English-Hindi 11 January 2025

 
prinwut
วันที่  21 ม.ค. 2568
หมายเลข  49394
อ่าน  77

English-Thai 11 January 2025


- (คุณตรัสวินกล่าวว่า เราเคยสนทนาเรื่องอนุสัย ประเด็นคือ เมตตาของตนเองไม่เจริญเพิ่มขึ้นเป็นเพราะมานะหรือเมื่อเวลาโกรธเกิดขึ้น ความโกรธนั้นกั้นไม่ให้เมตตาเจริญ ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายถึงกิเลสเหล่านี้)

- ดิฉันคิดว่า ไม่ใช่เพราะสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น แต่มูลเหตุหลักคือ ไม่มีความเข้าใจความจริงว่า ไม่ใช่เราหรือใครเลย และปัญญาสามารถเข้าใจว่า อะไรเป็นกุศลและอะไรเป็นอกุศลขณะนั้น แม้แต่เดี๋ยวนี้ความเข้าใจถูกนั้นตรงอย่างยิ่งจึงรู้ว่า ความเข้าใจนั้นมากหรือน้อยแค่ไหนในคำต่างๆ เช่น มานะของฉัน ฯลฯ ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่มีตามความเป็นจริง

- เพราะฉะนั้นจึงเป็นเราแล้วๆ เล่าๆ แม้การได้ฟังมีการเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งนี้ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งนั้น แต่ตราบเท่าที่ลักษณะของสภาพธรรมไม่ปรากฏให้รู้ก็เป็นเพียงการพูดชื่อซึ่งต่างกัน

- ด้วยเหตุนี้จึงมีการเข้าใจผิดในสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นทางเดียวที่ไปสู่การยึดถือว่า สิ่งนั้นเป็นเราหรือเป็นใครพร้อมมานะหรือไม่มีมานะ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาความจริง อะไรก็ตามที่มีจริงๆ ย่อมมีลักษณะของตนๆ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นปรากฏต่างๆ กัน ค่อยๆ ศึกษาสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อย

- (คุณสุคินปรารภว่า เราสามารถกล่าวได้ไหมว่า การไม่ต้องการมีความโกรธก็เหมือนกับมีความโกรธ และตามปกติความต้องการให้ธรรมเกิดหรือไม่ต้องการให้ธรรมเกิดต่างก็เป็นความไม่รู้)

- เริ่มเข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครทั้งสิ้น มิฉะนั้นไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไรก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเป็นของเรา หรือเป็นใครเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาความจริงสูงสุดซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้เลย สิ่งที่กำลังมี เช่น เห็น จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเป็นเห็นเท่านั้น เห็นจะเป็นความสำคัญตนไม่ได้ เห็นจะเป็นความติดข้องไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเห็นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏคือ สีสันวรรณะต่างๆ

- เพราะฉะนั้นสีเป็นปัจจัยให้เกิดรูปทรงสัณฐานต่างๆ ยาวหรือสั้น สูงหรือต่ำ ฯลฯ รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิตประจำวันซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาตินี้แต่เป็นอย่างนี้มาแล้วในหลายแสนโกฏกัปป์ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีไม่ใช่เรามากเท่าไหร่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจอกุศลเพิ่มขึ้นและเป็นหนทางละความไม่รู้ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดธรรมทุกประการ

- อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงไม่ใช่แค่คำ เมื่อมีแค่คำคำก็ปกปิดความจริง อวิชชาเดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจในเห็น เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ศึกษาความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นหนทางเดียว ไม่ใช่เพียงสนทนา หรือเพียงอ่านเรื่อง หรือเพียงคิดถึงแต่เริ่มที่จะเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเป็นอริยสัจจะรอบที่ ๑ มิฉะนั้นแล้วจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้น บางคนก็ลืมว่า การได้ฟังความจริง การได้ฟังธรรมเพียงเพื่อเข้าใจความจริงเพราะว่า ความจริงเปลี่ยนไม่ได้เลย ถูกไหม จึงต้องอดทนอย่างยิ่ง

- (ใช่ ความอดทนสำคัญมากและอดทนที่จะเข้าใจว่า อดทนคืออะไร เมื่อไหร่คือ อดทน ก็สำคัญมากเช่นกัน และเพิ่งจะกล่าวถึงความไม่รู้ไปโดยที่ไม่ได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่า ความไม่รู้คืออะไร ถึงที่สุดแล้วก็ต้องฟังเพิ่มขึ้นๆ และมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้บ้างในขั้นการฟัง และความไม่รู้มีมากแค่ไหน และดูเหมือนว่า บางครั้งการฟังธรรมไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรก็ตามก็ดีกว่าแค่จะกล่าวถึงธรรมนั้นธรรมนี้เพราะทุกอย่างเป็นธรรม และยังมีความไม่รู้ในทุกๆ ธรรม)

- และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงฟังคำสอน ทำไมเราจึงไตร่ตรองพิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพื่อถึงความจริงของสิ่งนั้น และการฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อละความไม่รู้ เพื่ออบรมเจริญปัญญาในขณะที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อย

- (คุณสุคินกล่าวว่า แม้การฟังก็เป็นเราได้ ความไม่รู้มีมากและความติดข้องในความเป็นเราก็มีมากซึ่งเป็นอุปสรรคอันใหญ่ยิ่ง ท่านอาจารย์ถึงได้เตือนพวกเราเสมอๆ เพราะฉะนั้นการติดข้องในความเป็นเราจึงร้ายมากและเกิดขึ้นได้แม้ในขณะที่กำลังฟังธรรม ในขณะที่ถามคำถาม เราพูดถึงอนุสัย พูดถึงกิเลส ปรารถนาที่จะมีกุศลเพิ่มขึ้น ศัตรูตัวจริงในขณะนั้นอาจเป็นความติดข้องในความเป็นเราก็เป็นได้)

- (คุณตรัสวินกล่าวว่า แน่นอน การติดข้องในความเป็นเราเป็นอุปสรรคใหญ่แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เรากล่าวง่ายๆ ว่าการไม่เข้าใจธรรมจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้อาจจะครอบคลุมได้ดีกว่าและเป็นการเตือนให้รู้ว่า เราไม่รู้มากแค่ไหน)

- (คุณสุคินกล่าวว่า ใช่ ยังมีความไม่รู้แม้พระอนาคามีก็ยังมีความไม่รู้ แม้จะมีความเข้าใจบ้างแต่ความเป็นเราก็ยังมีมาตลอดแม้แต่ในขณะที่กำลังถามคำถามธรรม คิดว่าความติดข้องในความเป็นเรานี้รายกาจมากกว่าความไม่รู้ ตามที่เราทราบว่าเมื่อดับความเห็นผิดหมดแล้วแต่ความไม่รู้ก็ยังมี แต่ความเห็นผิดคือ สิ่งที่ยับยั้งการอบรมเจริญความเข้าใจถูก)

- (คุณตรัสวินเห็นด้วยว่า ความเห็นผิดเป็นปัจจัยให้กระทำสิ่งที่ผิดต่างๆ แต่เราไม่สามารถแยกออกจากอวิชชาเพราะอวิชชาเป็นเงื่อนต้นของทุกสิ่ง คุณสุคินกล่าวว่า แต่ ๒ อย่างนี้เป็นธรรมที่ต่างกัน อย่างหนึ่งปกปิดความจริงส่วนอีกหนึ่งเห็นผิดเป็นถูก เห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่ดี คิดว่าอย่างหลังเลวร้ายกว่า)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 21 ม.ค. 2568

- (ถ้าอย่างนั้นอะไรเป็นเหตุให้เห็นผิดถ้าไม่ใช่อวิชชา)

- (เป็นอวิชชาถูกแล้วเพราะอวิชชาเป็นมูลรากของอกุศลทุกประการ เพราะฉะนั้นต้องมีอวิชชาอยู่แล้วแต่ไม่ใช่เราไปจัดการอวิชชาเดี๋ยวนี้เพราะอย่างที่กล่าวไป แม้พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีก็ยังมีความไม่รู้แต่ท่านเหล่านั้นไม่พยายามไปละอวิชชาแต่ท่านเข้าใจ)

- (“เราไปจัดการอวิชชา” เราจัดการอวิชชาไม่ได้เพราะไม่มีเราใช่ไหม)

- (คุณสุคินกล่าวว่า ถูกต้อง “เรา” คือความเห็นผิด และเมื่อไหร่ที่เป็นเราก็ทำให้ห่างจากการฟัง และเมื่อมีความเข้าใจในความเห็นผิดบ้าง แม้อวิชชาก็ไม่เป็นอุปสรรคเพราะอวิชชาก็เป็นอารมณ์ของปัญญาความเห็นถูกได้)

- (คุณตรัสวินไม่แน่ใจว่าเห็นด้วยกับคุณสุคินว่า อวิชชาไม่ใช่อุปสรรคในนัยนั้นหรือไม่)

- ไม่ใช่ “เรา” ที่สามารถตัดสินว่า เป็นอุปสรรคหรือไม่ แต่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละ ๑ ต่างหากที่เข้าใจว่าแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ประเภทเดียวกัน เพราะว่าธรรมลึกซึ้งมาก สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ดับไปอย่างรวดเร็วและไม่เคยกลับมาเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

- ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริง เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างโดยไม่พยายามไปตัดสิน หรือเปรียบเทียบ หรือคิดว่าเราหรือใครก็ตามจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่ความเข้าใจความจริงในสิ่งที่มีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงด้วยพระองค์เองว่ามีลักษณะจริงๆ อย่างไร มีจริงอย่างไร และอะไรที่กำลังมี

- ไม่สามารถจะรู้ได้เลยถ้าปราศจากฟัง การไตร่ตรองพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร ยกตัวอย่างเช่น เห็นมีอวิชชาไหม เมื่อมีความเข้าใจว่า อวิชชาคืออะไรซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งก็จะได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องไปคิดเพื่อจะพูดว่า มีอวิชชาหรือไม่แต่มีความเข้าใจว่า อวิชชาคืออะไร เห็นไหม ไม่มีความเข้าใจความจริงกี่ระดับกี่ชั้น ไม่มีความเข้าใจลักษณะของเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นไหม

- เห็นเห็นอะไร เห็นสิ่งต่างๆ แต่ตามความเป็นจริง เห็นจะเห็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเพียงสิ่งที่กระทบตาเท่านั้นซึ่งเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นเห็น และด้วยปัจจัยอื่นทำให้รู้หรือเห็นสิ่งที่น่าพอใจหรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ด้วยเหตุนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อตัดสินหรือเพื่อคิดว่า เรามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ฯลฯ แต่เพียงเพื่อเข้าใจและเข้าใจสภาพธรรมลึกซึ้งยิ่งขึ้นๆ เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะละความไม่รู้ในสภาพธรรมทีละ ๑ ด้วยการไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกหลายเจตสิกเกิดพร้อมจิตแต่ละขณะต่างๆ กันซึ่งไม่สามารถที่จะรู้หรือประจักษ์แจ้งได้โดยปราศจากการเริ่มเข้าใจสภาพธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเมื่อมีสภาพธรรมใดปรากฏในชีวิตประจำวันสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดขณะที่เข้าใจสภาพธรรมนั้นๆ ที่กำลังมีที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยธรรมนั้นก็เกิดไม่ได้

- เพราะฉะนั้นศึกษาสิ่งที่กำลังมีและศึกษาปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น และค่อยๆ ละคลายความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมและปัจจัยของธรรมนั้น นี้เป็นหนทางละ ไม่ใช่ไปพยายามละ หรือ “ต้องทำอย่างไร“ ”ทำไมฉันยังละไม่ได้“ ฯลฯ ทั้งหมดคือความไม่รู้และเป็นเราจึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการเข้าใจความจริงเท่านั้นที่เป็นหนทางเดียวที่จะละความไม่รู้และอกุศลทุกประการ

- (คุณสุคินกล่าวว่า ที่คุณจิ๋วบอกเหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวมาคือ ความไม่รู้เป็นรากของปัญหาทั้งหมด เพราะมีความไม่รู้จึงไม่สนใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่ไปสนใจในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ) นี้เป็นหนทางที่คุณริทกำลังศึกษาหรือเปล่า เพราะสิ่งที่เรากำลังสนทนากันเพื่อท่านอื่นด้วยไม่ใช่เฉพาะคุณจิ๋วและคุณสุคิน ใครที่ได้ฟังอาจมีคำถามหรือข้อสงสัยในเรื่องนี้ก็ได้

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ถามคุณริทว่า ที่คุณสุคินเพิ่งกล่าวไปนั้นเป็นหนทางที่คุณริทศึกษาธรรมหรือเปล่า เรากำลังสนทนากันเรื่องอวิชชา เรื่องลักษณะของสภาพธรรมต่างๆ ที่ควรรู้ ไม่ใช่แค่เพื่ออยากรู้ หรือ ถามหาวิธีที่จะรู้เพิ่ม หรือหาวิธีลดกิเลส นั้นไม่ใช่ความเข้าใจแต่เข้าใจธรรมทีละ ๑ ขณะนี้เพื่อมีความเข้าใจขึ้นในความจริงว่า ไม่มีใคร เป็นใครไม่ได้ นี้คือจุดประสงค์ในการศึกษา ไม่ใช่เพื่อเราจะได้มีกิเลสน้อยลงหรือมีกุศลเพิ่มขึ้น นั้นไม่ใช่หนทางในศึกษาพระธรรมเพราะเป็นหนทางผิด

- อีกครั้งหนึ่ง ไม่มีความเข้าใจธรรมว่า ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น เกิดเพราะเหตุปัจจัย เข้าใจขึ้นมั่นคงขึ้นในความจริง นี้เป็นหนทางในการศึกษาของคุณริทหรือเปล่า (ไม่ศึกษาผิดอย่างนั้น) ไม่ใช่ค่ะ แค่ไม่มีความคิดที่ว่า ทำอย่างไรเราจะมีกุศลมากขึ้นหรือมีอกุศลน้อยลง ถ้าเป็นหนทางถูกจะไม่มีคำถามเช่นนั้นแต่เป็นความเข้าใจเท่านั้นที่จะละความไม่รู้และความติดข้อง

- เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟัง คือ เพื่อเข้าใจความจริงและความเข้าใจจะดำเนินไปในหนทางนี้จากที่เมื่อก่อนเป็นเราที่เข้าใจก็ค่อยๆ เป็นธรรมที่เข้าใจความจริงและเป็นทางที่กุศลจะค่อยๆ เจริญขึ้นซึ่งเกื้อหนุนให้เป็นบารมีเพื่อละคลายอกุศลให้เกิดน้อยลง และเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นมากยิ่งขึ้น

- นั่นคือหนทางที่ทุกคนศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเท่านั้นหรือเปล่า เพราะว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรทั้งสิ้น คนอื่นหล่ะคะ เราสนทนากันถ้ามีคำถามอะไร ก็สนทนาเพิ่มเติมได้

- (คุณตรัสวินขอให้ท่านอาจารย์อธิบายเพิ่มหลังจากที่ถามคุณริทว่าศึกษาธรรมอย่างไร ก็ขอถามคุณโซฮานกับคุณปรียาว่าศึกษาธรรมอย่างไร) เห็นด้วย หรือจะเป็นคำถามอื่นๆ ถ้ามีก็ได้ เราสนทนากันได้ทุกอย่างเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม

- (คุณสุคินกล่าวว่า คำถามของคุณโซอานไม่ใช่เพื่อตนเองแต่เพื่อทุกคน ในการสนทนากันนี้ไม่ว่าใครจะกล่าวอะไรก็เป็นประโยชน์กับทุกๆ คนที่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ)

- (คุณโซฮานถามเรื่องธาตุ) เพราะฉะนั้นธาตุหมายถึงอะไร มีลักษณะอย่างไร มีจริงไหม (มีจริง) เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มีจริงต้องมีลักษณะของตนที่ปรากฏให้รู้ได้ว่ามี ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นธรรมทุกอย่างเป็นธาตุ ถูกต้องไหม ไม่ใช่ติดคำเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสภาพธรรมหลากหลาย ทรงจำแนกเป็นกลุ่มๆ โดยนัยต่างๆ เช่น นัยของธาตุ แต่ต้องมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมเหล่านั้นเพื่อเข้าใจว่าทำไมธรรมนี้จึงเป็นกลุ่มนี้ เช่น กลุ่มของธาตุ แม้ว่าทุกอย่างเป็นธาตุก็ตาม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 21 ม.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นมีกี่ธาตุ อะไรบ้างเพื่อเข้าใจลักษณะธาตุ จำนวนตัวเลขไม่สำคัญเลย เพราะฉะนั้นอยากสนทนาธาตุอะไร (มโนธาตุ) มโนคืออะไร (ทางใจ) มโนคือจิตใช่ไหม แต่จิตแตกต่างกันโดยจิตบางประเภทรู้อารมณ์ได้ ๕ ทางและจิตบางประเภทรู้อารมณ์ได้ทางเดียว ถูกไหม (ถูก)

- เห็นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางใจได้ไหม (ทางใจไม่ได้ ต้องเป็นปัญจทวาราวัชชนะ) เป็นชื่อเป็นคำอีกแล้ว แล้วความเข้าใจหล่ะ กำลังสนทนามโนธาตุใช่ไหม (ใช่) จากที่ได้ฟัง เป็นประเภทไหน เมื่อได้ยินคำว่า “มโน” เข้าใจมโนไหม (ยังไม่ลึกซึ้ง) มโนคือจิต ใช่ไหม (รู้แค่นี้) เมื่อเราพูดถึงวิญญาณธาตุ เห็นเป็นวิญญาณธาตุ ใช่ไหม (ใช่) แม้เห็นเป็นจิตแต่เป็นจิตที่รู้อารมณ์ทางตาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้เห็นเป็นจิตแต่เห็นก็รู้อารมณ์ทางใจไม่ได้ จิตเห็นจึงเป็นวิญญาณธาตุ

- เพราะฉะนั้นจิตประเภทวิญญาณธาตุมีกี่ธาตุ (มี ๖) คุณปรียาว่ามีกี่ธาตุ เมื่อเราศึกษาเรื่องธาตุพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่าธาตุมีกี่ประเภท มีกี่กลุ่ม เพราะจิตมีกิจหน้าที่ของตนที่ต่างกันแต่ละขณะ ธาตุต่างกัน (ทั้งหมดมี ๑๘ ธาตุ) ดีมากที่คุณสนใจที่จะเข้าใจแต่เข้าใจลักษณะของธรรมไม่ใช่แค่คำ หรือแค่กลุ่มไหน มีธาตุกี่กลุ่ม (๑๘) นั่นเป็นจิต แต่เมื่อเราสนทนาถึงจิต จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เปลี่ยนไม่ได้แต่จิตมีหลากหลายมาก เป็นวิญญาณธาตุ เป็นมโนธาตุ ฟังแต่ละคำด้วยความรอบคอบ ไม่ใช่ฟังทั้งหมดทีเดียว

- เคยได้ยิน “จักขุวิญญาณธาตุ” ไหม (เคย) และ (โสตวิญญาณธาตุ) สองธาตุนี้เหมือนกันไหม (ไม่เหมือนกัน) ด้วยเหตุนี้จึงมีจักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ อะไรอีก (ฆานวิญญาณธาตุ) ปัญจทวาราวัชชนะเห็นได้ไหม (ไม่ได้แต่ว่า….) ปัญจทวาราวัชชนะไม่เห็น ค่อยๆ เรียนทีละนิด เพราะฉะนั้นปัญจทวาราวัชชนะเป็นจักขุวิญญาณธาตุได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นจักขุวิญญาณธาตุมีเท่าไหร่ (๑) กุศลวิบาก อกุศลวิบากแต่โดยนัยของธาตุคือ จักขุวิญญาณธาตุ ใช่ไหม

- ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่แค่ศึกษาคำ เพราะแต่ละคำมีความหมายของตน เพราะฉะนั้นปัญญาทวาราวัชชนะรู้อารมณ์ได้กี่ทาง (๕) ๕ ทวาร เพราะฉะนั้นเป็นอีกกลุ่มหนึ่งเป็นมโนธาตุไม่ใช่จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุแต่เป็นมโนธาตุเพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๕ ทวารแต่ละทาง ไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่เพียงรู้อารมณ์ที่มากระทบทวาร จึงเป็นจักขุวิญญาณธาตุไม่ได้ เป็นโสตวิญญาณธาตุไม่ได้ จึงเป็นมโนธาตุเพราะรู้อารมณ์ได้ ๕​ อารมณ์

- นี้เป็นหนทางค่อยๆ ละคลายการยึดติดในคำในขณะที่คิดในขณะที่ชอบ ฯลฯ โดยไม่เข้าใจความจริงในขณะนั้นเลยซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายละเอียดซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะว่าดูเหมือนมีทุกอย่างพร้อมกันหมดทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ แม้แต่จิตที่รู้แจ้งอารมณ์ในแต่ละขณะก็ต่างกันด้วยกิจหน้าที่ที่ต่างกันในแต่ละขณะ ต่างกันโดยนัยของธาตุ ที่เราต้องศึกษาว่ามีธาตุเท่าไหร่เพราะว่า ธรรมแตกต่างหลากหลายในหลายนัย โดยนัยของความเป็นธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญาณธาตุ ฯลฯ

- เพราะฉะนั้นมีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์ได้ทาง ๕ ทวาร (๕ จิต) ฟังดีๆ มีจิตกี่ประเทศที่รู้อารมณ์ได้ทาง ๕ ทวาร มีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ ฟังดีๆ มีจิตที่ประเภทที่รู้ได้ ๕ อารมณ์ทาง ๕ ทวาร (๕ จิต) รู้ได้ ๕ อารมณ์ไม่ใช่รู้อารมณ์เดียว (๕ จิต) ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาธรรมทีละ ๑ ธรรม มิฉะนั้นก็ปะปนกันหมด

- ไม่มีใครเข้าใจธรรมที่ละเอียดซับซ้อนได้ถ้าไม่ได้ฟังผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ แต่ละขณะ ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามิฉะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริงได้เลย

- เพราะฉะนั้นฟังใหม่ มีจิตกี่ประเภท มีจิตกี่ดวงที่รู้ได้ ๕ อารมณ์ไม่ใช่อารมณ์เดียวเท่านั้น สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ทาง ๕ ทวาร เพราะจักขุวิญญาณรู้อารมณ์ได้ ๑ อารมณ์ทางทวารเดียว ใช่ไหม แต่มีจิตกี่ดวงที่สามารถรู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์เดียว

- คำตอบคืออะไร (มโนทวาราวัชชนะ) ผิดค่ะ เห็นไหม มโนทวาราวัชชนจิตรู้อะไร มโนทวาราวัชชนะเห็นไหม (ไม่เห็น) ในตำราแสดงเรื่องธาตุไหม มีธาตุเท่าไหร่ วิญญาณธาตุคือสภาพที่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นได้ฟังเรื่องธาตุแล้วอยากจะรู้แต่ไม่มีความเข้าใจในพื้นฐานที่มั่นคงทีละน้อยหรือมั่นคงพอ ก็เป็นเพียงความรู้ตามตำรา ต่อเมื่อมีความเข้าใจสภาพธรรมซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะประจักษ์แจ้งเพราะว่าไม่มีรูปร่าง รูปทรง สี กลิ่น รส ใดๆ ทั้งสิ้น

- ลองคิดถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ทีละหนึ่งแต่หลากหลายเพราะบางธรรมสามารถรู้ได้ ๕ อารมณ์และบางธรรมสามารถรู้ได้อารมณ์เดียว แม้เป็นจิตเป็นสภาพรู้แต่ก็แตกต่างกันไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงวิญญาณธาตุที่แตกต่างกันที่เป็นจิตเท่านั้น

- (คุณสุคินจำได้เสมอว่า เมื่อพูดถึง ธาตุ ๑๘ เพราะไม่เคยจำตัวเลขแต่ฟังไปเรื่อยๆ สรุปว่าธาตุลึกซึ้งมาก แต่มีความสงสัยว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเต้าถึงกล่าวถึง ธาตุทั้ง ๑๘ และคิดได้ว่า เพียงได้ฟังการอธิบายจากท่านอาจารย์ก็เป็นปัจจัยให้ติดในจำนวนตัวเลขหรือจำคำที่ท่านอาจารย์กล่าวได้มากกว่าที่จะเข้าใจธาตุ ดูเหมือนยังห่างไกลมากจากความเข้าใจซึ่งยังเล็กน้อยมาก)

- ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะมีความเข้าใจเพียงพอที่จะลึกขึ้นๆ ไปสู่ความจริงเพื่อดับอกุศลไปตามลำดับนั้นไม่ง่ายเลยเพราะละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นดิฉันกล่าวถึง วิญญาณธาตุ ทุกคนทราบว่าเป็นจิต ใช่ไหม แต่คำถามเพื่อให้ทุกคนไตร่ตรองไม่ใช่ให้จำ มีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์ได้อารมณ์เดียวเท่านั้น เห็นไหมเป็นคำถามที่ไม่ได้ถามถึงจำนวน แต่จิตประเภทไหน จิตอะไรที่สามารถรู้ได้อารมณ์เดียว

- (สามารถตอบได้ว่า เป็นมโนธาตุ…) ยังคะ ยังไม่ถึง คำถามถามว่า จิตอะไรรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้น (วิญญาณธาตุแต่ละ ๑ ที่เห็นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตาได้อารมณ์เดียว ได้ยินรู้เสียง ได้กลิ่นรู้กลิ่น ลิ้มรสรู้รสและจิตรู้กระทบสัมผัสทางกายรู้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 21 ม.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นเราศึกษาธาตุหลากหลายเป็นธาตุประเภทต่างๆ ของวิญญาณ (เป็นวิญญาณธาตุ) ​ และถ้าไม่มีใครถามเราก็พูดถึงวิญญาณธาตุ จักขุวิญญาณธาตุรู้อารมณ์ทางตา ฯลฯ แต่เมื่อมีคำถามก็พิจารณาเพิ่มขึ้นอีกนิดว่า มีจิตกี่ดวงที่รู้อารมณ์เดียว ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละน้อยว่า ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยไหนซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ถ้ามีแค่ความจำใครก็พูดได้ว่า มีจำนวนเท่าไหร่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ แล้วเข้าใจไหม จากคำถามหมายความว่า มีจิตอื่นๆ ที่รู้อารมณ์มากกว่า ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อละความติดข้องในสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน

- (คุณตรัสวินเห็นด้วยกับคุณสุคินว่าไม่เคยจำว่ามีธาตุเท่าไหร่) ถ้าเช่นนั้นขอทดสอบความเข้าใจ (คุณตรัสวินถามว่า ถ้าธาตุเป็นธรรมทุกอย่าง เหตุใดจึงมีธรรมธาตุ รู้สึกสับสนว่า มีทั้งมโนธาตุ มีทั้งธรรมธาตุ ทั้งๆ ที่ ธรรมทุกอย่างเป็นธาตุ) เพราะว่า ธรรมต่างกันโดยความเป็นธาตุที่ต่างกัน ธรรมธาตุหมายถึงอะไร (คุณสุคินกล่าวกับคุณตรัสวินว่า ธรรมหลากหลายต่างๆ กันโดยลักษณะ ความหมายของธรรมธาตุ ก็ต่างกับความหมายของธรรม คนละอย่าง แต่ความเข้าใจธาตุจะเข้าใจว่า ธรรมเป็นธาตุอย่างไร)

- ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นเกิดขึ้นมีกี่ธาตุ (มีหลายธาตุ) ด้วยเหตุนี้เราศึกษาธรรมโดยนัยนี้ โดยนัยนั้นเพื่อสอบทานความเข้าใจแค่ไหนโดยคำถามที่ถามถึงธรรมโดยนัยนี้หรือโดยนัยนั้น มิฉะนั้นก็แค่ตอบว่า ทุกอย่างเป็นธรรมแล้วจบ แต่ไม่จบ หรือว่าธรรมมีกี่กลุ่มกี่ประเภท หรือว่าสิ่งที่มีจริงมีกี่อย่าง อะไรเป็นธรรม

- ถามคุณริทว่า ธาตุมีเท่าไหร่ที่เป็นวิญญาณธาตุ (คำถามท่านอาจารย์ถามถึงทวิปัญจวิญญาณแต่เดี๋ยวนี้ท่านอาจารย์ถามว่า เป็นธาตุเท่าไหร่) เคยได้ยินไหมว่า ธาตุมีเท่าไหร่โดยนัยของวิญญาณธาตุ (ท่านอาจารย์ถามถึงธาตุหรือถามถึงเห็น) คุณริทศึกษามามาก เคยได้ฟังว่า ธาตุมีเท่าไหร่โดยนัยของวิญญาณธาตุไหม (มี ๑๘) ​ ยังมีความสงสัยว่าคืออะไร ธาตุอะไร ธรรมทุกอย่างเป็นธาตุ นี้เป็นหนทางที่จะเข้าใจธรรมที่จำแนกโดยนัยต่างๆ โดยลักษณะต่างๆ เพื่อถึงขณะที่ละความไม่รู้ความติดข้องเพราะความไม่รู้มีมาก เพียงคำว่า “ธรรมทุกอย่างเป็นธาตุ” ไม่พอ

- แม้คำว่า ธาตุ ก็จำแนกเป็นนัยของธาตุหลายประเภท เช่น วิญญาณธาตุเป็นต้น (คุณสุคินกล่าวว่า แม้จะได้คำอธิบายเรื่องธาตุแต่ก็ไม่เห็นจะละได้เลย มีแต่จำคำชื่อ) ไม่ใช่ละเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจแม้เล็กน้อยในสภาพธรรม นั่นละความไม่รู้ในสิ่งนั้นมิใช่หรือ

- (แต่ความเข้าใจธรรมคือเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ) สามรอบไม่ใช่รอบเดียวของอริยสัจจะ (แต่ปริยัติหรือสัจจญาณคือความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีแม้เป็นแค่ขั้นคิดถึงเห็นที่กำลังมีขณะนี้ ก็ไม่ได้เข้าใจเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเพราะไม่ปรากฏ) ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ดูเหมือนว่าความเข้าใจในรอบที่ ๑ จะไม่มีประโยชน์เลย แต่ตามความเป็นจริงความเข้าใจนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแม้คำจริงคำเดียวก็เป็นปัจจัยนำไปสู่ความเข้าใจที่เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นเราจึงสนทนาถึงความจริงที่ได้ศึกษามาสำหรับท่านที่ศึกษาวิถีจิต ฯลฯ

- เพราะฉะนั้นคำถามถามเพื่อให้ไตร่ตรองพิจารณาคำถามโดยละเอียดว่าเข้าใจแค่ไหน เมื่อมีคำถามว่า มีวิญญาณธาตุเท่าไหร่ที่สามารถรู้ได้อารมณ์เดียว หมายความว่าต้องเคยได้ฟังเรื่องวิถีจิต จิตละดวงทำกิจต่างกัน ถูกต้องไหม (คุณริทตอบว่า ทวิปัญจวิญญาณ) เมื่อกล่าวถึงเห็นและเมื่อกล่าวโดยธาตุ ๑๘​ มีอีกไหม เราพูดถึงจำนวนแต่เราจะจำแนกประเภทต่อไป

- คำถามถามว่า มีวิญญาณธาตุเท่าไหร่ที่รู้ได้อารมณ์เดียว (ทวิปัญญาวิญญาณ) เพราะอะไร คำตอบต้องตรงต่อคำถาม มีวิญญาณธาตุเท่าไหร่ที่รู้อารมณ์เดียว เพราะฉะนั้นคำตอบคือ จักขุวิญญาณธาตุรู้อารมณ์เดียว โสตวิญญาณธาตุรู้อารมณ์เดียว ฆานวิญญาณธาตุรู้อารมณ์เดียว ฯลฯ นี้เป็นการเปิดเผยสิ่งที่ได้ฟังได้ศึกษามาเพื่อไม่ลืม แต่โดยวิธีที่ต่างกันก็สามารถทำให้เข้าใจธรรมแต่ละอย่างชัดเจนขึ้นเพิ่มขึ้นทีละน้อย และนี้เป็นหนทางที่ลึกซึ้งที่ค่อยๆ ละความไม่รู้เพราะว่าเพียงศึกษาชื่อศึกษาจำนวนไม่สามารถเป็นปัจจัยให้ถึงขณะที่รู้ตรงลักษณะของวิญญาณตามที่ได้ศึกษามา

- ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งต้องเป็นความเข้าใจที่ชัดเจนเป็นปริยัติไม่ว่าโดยนัยอะไรหรือหัวข้อไหน ต้องตอบได้เพราะว่าความเข้าใจในสิ่งที่เป็นอารมณ์ปรากฏชัดเจนและไม่ลืม (คุณสุคินมีคำถามที่ไม่เคยถามมาก่อน เป็นคำถามเกี่ยวกับปริยัติและสัจจญาณ ไม่แน่ใจว่า ปริยัติหมายถึงความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีขณะนี้หรือไม่)

- เราสนทนากันทีละคำดีไหม เพราะฉะนั้นถามว่าอะไร (ปริยัติคืออะไร) สิ่งนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นเพียงคำนั้นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า (ไม่ใช่เพราะใครๆ ก็สามารถอ่านได้) ดิฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ลองถามอีกครั้ง (ถ้าเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงและพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวคำนั้น โดยนัยนั้นก็เป็นปริยัติ)

- เพียงคำว่า “ปริยัติ” คำที่กล่าวถึงความจริงเป็นปัจจัยหรือเป็นการนำไปสู่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี มิใช่หรือ ไม่ใช่จำนวนเช่น จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ ฯลฯ นั่นเป็นคำ แต่เดี๋ยวนี้อะไรเป็นจิต อะไรเป็นเจตสิกเดี๋ยวนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้ผู้อื่นรู้ตามเข้าใจตามความจริงหรือ ลึกซึ้งอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่ใช่เพื่อจำหรือเพื่อแปล แต่เพื่อเข้าใจเพราะแต่ละคำมุ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่มีแต่คำแล้วไม่มีอะไร มิเช่นนั้นไม่ใช่ปริยัติ ไม่มีความเข้าใจธรรมไม่ใช่ปริยัติ แต่ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริงที่เป็นรอบที่สาม

- เพราะฉะนั้นแค่ฟังแล้วประจักษ์แจ้งความจริงเลยเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงคำ แต่แต่ละคำแสดงถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นใครที่ตอบถูกตามตำราว่ามีจิตเท่าไหร่ มีเจตสิกเท่าไหร่นั่นไม่ใช่ปริยัติเลย ไม่มีความเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นเป็นคำจริงแต่ละคำ ไม่ใช่คำที่เป็นชื่อแต่เป็นคำของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

- (เพราะฉะนั้นอะไรเป็นความต่างของผู้ที่ตอบถูกตามตำรากับผู้ที่เริ่มเข้าใจ) ต้องเขียนไหมว่ามีจิตเท่าไหร่ ต้องการกระดาษปากกาไหม มีจิตเท่าไหร่เขียนไป มีเจตสิกเท่าไหร่เขียนไป หรืออยู่ตรงนี้ โลภะมีอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเขียนชื่อเขียนจำนวนลงกระดาษ จริงไหม

- (จริง เข้าใจอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึงปฏิสนธิ ไม่มีใครรู้ปฏิสนธิ แต่มีความเข้าใจบ้างจากการเข้าใจเห็นขณะนี้ว่า ปฏิสนธิเป็นจิตขณะแรกของชีวิตที่มีกรรมเป็นปัจจัย) แม้เช่นนั้นมีความเข้าใจจิตพอไหม (ไม่พอ ไม่เคยพอ) เพราะฉะนั้นมีปฏิสนธิจิต มีความเข้าใจมั่นคงในจิตเป็นปริยัติ เป็นอธิษฐาน เป็นสัจจจะ เห็นไหม จริงอย่างยิ่งไม่ใช่แค่คำแต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นสภาพรู้เป็นจิตที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทำปฏิสันธิกิจต่อทันทีจากการตายในชาติก่อน ต้องเป็นจิตนี้เท่านั้นที่ทำกิจนี้เท่านั้น

- นี้เป็นหนทางที่จะเข้าใจว่า จิตคืออะไร และปฏิสนธิจิตคืออะไร และภวังคจิตคืออะไร และเห็น ได้ยินคืออะไร ทั้งหมดเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ แต่ว่าทั้งหมดต่างกันมากโดยนัยของธาตุ โดยนัยของปฏิจสมุปบาท โดยนัยต่างๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ไม่ใช่คำ คำเพียงแสดงให้รู้ว่าหมายถึงธรรมอะไร

- แข็งไม่ได้อยู่ในตำรา แข็งกำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่มีความเข้าใจว่าเป็นเพียงแข็ง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แข็งเกิดขึ้นเป็นแข็ง ไม่ใช่ขาของเรา ไม่ใช่แขนของเรา ไม่ใช่เตียงของเรา ไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น เป็นธรรมไม่ใช่ชื่อ แต่มีชื่อเพื่อให้รู้ว่าหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่แตกต่างกันซึ่งหลากหลายมาก และปัญญาก่อนที่จะเป็นปริยัติที่ชัดเจนในความจริงของสิ่งที่มีจริง

- ได้ยินคำว่า จิต มีความเข้าใจจิตแค่ไหน หรือเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่รู้แจ้งอารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้นจิตต้องรู้อารมณ์ เปลี่ยนลักษณะของจิตไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันแต่ละขณะที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใดหรือไม่อาศัยทวารเลย

- ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่จะเป็นใครไปไม่ได้เลยแต่มีความไม่รู้เป็นปัจจัย ไม่เข้าใจความจริงเพราะฉะนั้นความเข้าใจผิดมีจริงเป็นทิฏฐาสวะ เมื่อกล่าวถึงอนุสัย อยู่ที่ไหน ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอนุสัย เมื่อกล่าวถึงอาสวะ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอาสวะแต่ตามความเป็นจริงมีอยู่แต่ไม่รู้เป็นอาสวะระดับนั้น ยกตัวอย่าง เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีความเข้าใจเห็น ไม่มีความเข้าใจสิ่งที่ถูกเห็น ถูกต้องไหม

- ด้วยเหตุนี้คำถามว่า มีจิตกี่ประเภทที่รู้ได้อารมณ์เดียว เพื่อเข้าใจความต่างกันของจิตที่รู้อารมณ์ต่างกัน ทางทวารต่างๆ เมื่อกล่าวโดยนัยของทวาร มีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์เพียง ๑ อารมณ์หมายความว่า รู้ทางทวารเดียวเท่านั้น มั่นคงขึ้น ไม่มีเราเมื่อมีความเข้าใจถูก ไม่ใช่เพียงแค่ตอบว่า เป็นจิต เป็นเห็นที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา นั่นเป็นคำ แต่ความเข้าใจลักษณะของเห็นเดี๋ยวนี้ แต่ละขณะ แต่ละหนึ่ง แต่ละลักษณะ

- (คุณสุคินกล่าวว่า หลังจากที่ได้ฟังท่านอาจารย์ก็เข้าใจว่า ปริยัติก็ไม่ใช่อย่างที่เคยเข้าใจ ขณะนี้คิดถึงธาตุที่ได้สนทนาไปซึ่งลึกซึ้งและยังไม่มีความเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่า การฟังเรื่องธาตุก็สามารถเตือนให้นึกถึงจิตขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องธาตุก็ช่วยให้เข้าใจจิตขณะนี้เพิ่มขึ้นเพราะวิญญาณขณะนี้คือเห็น วิญญาณธาตุคือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้กระทบสัมผัส ดังนั้นการฟังเรื่องวิญญาณธาตุสามารถเป็นปัจจัยให้เข้าใจเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ฯลฯ เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือที่ท่านอาจารย์หมายถึงปริยัติหรือไม่)

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 21 ม.ค. 2568

- ปริยัติคืออะไร ถ้าปราศจากความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง จะมีความเข้าใจรอบที่ ๒ ได้ไหม รอบที่ ๓ ได้ไหม ถ้ามีเพียงคำ จิตมี ๘๙ ฯลฯ นั่นไม่เป็นปัจจัยที่จะเกิดความเข้าใจในรอบที่ ๒ ได้เลย (คุณสุคินเห็นความต่างของปริยัติและปฏิปัตติ แต่สงสัยว่า ปริยัติต้องเป็นความเข้าใจเห็นที่กำลังมีขณะนี้เสมอไปหรือไม่) ถ้าเราไม่กล่าวถึงเห็น อะไรจะเป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจเห็น (แต่ความเข้าใจต้องเกิดขึ้น ความเข้าใจเข้าใจสิ่งที่เข้าใจนั่นคือกุญแจสำคัญ)

- ความเข้าใจยังไม่พอหรือพอแล้วที่จะเป็นความเข้าใจรอบที่ ๒ (ยังไม่เป็นรอบที่ ๒) จะเป็นเมื่อไหร่ (ความต่างตรงนั้นคุณสุคินเข้าใจ เมื่อมั่นคงพอ) เพราะฉะนั้นมั่นคงอย่างไร ไม่ใช่เมื่อมั่นคงๆ แต่มั่นคงอย่างไร (สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา) แม้แต่คำถามว่า มีจิตกี่ประเภทที่รู้ได้อารมณ์เดียว ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่งเป็นหนทางของความเข้าใจถูกในเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กล่าวตามว่า เห็นมีจริงเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ไม่ว่าเกิดเมื่อไหร่เห็นเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่แค่นั้นแต่สามารถมี่จะเข้าใจเพิ่มขึ้น ไตร่ตรองละเอียดขึ้น เพราะว่า ถ้าปราศจากความรอบคอบและการไตร่ตรองที่แยบคาย ก็ไม่สามารถที่จะประจักา์สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ได้ แม้คิดถึงก็ไม่คิดถึงเลยทั้งวัน

- เพราะฉะนั้นแค่กล่าวว่า เห็นเป็นเห็น แต่ว่ามีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์เดียว คำถามเปรียบเหมือนอาหารของการไตร่ตรอง ถ้าไม่มีอาหารเลยก็ไม่มีอะไรพิจารณาแม้กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่การสนทนาธรรมสามารถสนทนาสอบถามได้หมายแง่มุม ได้หลายนัย เพื่อพิจารณาเป็นประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ที่จะคิดพิจารณาธรรมโดยไม่ไปคิดถึงสิ่งอื่นในขณะนั้นซึ่งเป็นบารมี

- เพราะฉะนั้นละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เราสนทนาถึงความตรง กล่าวถึงเห็นที่กำลังเห็น (ถ้าพิจารณาว่า มีจิตที่คิดด้วยความติดข้องแต่ไม่ใช่ตลอดเวลาบางครั้งก็มีความเข้าใจและความเข้าใจก็มีหลายระดับ ดังนั้นเมื่อเข้าใจก็เป็นความเข้าใจและต้องเป็นความเข้าใจขั้นใดขั้นหนึ่งไม่ว่าจะเป็นปริยัติ ปฏิปัตติ หรือปฏิเวธ และปริยัติก็มีมากมายหลายระดับ) ทั้งหมดตามเหตุตามปัจจัย

- (คุณตรัสวิน ถามว่า หัวใจสำคัญของความเข้าใจในรอบที่หนึ่งหมายความว่า ต้องมีความมั่นคงในคำสอน ต้องมีความเข้าใจ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ถูกไหม) ต้องพิจารณาสิ่งที่กำลังมีขณะนี้แต่ละ ๑ แต่ใครสามารถระลึกได้ด้วยความเข้าใจถูกถ้าปราศจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยโดยนัยต่าง โดยประการต่าง โดยคำถามต่างๆ

- (คุณสุคินกล่าวว่า เคยคิดผิดว่า สัจจญาณต้องเป็นความเข้าใจระดับที่สูงมาก แต่เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจแม้เล็กน้อยขณะนั้นมีความมั่นคงแล้ว ต้องมีความมั่นคงในระดับที่เริ่มต้นจึงจะมีความมั่นคงในระดับที่สูงขึ้นเพิ่มขึ้นที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดกิจจญาณได้ ดังนั้นเมื่อเรากล่าวถึงความมั่นคงต้องเป็นการอบรมเจริญขึ้นเพิ่มขึ้นๆ)

- (คุณตรัสวินกล่าวว่า เหมือนการเรียนศาสตร์ต่างๆ ถ้าไม่มีขั้นแรกก็จะไม่รู้ว่า ขั้นที่ ๒ ห่างไกลแค่ไหน)

- (คุณสุคินกล่าวว่า แม้จะมีขั้นแรกก็ยังแยกย่อยเป็นขั้นเล็กๆ มากมายหลายๆ ขั้น)

- (คุณสุคินถามว่า ปริยัติคือรอบรู้ “รอบรู้”​ หมายความว่าอะไร) มีจิตกี่ประเภทที่รู้ได้อารมณ์เดียว (เพราะฉะนั้นจะเป็นปริยัติเมื่อมีความเข้าใจมากๆ ในทุกนัย หรือว่าเพียงเริ่มต้นเข้าใจธรรมก็เป็นปริยัติ การเข้าใจความจริงที่ต่างจากบัญญัตินั่นเป็นปริยัติหรือไม่)

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นอีกครั้งศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพื่อเข้าใจจำนวน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรู้ว่า อะไรเป็นธรรมเพื่อที่จะรู้ว่าเรากำลังศึกษาธรรม ธรรมคือเห็นเดี๋ยวนี้ และจิตก่อนเห็นมีไหม และมีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์เดียว ทั้งหมดเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ มั่นคงเพิ่มขึ้นๆ

- (คุณแอนกล่าวว่า สะดุดกับคำว่า ไตร่ตรองเสมอ ปริยัติคือเมื่อมีการไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟัง การไตร่ตรองคือเดี๋ยวนี้ คือการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ได้ฟังที่จะนำไปสู่ปริยัติ) เดี๋ยวนี้มีอะไร ไม่ใช่แค่สิ่งที่ได้ฟังแต่อะไรเดี๋ยวนี้ สำคัญที่สุดคือเข้าใจธรรมในระดับเข้าใจตามตำราและสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ และคำตอบของคำถามว่า มีจิตเท่าไหร่ที่รู้อารมณ์เดียว มีอะไรเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร

- เราศึกษาสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ตามความเป็นจริงที่สามารถรู้ได้ ไม่ใช่ที่อยู่ในตำรา ไม่ใช่แค่คำ ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ปริยัติคือความเข้าใจความหมายของคำอย่างดียิ่งแต่นั่นไม่ใช่ปริยัติเลย ต้องเป็นความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีขณะนี้ กำลังมีแข็ง คิดกำลังมี ชอบกำลังมี ฯลฯ ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของธรรมเพราะว่าธรรมไม่ใช่คำที่อยู่ในตำราแต่คือเดี๋ยวนี้ รอบรู้ในทุกคำจึงมีทุกคำถามที่เกี่ยวกับสิ่งที่ได้ฟัง แม้เราจะไม่นับธาตุว่ามี ๑๘ ธาตุโดยนัยของทวาร

- เมื่อเรากล่าวถึงธาตุ ๑๘ โดยทวาร มีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส รู้อารมณ์เพียง ๑ อารมณ์ ทาง ๑ ทวาร แต่จิตอื่นๆ ที่เราศึกษาจากตำรา ปัญจทวาราวัชชนจิต มโนทวาราวัชชนจิต ต่างกันไหม โดยนัยอะไร จิตที่สามารถรู้ได้ ๕ อารมณ์ ๕​ ทวารเท่านั้นมีเท่าไหร่ ปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะรู้อารมณ์ได้ ๕​ ทวาร ปัญจทวาราวัชชนะ ๑ และสัมปฏิจฉันนะ ๒​ กุศลวิบากกับอกุศลวิบาก เราศึกษาชื่อไปทำไม เดี๋ยวนี้มีไหมไม่รู้เลย เพราะสิ่งที่รู้ได้ต้องรู้ได้ทาง ๖ ทวารเท่านั้น ไม่ว่าจะในโลกนี้ ในนรก เทวดา พรหม

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาอารมณ์ ๖ ทาง ๖​ ทวาร กำลังมีเดี๋ยวนี้ไหม ไม่รู้เลย มั่นคงแค่ไหนว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่คำ ไม่พอเลย เพราะว่าการศึกษาธรรมไม่ว่าระดับไหนโดยนัยของปริยัติ ปฏิปัตติ หรือ ปฏิเวธ ทั้งหมดคือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เลย ค่อยๆ รู้ทีละน้อย ค่อยๆ มั่นคง แต่ยังไม่ถึงตรงลักษณะแม้กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้

- และจะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เข้าใกล้ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ ทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่มีความเข้าใจพอ มั่นคงพอ ชัดเจนพอ จะมีรอบที่ ๒ ได้อย่างไร สงสัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่พูดถึงโดยไม่มีความเข้าใจความจริง

- เมื่อกล่าวถึง ธาตุ ๑๘​ เราไม่สนใจจำนวนตัวเลข แต่เข้าใจว่ามีจิตกี่ประเภทที่รู้อารมณ์เดียว เห็นไหม โดยนัยของธาตุ ทางทวารต่างๆ สัมปฏิจฉันนะรู้ได้กี่ทวาร เป็นไปเพื่อละ เพื่อมีความมั่นคงว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่โดยชื่อโดยจำนวน แต่โดยความเข้าใจถูกแม้ว่าสิ่งนั้นยังไม่ได้ปรากฏ แต่มีและสามารถรู้ได้ทางทวารไหน อารมณ์ที่รู้ได้ทางใจ อารมณ์ที่รู้ได้ทางปัญจทวาร

- ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในพระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้ว่า เกื้อกูลมากและมีค่าอย่างยิ่ง ถ้าปราศจากความเข้าใจก็เป็นเพียงคำ ไม่มีความก้าวหน้าใดๆ เราศึกษาจิตมานานแค่ไหน แต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในแต่ละคำเป็นหนทาง ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นค่อยๆ ละโดยไม่รู้ตัวเลยลึกซึ้งอย่างยิ่ง นี้เป็นคำสอนถึงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้นานแสนนานมาแล้วอยู่ในความมืดไม่รู้เลยแม้ขณะนี้กำลังสว่างแต่ไม่มีความเข้าใจความจริงเลย

- อยู่ในโลกของอัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงคือทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่จะถึงขณะที่หมดอัตตา เดี๋ยวนี้แต่ละขณะจนกว่าความเข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิทุกประการไม่เกิดอีกเลย นั่นเป็นรอบที่สามของความจริง ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็จะไม่มีคำสอน แต่เป็นไปได้ตามปัจจัย ที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 21 ม.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นมีคำมากมาย มีตำรามากมาย พระอภิธรรม พระสูตร พระวินัย เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีว่า ไม่ใช่เรา เพราะเราเรียนว่า เห็นเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวโดยนัยของอายตนะ จักขายตนะ รูปายตนะ และรู้ว่า เมื่อมีความเข้าใจก็รู้ว่า มีอายตนะอะไร เท่าไหร่ ขณะนี้ มีมากมายแต่รู้ไม่ได้เพราะไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้แต่ผ่านไปแล้ว กำลังมีกำลังเกิดดับแต่ไม่รู้ เพราะไม่ได้เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขณะนั้น

- เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่แค่หมายความว่าอย่างนั้นอย่างนี้แต่กำลังมีตามความเป็นจริง จักขุวิญญาณไม่ใช่รูปายตนะแต่เป็นจักขายตนะ ฯลฯ ทีละเล็กทีละน้อย แม้เราไม่ใช้คำว่า อายตนะ เราจะกล่าวโดยความเป็นธาตุก็ได้หรือนัยอื่นๆ เพราะว่าไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยไหนธรรมก็เป็นจริงอย่างนั้นขณะที่ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง และนี้คือการศึกษาธรรมเพราะว่าธรรมกำลังมีเดี๋ยวนี้ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ใกล้มาก

- และนี้เป็นบารมีเกื้อหนุนกุศลโดยมีความเข้าใจความจริงเป็นปัจจัย ไม่ใช่ใคร เพียง ๑ ขณะที่เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นความจริงสูงสุด ไม่มีใคร และสามารถประจักษ์แจ้งได้ในรอบที่สาม โดยความเข้าใจในรอบที่สองเป็นปัจจัยซึ่งมีความรู้ในรอบแรกเป็นปัจจัยโดยไม่รู้มาก่อน ไม่คาดคิดมาก่อนเมื่อปัญญาเกิดขึ้นชัดเจน แม้เดี๋ยวนี้ขณะไหนก็ได้ไม่รู้ล่วงหน้าเลย ปัญญาขณะนี้ยังไม่รู้ชัด ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ต้องมั่นคงขึ้นๆ ในความเข้าใจธรรมแต่ละ ๑ เพียง ๑ ธรรมเท่านั้น มิฉะนั้นอารมณ์ปรากฏดีไม่ได้ตามความเป็นจริง

- เพราะฉะนั้นเรากำลังอยู่ในโลกของอัตตา โลกแห่งความฝัน โลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใด บุคคล ตัวตน จนกว่าเข้าใจความจริงเพราะว่าแม้จะสว่างอย่างนี้แต่ไม่เข้าใจเพราะฉะนั้นจึงเป็นความจริงที่มืดที่สุดที่กำลังมีแต่ไม่รู้เลย จนกว่าความเข้าใจถูกเจริญขึ้นเพิ่มขึ้น ค่อยๆ เข้าใกล้สภาพธรรมทีละ ๑ ยิ่งขึ้นลึกขึ้นเพื่อประจักษ์แจ้งความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วโดยความเป็นอนัตตา ต้องเป็นอนัตตาไม่ว่าสภาพธรรมอะไรที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ จนกว่าจะถึงที่สุดคือ สอุปาทิเสสนิพพาน สิ้นสุดปัจจัยที่จะให้เกิดอีก ปัจจัยที่จะให้เกิดอีกดับหมดไม่เหลือเป็นขณะที่ความเข้าใจเกิด เป็นขณะที่ไม่มีความติดข้อง ไม่มีความไม่รู้ ไม่มีความเห็นผิดอีกต่อไปในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นความจริง

- (คุณริทถามว่า เมื่อเห็นเกิดขึ้นมีกี่ธาตุ ทีละหนึ่ง ทีละธาตุ)

- (คุณสุคินคิดว่า ตอนนี้ไม่สำคัญว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เราแค่รู้ว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดเป็นธาตุทั้งหมด และจากการศึกษาธาตุ ๑๘​ ก็มีหลายธาตุ ดังนั้นตอนแรกที่บอกว่ามี ๓ ธาตุ แต่จริงๆ แล้วมีเจตสิกที่เป็นอีก ๑ ธาตุ คุณสุคินไม่สนใจที่จะนับจำนวน แต่รู้ว่าทั้งหมดเป็นธาตุ)

- (คุณริทคิดว่า ท่านอาจารย์ต้องการให้อธิบายเพิ่มไม่ใช่แค่บอกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธาตุ)

- (คุณสุคินกล่าวว่า ถูกต้องนั้นเป็นหัวใจสำคัญเพราะลึกซึ้งมาก และเราลืมและคิดว่าการหาคำตอบคือหนทาง แต่ไม่ใช่หนทางเพราะหนทางลึกซึ้งกว่าตัวธรรม)

- ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปคิดว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่สามารถไตร่ตรองพิจารณาได้เท่านั้นเอง เพราะมีธรรมมากมายให้ไตร่ตรองพิจารณา แล้วทำไมเราต้องมาติดอยู่ที่จำนวนตัวเลข เมื่อถามว่ามีกี่ธาตุ แต่ขณะนี้อะไรเป็นธาตุ พอจะเป็นคำตอบให้กับคำถามไหม เมื่อมีความเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้กำลังมีอะไร สิ่งที่มีเป็นธาตุ ไม่ต้องไปใส่ชื่อหรือเรียกชื่อว่าธาตุอะไร แต่มีสภาพธรรมให้รู้ซึ้งจะเป็นธาตุอื่นไม่ได้เพราะเป็นเห็น ฯลฯ

- ด้วยเหตุนี้คำถามต้องเป็นประโยชน์เพื่อเป็นปัจจัยให้เกิดการพิจารณาเพิ่มขึ้นละเอียดขึ้นแต่ก็แล้วแต่ สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะเป็นคำถามถึงจำนวนหรือลักษณะ หรือว่ามีกี่ทวาร ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในธรรมแต่ไม่ใช่ติดในธรรม หรือพยายามถามคำถามเกี่ยวกับธรรมนั้นทั้งวัน แต่เข้าใจจุดประสงค์ไม่ว่าจะมีคำถามหรือไม่มีคำถามก็เพื่ออบรมเพื่อความเข้าใจความจริงเพราะว่ากำลังมี และเมื่อกล่าวว่าเห็นกำลังเห็นหมายความว่า ๑ อารมณ์หรือ ๑ ทวาร

- สำคัญที่สุดคือเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นใครที่สนใจจำนวน เช่น ธาตุ ๑๘​ สามารถศึกษาได้แต่เพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่เป็นธาตุขณะนี้ที่กำลังมีแต่ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นมีหลายวิธีสำหรับแต่ละ ๑ ที่ได้สะสมมาที่จะศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงตามปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้วของแต่ละ ๑ แต่ความเข้าใจว่ามีจิตที่รู้อารมณ์ได้มากกว่า ๑ ทวารมีไหมเพื่อเข้าใจว่าจิตแตกต่างกัน และศึกษาเพิ่มเพื่อเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นว่า ทำไมจิตไม่รู้อารมณ์ทุกทวาร และจิตรู้อารมณ์ได้กี่ทวาร ฯลฯ

- แต่ละขณะเป็นพื้นฐานเป็นรากฐานที่จะละความเห็นผิดว่าเป็นเราทีละน้อยๆ ค่อยๆ มั่นคงขึ้นๆ เริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีก เพราะสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถึงสิ่งที่กำลังมีนั้นถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้องและอกุศลอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นอีก เพื่อเริ่มเปิดเผยความจริงทีละน้อยๆ ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 22 ม.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่าน

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ม.ค. 2568

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 26 ม.ค. 2568

ประโยชน์ของการฟัง คือ เพื่อเข้าใจความจริงและความเข้าใจจะดำเนินไปในหนทางนี้จากที่เมื่อก่อนเป็นเราที่เข้าใจก็ค่อยๆ เป็นธรรมที่เข้าใจความจริงและเป็นทางที่กุศลจะค่อยๆ เจริญขึ้นซึ่งเกื้อหนุนให้เป็นบารมีเพื่อละคลายอกุศลให้เกิดน้อยลง และเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นมากยิ่งขึ้น


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ