราะว่ากำลังติดข้องในบางอย่างซึ่งผู้นั้นอาจคิดว่าเป็นอีกอย่างแต่ความจริงขณะนั้นกำลังติดข้องอีกอย่างหนึ่งแม้แต่สมถภาวนาก็ต้องศึกษาเพื่อเข้าใจว่า อะไรเป็นหนทางสู่ความสงบ อะไรเป็นหนทางไปสู่ความไม่เข้าใจและความติดข้องในสิ่งต่างๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่ง อกุศลทุกประการเป็นนิวรณ์หรือไม่ ตอนนี้เราจะสนทนาถึงนิวรณ์แรก กามฉันทนิวรณ์ทุกขณะตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้เป็นกามฉันทะใช่ไหม ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏมากมายสืบต่อกันไปโดยไม่รู้ว่าเป็นกามฉันทนิวรณ์เพราะว่าขวางกั้นไม่ให้เข้าใจความจริง และมีอะไรอีกนอกจากกามฉันทะในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่สงสัยกามฉันทนิวรณ์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราสามารถสนทนานิวรณ์ต่อไปได้ อะไรเป็นนิวรณ์ต่อไปในชีวิตประจำวัน เป็นนิวรณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นนิวรณ์ อกุศลทุกประการเป็นนิวรณ์ ตามปกติถ้าไม่เป็นกามฉันทะก็เป็นพยาปาทนิวรณ์ เริ่มเข้าใจขณะที่เป็นความโกรธ ความไม่ชอบที่กั้นการอบรมเจริญความเข้าใจถูกหรือกั้นการเข้าใจความจริงในขณะนั้น

- ขณะที่คิดถึงใครบางคนด้วยความโกรธ ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเลยว่า มีความโกรธที่กำลังคิดถึงคนที่โกรธไปในทางต่างๆ คิดถึงการกระทำที่ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเป็นพยาปาทนิวรณ์ ในชีวิตประจำวันมีไหม ถึงเวลาที่จะเข้าใจความผิดของตัวเอง เข้าใจอกุศลของตนเอง เข้าใจนิวรณ์ของตนเอง เพียงคิดถึงผู้อื่นด้วยความโกรธหรือความรำคาญโดยไม่เข้าใจความจริง อันตรายไหมที่จะคิดถึงอกุศลหรือทุจริตของคนอื่นไปเรื่อยๆ หรือว่าไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นกระจกหรือแว่นขยายที่ส่องให้เห็นความจริงของตนเอง มิฉะนั้นอะไรเป็นประโยชน์ของการเข้าใจนิวรณ์ เพราะฉะนั้นรู้นิวรณ์ต่อไปไหม วิจิกิจฉาความสงสัย เมื่อเป็นสงสัยก็ไม่ใช่ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นอกุศล ขณะที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง เป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดทั้งวันที่ไม่ใช่วิบากจิตไม่ใช่กิริยาจิต

- ความอัศจรรย์ของคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีใคร เป็นธรรมทั้งหมดและเข้าใจว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล เมื่อไม่มีความเข้าใจเป็นขณะที่ไม่รู้ความจริงเป็นอกุศลแต่เมื่อมีความเข้าใจถูกปัญญาสามารถเข้าใจความจริงของลักษณะที่เป็นกุศลหรือลักษณะที่เป็นอกุศล มิฉะนั้นอกุศลไม่สามารถเกิดน้อยลงได้

- มีข้อสงสัยในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วบ้างไหมเกี่ยวกับวิจิกิจฉานิวรณ์ สงสัยไหมหรือมีความเข้าใจในวิจิกิจฉานิวรณ์ (อาช่าของฟังเรื่องวิจิกิจฉานิวรณ์เพิ่ม) วิจิกิจฉาคือความสงสัยในความจริง จริงไหมที่ความสงสัยกั้นความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เห็นเดี๋ยวนี้ ความไม่รู้ ความติดข้องเป็นนิวรณ์ที่กั้นการเข้าใจความจริงไหม หรือว่าลังเลว่า ความสงสัยเป็นเราหรือเป็นสภาพธรรมที่สงสัย

- ความลังเลสงสัยเกิดพร้อมกับความเข้าใจถูกได้ไหม (ไม่ได้) เห็นไหม ด้วยเหตุนี้จึงมีความเข้าใจว่า ขณะที่สงสัยไม่มีความเข้าใจและขณะที่เข้าใจไม่สงสัยในสิ่งที่กล่าวถึง เพราะฉะนั้นตอนนี้มีความสงสัยในวิจิกิจฉานิวรณ์ไหม เพราะฉะนั้นนิวรณ์อีก ๒ ประการคืออะไร อกุศลทุกประการเป็นปัจจัยให้เกิดนิวรณ์ ทุกๆ ขณะที่ไม่มีความเข้าใจตราบเท่าที่คิดถึงสิ่งนั้นเป็นความไม่รู้

- กรุณากล่าวถึงสิ่งที่ได้ฟังและเข้าใจทั้งหมด นิวรณ์ประการที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ได้แก่อะไร (กามฉันนิวรณ์ วิจิกจฉานิวรณ์) เพราะฉะนั้นเรากล่าวถึง สิ่งที่รู้ได้เช่น กามฉันทนิวรณ์ในแต่ละวันที่เรายุ่งอยู่แต่กับสิ่งที่เราชอบและพยายามให้ได้มาอีกเพิ่มขึ้นๆ จึงเป็นกามฉันทะ ความพอใจที่เป็นไปในกามทั้งวันจึงเป็นกามฉันทนิวรณ์ และสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ พยาปาทนิวรณ์ในสิ่งที่ไม่ชอบเลย

- และนิวรณ์ที่คุณสนใจมาก วิจิกิจฉานิวรณ์ใช่ไหม และเมื่อไม่เข้าใจวิจิกิจฉาก็เป็นกุกกุจจะใช่ไหมและเป็นนิวรณ์ด้วย คิดถึงแต่สิ่งนี้ อยากได้สิ่งนี้ ทำไมไม่ได้สิ่งนี้ ฯลฯ และคิดถึงสิ่งที่ได้กระทำแล้วไม่ว่าการกระทำนั้นจะถูกหรือผิด เป็นกุกกุจจะที่คิดถึงการกระทำผิดที่เกิดแล้ว

- และนิวรณ์ต่อไป ถีนมิทธะ ขณะนั้นไม่ต้องการเข้าใจอะไร นอนดีกว่าเพราะฉะนั้นเป็นนิวรณ์ แต่ไม่ใช่ความต้องการที่จะนอนแต่การฟังธรรมและมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นๆ เห็นประโยชน์ของการที่ไม่ใช่เอาแต่นอนแล้วไม่เข้าใจ แต่ขณะที่ไม่ได้นอนก็สามารถเป็นขณะที่เข้าใจความจริงได้ ไม่ใช่นิวรณ์ขณะที่ไม่ได้โงกง่วงหรือซึมเซา

- ขอบคุณคุณสุคินมากนะคะและยินดีในกุศลของทุกท่านด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

ถ้าเป็นการให้อภัยจริงๆ จะไม่มีความคิดถึงความผิดคนอื่นเลย แต่พยายามที่จะช่วยผู้นั้นอย่างยิ่งด้วยความเป็นมิตรเป็นเพื่อน การเป็นมิตรที่ดีคือ ช่วยให้ผู้อื่นได้เข้าใจความจริงและประพฤติตามกำลังของความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะบารมีทุกประการของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เกื้อกูลต่อการอบรมเจริญปัญญาในขณะนี้อย่างแท้จริง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prinwut
วันที่ 29 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ยินดีในกุศลของผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นในความอนุเคราะห์ตรวจทาน กราบอนุโมทนาในคุณความดีทุกประการครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ