English-Hindi 18 January 2025
English-Hindi 18 January 2025
- (คุณอัลแบร์โต้กล่าวว่า ในพระไตรปิฎกแสดงเหตุไกลและเหตุใกล้ เช่น เหตุใกล้ให้เกิดสติคือ ถิรสัญญาเป็นความจำที่มันคง ภาษาบาลีใช้คำว่า ปทัฏฐาน แต่มีเหตุหลักหรือเหตุไกลด้วยซึ่งก็เป็นสภาพธรรม ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายความต่างของเหตุใกล้และเหตุไกลที่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้)
- พวกคุณเข้าใจประเด็นที่คุณอัลแบร์โต้ถามไหม (เข้าใจ) เขาพูดถึงอะไรเพื่อที่จะเข้าใจไปพร้อมๆ กันว่า ธรรมที่กำลังมีคืออะไรเพื่อที่จะค่อยๆ รู้ว่าอะไรที่กำลังมีที่เป็นธรรมตามความเป็นจริง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นคุณอัลแบร์โต้สนใจอะไร (ปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้น เช่น ปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิด) คุณหมายถึงสติเท่านั้นใช่ใหม่ หรือเหตุใกล้ให้เกิดอะไรเดี๋ยวนี้ ทีละน้อยๆ ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจเหตุใกล้ให้เกิดอกุศลทุกประการเพ่อละความยึดถือในขณะที่เป็นเราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คุณกำลังกล่าวถึงเหตุใกล้ให้เกิดสภาพธรรมแต่ละ ๑ หรือเหตุที่เป็นสาธารณะที่ทำให้เกิดธรรม ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ เข้าใกล้หนทมางที่จะเข้าใจสภาพธรรมด้วยการพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเพื่ออบรมความเข้าใจถูกในความจริงที่กำลังมีตามเหตุตามปัจจัย และเข้าใจถูกว่าอะไรเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ถูกไหม
- เรากำลังกล่าวสิ่งต่างๆ ที่มีมีอยู่รอบตัวว่า ไม่ใช่เราแต่ละ ๑ มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ปรากฏให้รู้ได้แต่ยังไม่มีความเข้าใจความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะว่า มีความเห็นผิดในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเหตุใกล้ในแต่ละขณะต้องเป็นเหตุใกล้ของสภาพธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งสามารถรู้ได้ แต่ไม่ใช่ไปพยายามรู้สิ่งที่รู้ไม่ได้เดี๋ยวนี้
- ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อยซึ่งสามารถค่อยๆ ละความเห็นว่าเป็นเราเพราะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีแต่ละขณะ ถูกไหม เหตุใกล้ให้เกิดสภาพธรรมแต่ละ ๑ เพราะขณะนี้มีธรรมที่แตกต่างหลากหลายรวมกัน ถ้าไม่รู้สภาพธรรมแต่ละจะละความเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร เพราะเหตุว่าธรรมแต่ละอย่างไม่ใช่สิ่งใด ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
- (คุณสุคินกล่าวว่า คิดถึงเหตุใกล้ของเห็นว่าเป็นตาหรือเป็นอารมณ์ของเห็นแล้วตระหนักเลยว่าไม่เข้าใจความหมายของเหตุใกล้ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย) ทีละน้อยนะคะ ถ้าไม่มีอารมณ์ที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้จะมีเห็นได้ไหม ไม่จำเป็นต้องพูดว่า เป็นเหตุใกล้หรือเป็นเหตุไกล ไม่สำคัญเลยตราบเท่าที่เข้าใจได้ในสิ่งที่กำลังมี ทุกคนลองคิดดูว่าจริงไหม ถ้าไม่มีตา ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นเช่น ผัสสะ เวทนา ฯลฯ จะมีเห็นเดี๋ยวนี้ได้ไหม ไม่ใช่ไปคิดถึงคำว่าเหตุใกล้ แต่อะไรก็ตามที่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นในขณะนั้นล้วนเป็นเหตุใกล้ทั้งสิ้น เพราะขณะนั้นเราไม่ได้พูดถึงกรรมที่เป็นปัจจัยให้รู้อารมณ์ต่างๆ กันในขณะนั้น
- เพียงเข้าใจเหตุที่ใกล้ชิดมากและเราใช้คำว่า เหตุใกล้ให้เกิด แต่ตามความเป็นจริงคือสิ่งที่มีที่สามารถรู้ได้ (มีคำถามเพิ่มว่า เหตุกับปัจจัยมีความต่างกันอย่างไรหรือไม่) เพียงเข้าใจลักษณะของเห็นและลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้จึงมีคำที่เกี่ยวกับลักษณะต่างๆ ของเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมากมายหลากหลาย ยิ่งพิจารณาถึงความจริงเท่าไหร่ก็ยิ่งละความเห็นเห็นว่าเป็นเรามากเท่านั้น
- ไม่ใช่เพียงศึกษาคำว่า เหตุใกล้คืออะไร แต่เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ถ้าไม่มีตาเห็นเกิดไม่ได้ ใช่เหตุใกล้หรือเปล่า ถ้าปราศจากสิ่งที่กระทบตาก็ไม่มีเห็น ใช่เหตุใกล้หรือเปล่า ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีที่สามารถรู้ได้เป็นเหตุใกล้ (มีปัจจัยมากมายและบางปัจจัยก็ไม่ใช่เหตุใกล้ให้เกิด อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะเห็นความต่างตรงนี้) ไม่สำคัญเมื่อเรากำลังกล่าวถึงปัจจัยของแต่ละขณะซึ่งไกลจากเดี๋ยวนี้ เช่น กัมมปัจจัย อนุสัย ฯลฯ เราจะสนทนาถึงสิ่เหล่านั้นไหม เมื่อเรากำลังสนทนาถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ว่าเราจะสนทนาถึงอะไร เช่น สหชาตปัจจัย จิตและเจตสิก แม้กำลังมีแต่เจตสิกก็ไม่ใช่เหตุใกล้ อย่างไปยึดติดกับคำหรือคำอธิบายแต่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีด้วยการไตร่ตรองพิจารณาความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นต้องเกิดโดยปัจจัย
- มีปัจจัยมากมายในขณะที่ถึงตรงลักษณะของสภาพธรรมซึ่งกำลังรู้อารมณ์ ไม่ต้องไปคิดถึงว่า อะไรเป็นเหตุใกล้ แต่เมื่อเราศึกษาเรื่องเหตุใกล้มายความว่า มีปัจจัยมากมายที่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้นในขณะนั้น แต่เท่าที่สามารถจะรู้ได้เพื่อละความเห็นผิดว่า เป็นเราเห็น หรือว่าเป็นตาของเรา หรือเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นความเข้าใจถูกในขณะนั้นที่ไม่ใช่แค่คำว่า ธรรม แต่เป็นธรรมประเภทไหน นั่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิดความเข้าใจถูกหรือเปล่า อย่าไปยึดคำเพราะแต่ละคำส่องให้เห็นแต่ละสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งถูกปกปิดด้วยคำนั้นแหละ
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่การศึกษาตำรา ศึกษาคำ ศึกษาความหมาย แต่เป็นการศึกษาสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ไตร่ตรองพิจารณาว่า ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเป็นคำที่ควรรู้ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนว่า ทุกอย่างเป็นธรรมเพื่อละคลายความเห็นว่าเป็นเราทีละน้อยมาก ไม่มีหนทางอื่นเลยทั้งสิ้นนอกจากความเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีขณะที่เข้าใจว่าเห็นไม่ใช่เราบ้างไหม เข้าใจไหมว่า เห็นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็น หรือเราจะสนทนาต่อเรื่องเหตุใกล้เหตุไกลและปัจจัยอื่นๆ สหชาตปัจจัย จิต เจตสิก ฯลฯ เพียงอบรมเพื่อความเข้าใจความจริงจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงของแต่ละสภาพธรรมตามความเป็นจริงทีละอย่าง
- นี้เป็นเหตุใกล้ให้เกิดความเข้าใจให้เพิ่มขึ้นให้เจริญขึ้นหรือเปล่า (จากที่ฟังเข้าใจว่า โลภะไม่ใช่เหตุใกล้ให้เกิดความเข้าใจถูกและดูเหมือนว่า โลภะก็จะมาในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายแม้แต่ในการถามคำถามธรรมซึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นคำถามตามแนวทางที่ถูกต้องแต่ก็ยังเป็นโลภะ โลภะเกิดได้ตลอดเวลาแม้ในขณะที่กำลังสนทนาธรรม) เห็นไหม พอไหม โลภะมีในขณะที่กำลังเห็นเป็นอะไร อวิชชาสวะ กามาสวะ ทิฏฐาสวะ ภวาสวะ นี้เป็นเหตุใกล้ให้เข้าใจอาสวะหรือเปล่า
- ด้วยเหตุนี้ อย่าไปยึดติดคำแต่เข้าใจในหนทางว่า ทำไมจึงกล่าวถึงชีวิตประจำวัน เช่น เห็นเดี๋ยวนี้โดยนัยต่างๆ เพื่อละคลายทีละน้อยๆ ไม่สามารถดับหมดสิ้นได้ในทันทีแน่ แม้ว่ากำลังมีเห็นและเราพูดถึงเห็นบ่อยมากแต่ไม่เคยพอ ด้วยเหตุนี้อย่าไปติดคำแต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย ทำไมเราพูดถึงเห็น พูดแล้วพูดอีก เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นรู้สิ่งที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้ ๑ ขณะทีละขณะ ความเข้าใจอย่างนี้จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ความเห็นผิด และความยึดถือในสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตา
- เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่การศึกษาเพื่อเข้าใจคำ เข้าใจความหมาย แต่เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นโดยคำไหนก็ได้ที่ทำให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่อ่านแต่เข้าใจความจริง เข้าใจว่า มีตาแต่ตาไม่ปรากฏแต่รู้ว่ามี เป็นอริยสัจจะรอบแรก มีอยู่แต่สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ตา ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่ส้อม แต่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเห็นเป็นสีสันต่างๆ ขณะที่เห็นแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอเพราะไม่มีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ถูกเห็นจึงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าความเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะหมดไปไม่เหลือ ไม่กลับมาอีกเลยเพราะไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดอีกต่อไป นี่คือความหมายของอริยสัจจะ
- คำว่า อริยสัจจะ คือ การสิ้นสุดของความไม่รู้ความจริงและความเห็นผิดที่เกิดขึ้นพร้อมความไม่รู้ รู้อย่างนี้ดีกว่ารู้เพียงควาามมายของแค่คำแคบๆ ว่า เหตุใกล้ ไหม ด้วยเหตุนี้จึงฟังแล้งฟังอีกถึงความจริงที่ลึกซึ้งที่เกิดแล้วดับเร็วสุดประมาณ แต่ไม่รู้เพราะสืบต่ออย่างรวดเร็วแต่ละขณะจากธรรมหนึ่งสู่ธรรมหนึ่ง
- นี้เป็นจุดประสงค์ในการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า คุณไปยาล คุณโซฮาน มีคำถามอะไรไหม หรือมีอะไรที่สนใจที่จะเข้าใจไหม (คุณโซฮานถามว่า จะลดกิเลสด้วยการเข้าใจธรรมได้อย่างไร)
- มีเราไหม (ไม่มี) (แม้เราจะกล่าวว่า ไม่มีเรา มีแต่สิ่งที่มีจริง มีจิต แต่จะลดกิเลสด้วยความเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร) เป็นหนทางของคุณหรือหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ของพระพุทธเจ้า) เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่า ไตร่ตรองพิจารณาแต่ละคำอย่างละเอียดรอบคอบด้วยความไม่ประมาท คุณพูดถึงจิตใช่ไหม คืออะไรไม่ใช่แค่แปลคำแต่ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
- เมื่อคุณพูดว่า จิต เดี๋ยวนี้มีจิตไหม (มี) หรือเราต้องไปเสาะหาจิตที่ไหนหรือเปล่า ไม่ใช่เลย เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงจิตแต่ไม่มีความเข้าใจจิตเดี๋ยวนี้ ถูกไหม เพราะฉะนั้นจิตคืออะไร (คือเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้) หมายความว่าอะไร เป็นประธานในการรู้ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เราเห็น มีความสงสัยในเห็นเดี๋ยวนี้ไหม (ไม่มี) แต่ยังไม่ได้รู้ตรงเห็นโดยความเป็นธรรมซึ่งเป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้
- คุณเพียงตอบตามตำรา เพราะฉะนั้นความเข้าใจในจิตใกล้ต่อการเข้าใจตัวจริงของจิตหรือยัง หรือเพียงจำคำได้ว่าเป็นจิตที่รู้แจ้งอารมณ์ (เป็นความจำ) ด้วยเหตุนี้จึงไม่พอเลย สิ่งที่จำได้ก็จำคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อๆ ไป ความจริงลึกซึ้งอย่างยิ่งด้วยเหตุนี้เพียงแค่อ่านหรือแค่จำได้ไม่พอ แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ฟัง รู้หรือยัง ปรากฏหรือยัง เป็นเราหรือเปล่า เพียงฟังคำที่ได้ยินขณะนั้นมีความเข้าใจแค่ไหน หรือว่า “เราจะรู้ได้อย่างไร” “เรา” สามารถรู้ความจริงได้ไหม (ไม่ได้) ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคำถามว่า “เราจะรู้…“ อีกต่อไป
- เพราะฉะนั้นนี้เป็นหนทางที่จะมั่นคงในความจริงเป็น สัจจบารมี เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่สงสัยในสัจจบารมี ถูกต้องไหม และสภาพธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งมากยังไม่สามารถรู้ได้ ถูกต้องไหม ด้วยเหตุนี้หนทางที่จะเข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีทีละ ๑ ธรรม เพื่อมั่นคงในอริยสัจจะรอบที่ ๑ ไม่มีหนทางอื่น ไม่มีหนทางของคนอื่น มีเพียงความจริงที่ได้ฟังด้วยความรอบคอบจากผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ไม่ใช่จากใครอื่นเลย เพราะอะไร เพราะผู้นั้นเป็นผู้ตรัสรู้ความจริงขณะนี้ ไม่ว่าอะไรที่กำลังมี ไม่ใช่แค่มีจิตเป็นธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประะานเกิดขึ้นเพื่อรู้อารมณ์แต่มีสภาพธรรมอื่นๆ ด้วย
- ถ้าไม่รู้จักสภาพธรรมเลยก็ยังคงมีความยึดถือในสภาพธรรมว่า เป็นเราเพราะเหตุว่า มีเราอยู่เพราะมีอาสวะ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาทุกคำด้วยความรอบคอบ ศึกษาแต่ละคำว่า เข้าใจแค่ไหนในแต่ละคำ ศึกษาธรรมแต่ละ ๑ ทีละหนึ่งธรรม
- (คุณสุคินถามคุณโซฮานว่า อะไรเป็นหนทางที่จะละกิเลส) (ด้วยการเข้าใจความจริงในแต่ละขณะ เช่น เห็นที่กำลังเห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย) (เพราะฉะนั้นหนทางคือความเข้าใจ ไม่ใช่อย่างอื่น ความเข้าใจถูกคือหนทางเดียวที่จะละและในขณะนี้ก็ลดกิเลส)
- (ท่านกล่าวถึงสัจจบารมี ทำให้นึกถึงบารมีและที่ยังไม่มีความเข้าใจเพราะบารมียังน้อยมากและยังต้องอบรมเจริญบารมีต่อไปอีกยาวไกล ดังนั้นหนทางจึงดูเหมือนยากมาก เราสนทนาถึงเหตุใกล้ซึ่งต้องมีปัจจัยมากมายที่เป็นเหตุให้ความเข้าใจถูกเกิดขึ้นแต่ละขณะ และอบรมให้มีเพิ่มขึ้นซึ่งไม่ใช่แค่ความเข้าใจแต่ต้องมีกุศลทุกประการที่เกื้อกูลให้ความเข้าใจเจริญขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นตราบเท่าที่การอบรมบารมีไม่เจริญขึ้น ความเข้าใจก็ไม่มี)
- ด้วยเหตุนี้จึงมี อริยสัจจ์ ๔ สามรอบ รอบหนึ่งความเข้าใจยังไม่พอที่จะเข้าใจเข้าใจความจริงแต่ละ ๑ แต่ละคนจึงสนใจว่าสิ่งที่ได้ฟังจะเป็นจริงได้อย่างไร แต่นั่นไม่ใช่สัจจบารมีแต่เป็นเรา เพราะฉะนั้นสัจจะคือความเข้าใจความจริงแต่ละ ๑ ที่เป็นอะไรไม่ได้เลย เห็นเป็นเห็นเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจเห็นได้ด้วยการไปเพ่งจ้องที่เห็น นั่นไม่ใช่หนทาง แต่เป็นความเข้าใจในความจริงว่า สิ่งนั้นคืออะไรตามความเป็นจริง เพราะว่าเห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็นซึ่งไม่สามารถรู้อะไรเลย
- เห็นหมายถึงสภาพรู้เกิดขึ้นรู้อารมณ์แต่ละขณะเพราะลักษณะของเห็นคือ เห็น เมื่อมั่นคงอย่างนี้ไม่เปลี่ยนก็เป็นสัจจบารมี แต่การตรงต่อความจริงยังเล็กน้อยมากเพราะว่า ความจริงคือ สภาพธรรมเดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับเร็วสุดประมาณ ทันทีที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจเห็นว่าเป็นเห็นเลย ปะปนกันไปหมดเป็นรูปทรงสันฐาน
- เพราะฉะนั้นอัตตาจะหมดไปได้อย่างไรจนเป็นขณะที่เข้าใจความเป็นอนัตตาชัดเจน อีกนานเท่าไหร่ และถ้าไม่มีความอดทน ไม่มีความพยายามวิริยะจะรู้ได้อย่างไร แม้เดี๋ยวนี้ถ้าไม่อดทนที่จะรู้ว่าธรรมลึกซึ้ง สามารถรู้ได้ทีละน้อยมาก เพียงคำที่ได้ฟังเพิ่มขึ้นๆ เพื่อเป็นปัจจัยให้เข้าใจแต่ละ ๑ ว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงเห็น และนี้คือบารมี เป็นหนทางอบรมความเข้าใจถูกโดยบารมีไม่ใช่โดยใคร เข้าใจความจริงที่จริงและลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนนี้ถ้าปราศจากความเข้าใจถูกในแต่ละสภาพธรรมตามความเป็นจริงจะประจักษ์แจ้งความจริงได้อย่างไร และนี้เป็นสัจจบารมี มิฉะนั้นก็จะเป็น “สัจจบารมีคืออะไร” “จะเป็นสัจจบารมีเมื่อไหร่” “เราจะอบรมสัจจบารมีให้มากขึ้นได้อย่างไร” ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเข้าใจถูก
- พระธรรมคำสอนสอนให้เข้าใจความจริง การที่จะเข้าใจความจริงสูงสุดต้องเป็นความเข้าใจถูกเท่านั้นเพราะว่า ธรรมแต่ละอย่างลึกซึ้งมาก แม้แต่แข็งเดี๋ยวนี้ ใครสามารถเข้าใจว่า ต้องรู้แข็ง มิฉะนั้นก็ไม่รู้ เพระฉะนั้นถ้าไม่รู้จะละความคิดว่าแข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร คำสอนแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อละความไม่รู้และความติดข้อง
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สามารถที่จะตรงต่อความจริงไหม เข้าใจความจริงแค่ไหนในสิ่งที่เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ๑ ขณะ เกิดขึ้นเห็นทันทีที่เห็นก็ดับทันที จริงไหม นี้เป็นหนทางที่อาศัยความอดทนเพื่ออบรมความเข้าใจถูกด้วยความเข้าใจที่แยบคายทีละน้อยๆ เมื่อไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องที่มีกำลังจะละสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นประตู เป็นเตียง เป็นหน้าต่างตลอดทั้งวันได้อย่างไร มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะปรากฏชัดตามความเป็นจริง จึงดูเหมือนปรากฏรวมๆ กันหลายๆ อย่าง และนั่นเป็นสัจจบารมี คือ ตรงต่อความจริง
- (คุณตรัสวินถามว่า ความเข้าใจที่มีอันน้อยนิดนั้นค่อยๆ สะสมไปด้วยความเข้าใจถูกทีละน้อยๆ ถูกต้องไหม) เข้าใจความจริงเมื่อไหร่ก็ได้ อะไรก็ได้ เป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริง (เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจแม้เล็กน้อย นั่นก็เป็นบารมีที่สะสมแล้ว ถูกไหม) เมื่อมีความเข้าใจว่า เพียงความเข้าใจถูกเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัย ให้เริ่มตระหนักด้วยความเข้าใจในสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ทีละหนึ่งตามปัจจัย เป็นบารมีทีละน้อยๆ ที่จริงตรงต่อความจริง
- ประเด็นนี้มีคำถามไหม คุณไปยาล คุณโซฮาน คุณอัลแบร์โต้ คุณจิ๋วมีไหมคะ (ขอบคุณค่ะ ขอให้อธิบายเพิ่มเกี่ยวกับบารมีเพราะว่า ในชีวิตประจำวันเนื่องจากยังมีอัตตา เราคิดว่าเราสามารถสะสมบารมีได้ แต่ความจริงไม่ใช่เราที่สะสมบารมีแต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกที่สะสม ดังนั้นการที่มีคำถามต่างๆ เกี่ยวกับบารมีบ้างหรือเกี่ยวกับเหตุใกล้บ้าง ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ไร้ประโยชน์ที่จะกล่าวถึงเหตุไกล ถูกไหม)
- ไม่เป็นไรเลย เพียงเข้าใจและความเข้าใจเข้าใจว่า เป็นเหตุไกลหรือเหตุใกล้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีปัจจัย เช่น กัมมปัจจัย จะมีเห็นได้ไหม และแม้เห็นก็ต่างกัน เช่น บางครั้งเห็นก็รู้อารมณ์ที่น่าพอใจมาก บางครั้งก็ตรงกันข้าม เราไม่ได้พูดถึงเพียงขณะที่เห็น แต่เราพูดถึงเหตุไกลด้วย นานแสนนานมาแล้ว ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนสิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะนานแค่ไหนหลายโกฏกัปป์ ทรงสอนทุกอย่างเพื่อให้เข้าใจว่าคนแตกต่างกันโดยความเข้าใจ ต่างกันที่จะเป็นผู้ตรงต่อความจริงแค่ไหน
- เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่มีความเข้าใจความจริงเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริงว่า ขณะนี้ไม่ใช่ขณะก่อน แต่ละขณะที่ผ่านมาดับไปหมดแล้ว จริงไหม ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นทีละนิดเป็นสัจจบารมี และจุดประสงค์คือ สละความไม่รู้และความยึดถือเป็นเนกขัมมะบารมี ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงลึกซึ้งอย่างยิ่งเพราะเป็นการประจักษ์แจ้งความจริงที่นานมาแล้วถูกปกปิดด้วยความไม่รู้และความติดข้องและด้วยอกุศลทุกประการเกือบทุกขณะในแต่ละวันในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะวันนี้
- นี้เป็นความจริง เป็นสัจจบารมี เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นๆ สัจจะมีอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ใครที่จะไปรู้แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกในความจริงทีละน้อยๆ แต่ละขณะที่เข้าใจละความไม่รู้และความติดข้องทีละน้อยๆ ที่ไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นทุกขอริยสัจจะไม่ใช่แค่คำแต่เป็นความจริง
- และเราไม่ต้องไปหาว่าระดับนี้เป็นเหตุใกล้หรือเป็นเหตุไกลเพราะทั้งหมดเป็นไปตามปัจจัย และขณะที่คิดถึงเหตุไกลหรือเหตุใกล้ไม่มีความติดข้องใช่ไหม (คุณอัลแบร์โต้กล่าวว่า การพูดถึงความจริงกับความเข้าใจความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้เดี๋ยวนี้เป็นเราที่กำลังพูดแต่เราคืออะไร เป็นจิตเจตสิก ดังนั้นไม่ใช่คำ ไม่ใช่คนแต่เป็นสภาพธรรม ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นยากถ้าไม่ใช่ปัญญาก็เป็นสภาพที่ไม่รู้ ความต่างคือการฟังท่านอาจารย์เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ถ้าปราศจากสิ่งนี้ก็ไม่มีปัจจัยให้เป็นบารมีที่จะเข้าใกล้ความจริงและตรงต่อความจริง และการพูดถึงสิ่งที่มีจริงก็ไม่ง่าย
- (คุณตรัสวินพูดถึงเสาร์ที่แล้วว่า ถามเรื่องอาสวะประเด็นคือมีความไม่รู้จึงไม่จำเป็นที่จะกล่าวถึงความเข้าใจเพราะกำลังมีความไม่รู้แต่ว่า คุณสุคินพูดถูกอย่างหนึ่งว่า ความไม่รู้และความเห็นผิดเป็นคนละสภาพธรรมกันซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ย้อนกลับไปที่คำถามของคุณโซฮานที่ว่าจะทำอย่างไร แต่ไม่มีการจะทำอย่างไรเป็นเพียงความเข้าใจที่ถูกต้องที่จะค่อยๆ ละความเห็นผิด ค่อยๆ ละการหาวิธีการ ค่อยๆ ละความเป็นอัตตา ตอนนี้ก็เลิกที่จะถามว่าทำอย่างไร เพราะไม่มีประโยช์เลยในชีวิตนี้)
- และนั่นเป็นสัจจบารมีที่มั่นคง ไม่ถามอีกต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร มิฉะนั้นคนก็อยากจะรู้ว่า สัจจบารมีคืออะไร ต้องมีความเข้าใจแค่ไหน ฯลฯ แต่ความจริงจากแต่ละคำ เช่นคำว่า อย่างไร เข้าใจธรรมแค่ไหน เพราะฉะนั้นความเข้าใจความจริงที่มั่นคงเป็นสัจจบารมีเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา
- เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นอนัตตาเมื่อไหร่ อย่างไร “ฉันอยากรู้..” และ “เมื่อไหร่ฉันจะสามารถรู้ได้” นั่นไม่ใช่สัจจบารมี เพราะฉะนั้นใครรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นสัจจบารมีไหม มีเพียงความเข้าใจที่มั่นคงในความจริงเท่านั้น สิ่งที่กำลังมีเหมือนไม่เกิดไม่ดับเลยแต่ตามความเป็นจริงแต่ละ ๑ เกิดดับอย่างรวดเร็วแต่ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรเกิดดับเลย มั่นคงพอไหม ถ้ามั่นคงเป็นสัจจบารมี
- (คุณสุคินกล่าวว่าดูเหมือนว่า สิ่งที่เป็นปริยัติเป็นสัจจญาณโดยเฉพาะคำว่า สุตตมยปัญญา การอบรมความเข้าใจถูกเป็นการศึกษาเพื่อฟังอย่างไรให้ดีขึ้นๆ) ฟังอย่างไรเพื่อเข้าใจ (และการฟังเพื่อเข้าใจตรงลักษณะของสภาพธรรมในระดับของสุตตมยปัญญา ส่วนใหญ่แล้วที่เกิดขึ้นเป็นการฟังโดยไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการฟังด้วยความเข้าใจก็คือ การเรียนเพื่อรู้ว่าจะฟังอย่างไร)
- ถ้าไม่ฟัง ไม่ไตร่ตรอง จะมีความเข้าใจไหม (การไตร่ตรองก็เป็นการจำคำด้วยคล้ายการฟังคำ) การได้ยิน การเข้าใจและการไตร่ตรองต่างกันอย่างไร (การได้ยินพร้อมกับความเข้าใจ คุณสุคินใช้คำว่า สุตมยปัญญา การไตร่ตรองพร้อมความเข้าใจใช้คำว่า จินตามยปัญญา แต่แม้ขณะที่มีการฟังขณะนั้นก็มีการไตร่ตรองพิจารณาด้วย เพราะถ้าไม่ไตร่ตรองก็ไม่เข้าใจ)
- สามารถมีมีความเข้าใจเกิดขึ้นโดยไม่ไตร่ตรองได้ไหม (ไม่ได้) ด้วยเหตุนี้คำว่า ปัญญา มาจากคำว่าไตร่ตรองในขณะที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่แค่ฟังแต่เป็นสุตมยปัญญา (ต้องไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง) และเมื่อไม่ได้ฟังก็สามารถมีปัจจัยที่จะคิดถึงความจริง (นั่นเป็นจินตามยปัญญา) ถูกต้อง
- (เพราะฉะนั้นกล่าวได้ไหมว่า เป็นการศึกษาเพื่อรู้ว่าจะฟังอย่างไร) เพื่อเข้าใจมิฉะนั้นสิ่งที่ลึกซึ้งก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า อะไรจริง อะไรเป็นความจริงสูงสุด ไม่มีใคร (และเมื่อท่านอาจาร์พูดถึง “อย่างไร” อีกอย่างหนึ่งแสดงให้เห็นว่ายังขาดบารมีต่างๆ สัจจบารมี ขันติ เขกขัมมะ วิริยะ ดังนั้นการฟังอย่างนี้ไม่สามารถที่จะเป็นการฟังพร้อมความเข้าใจถูกได้)
- เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจด้วยการไตร่ตรองอย่างรอบคอบมิฉะนั้นสามารถเข้าใจอะไรได้ แค่พูดตามว่ามีจิตเท่าไหร่ มีเจตสิกเท่าไหร่ คำนั้นคำนี้หมายความว่าอย่างไร นั่นไม่ใช่การศึกษาสิ่งที่กำลังมีที่สามารถรู้ได้ เป็นเพียงการพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทีละน้อย เพราะว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีสภาพธรรมแต่เราไปพูดถึงสภาพที่ไม่มีแล้วจะรู้จักสภาพธรรมที่กำลังมีได้อย่างไร และนี้เป็นสัจจบารมีเมื่อมีความเข้าใจถูกในความจริง ต้องเป็นหนทางนี้หนทางเดียวเท่านั้น
- (สัจจบารมีในบารรดาบารมีทั้งหมดถูกกล่าวถึงมากที่สุด เป็นเพราะสัจจบารมีสำคัญกว่าบารมีอื่นๆ หรือไม่) สำคัญที่สุดคือปัญญาใช่ไหม (ใช่) และนี้เป็นสัจจบารมี เห็นไหม เราไม่ต้องไปหาสัจจบารมีในขณะอื่นใดเลย แต่เป็นสัจจบารมีเมื่อตรงต่อความจริง นี้จริง เป็นสัจจบารมี (ตัวอย่างเช่น ขณะที่เข้าใจว่า ยังไม่มีความเข้าใจ ดังนั้นสัจจจึงดูเหมือนสำคัญ)
- แต่ละบารมีมีปัญญาเป็นปัจจัยเป็นปัญญาบารมี มิฉะนั้นไม่มีอะไรเกื้อกูลบารมีอื่นให้ประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ โดยไม่เลือกเวลาไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่สงสัยในสัจจบารมี มั่นคงมากที่จะตรงต่อความจริง (เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสัจจบารมีก็ไม่มีเนกขัมมะบารมี ไม่มีวิริยะบารมี ไม่มีขันติบารมี) แน่นอน
- (คุณตรัสวินกล่าวว่า เพราะฉะนั้นบารมีทั้ง ๑๐ บารมีเกี่ยวโยงกัน เกื้อหนุนกัน ถ้าขาดบารมีหนึ่งบารมีใดก็ไม่มีทางที่จะตรัสรู้ได้ ถูกไหม) เรากล่าวอย่างนี้ได้ไหมว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเตือนให้รู้ว่า ไม่ใช่มุ่งไปที่จะให้ถึงปัญญาบารมี หรือขันติบารมี แต่ให้เข้าใจหนทางว่า บารมีในชีวิตประจำวันอบรมให้กุศลทุกประการเจริญขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นพื้นฐาน และใครจะรู้ว่า ขณะนี้เป็นขณะที่กำลังละความไม่รู้และความติดข้อง เพราะว่าต้องเป็นความเข้าใจที่มั่นคงในอริยสัจจ์รอบที่ ๑
- (นั่นเป็นคำที่ไพเราะอย่างยิ่ง ดิฉันจะจำไว้) คุณไปยาล คุณโซฮาลมีคำถามอื่นไหม หรือเกี่ยวกับคำถามนี้อีกครั้ง (คุณโซฮาลขอความรู้เพิ่มเกี่ยวกับสัจจบารมี) มีผู้ที่ตรัสรู้แล้วหรือเปล่า (ไม่มี) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้แล้วหรือยัง (มี) เป็นสัจจะไหม (เป็น) เพราะฉะนั้นค่อยๆ เริ่มมีสัจจะเพิ่ม ตรงต่อความจริง ไม่เปลี่ยน พระองค์ทรงสอนหรือทรงแสดงคำอะไรไหมหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้ (ทรงสอน) และนั้นเป็นสัจจบารมี และคำที่พระองค์สอนสามารถพิจารณาไตร่ตรองจนเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงได้ใช่ไหม (ใช่) สัจจบารมี
- เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า จริงไหมเป็นสัจจบารมีเมื่อมีคำตอบถูกต้อง ไม่ใช่อะไรก็ได้ แต่เพื่อเข้าใจความจริงเพราะเหตุว่า ชีวิตสั้นมาก ใครรู้ จะตายเช้านี้ก็ได้ ตายตอนกลางคืนก็ได้ ใครรู้ เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ขณะที่เข้าใจความจริง ปลูกฝังสะสมเพื่ออบรมให้เจริญเพิ่มขึ้นต่อๆ ไปแต่ละขณะที่มีความเข้าใจถูกตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี
- ใครรู้ ว่ามีสัจจบารมีแค่ไหน (ต้องเป็นความเข้าใจของบุคคลนั้น) รู้ได้ด้วยตนเอง เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจความจริงสูงสุด ไม่ใช่ใคร ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจความจริง และสัจจะตรงต่อความจริง และวิริยะเพียรที่จะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบจนเข้าใจถูก ทั้งหมดเพื่อเข้าใจความจริง เมื่อถึงเวลา เป็นสัจจะไหม ไม่ต้องไปหาคำไหนว่าเป็นสัจจบารมีเมื่อมีความเข้าใจว่าคืออะไร สัจจะ ความจริง และมีความเข้าใจว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ความจริงเป็นความจริง ความเข้าใจถูกว่าอะไรจริงเป็นสัจจบารมี นี้เป็นการเริ่มต้นของบารมีเพื่ออบรมความเข้าใจความจริงทั้งหมด
- เพราะฉะนั้นไม่ว่ากำลังมีอกุศลระดับไหน สัจจะตรงที่จะเข้าใจอกุศลได้ ไม่ใช่พยายามที่จะไปลดอกุศลเพราะเกิดแล้วดับแล้ว เข้าใจความจริง มั่นคงในความเข้าใจความจริงเป็นสัจจบารมี เพราะฉะนั้นมีสัจจะต่อความจริงมากน้อยแค่ไหนในขณะนี้ (สามารถรู้ได้เมื่อมีความเข้าใจ) แน่นอนเพราะความเข้าใจถูกกับความไม่รู้ต่างกันมาก
- (คุณอัลแบร์โต้กล่าวว่า อีกอย่างที่สำคัญคือ ขณะที่ถามคำถามก็เข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่ใช่โซฮาล ไม่ใช่อัลแบร์โต้ ไม่ใช่สุคิน หรือคุณจิ๋ว เพราะว่า ความจริงคือ เป็นสภาพธรรม จะเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมได้อย่างไรถ้าไม่ตรงต่อความจริงในขณะนั้น เช่น ขณะที่เป็นอกุศลติดข้องหรือเห็นผิด ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือรู้สึกว่า ยังดีไม่พอแต่ต้องตรงต่อความจริง ตรงต่อสภาพธรรมในขณะนั้น)
- (คุณสุคินกล่าวว่า และแน่นอนขณะที่ตรงก็ไม่ใช่เรา เรากำลังกล่าวถึงกิจหน้าที่ของสภาพธรรมที่ตรงซึ่งเป็นกิจที่สำคัญ ซึ่งก็ไม่ใช่สภาพธรรมอื่นเช่น ความอดทนก็มีกิจหน้าที่ของตน เพราะฉะนั้นก็เป็นประโยชน์ที่จะทบทวนเรื่องลักษณะและกิจหน้าที่ของสภาพธรรมแต่ละอย่าง อกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล ความไม่รู้ไม่สามารถนำไปสู่ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมได้ ความเข้าใจถูกก็มีกิจหน้าที่อีกอย่างหนึ่งและทั้งหมดนี้เป็นเพียงสภาพธรรม)
- (คุณแอนกล่าวว่า กำลังคิดถึงสัจจบารมีซึ่งห่างไกลจากความรู้ในตำรามากเพราะหลายท่านมีความเข้าใจในตำรามากแต่ไม่ได้มีปัญญามาก) (คุณสุคินกล่าวว่า บารมีอบรมเพิ่มขึ้นแน่นอนเมื่อมีความเข้าใจถูก และบารมีก็สามารถมีเพิ่มขึ้นได้ด้วยบารมีก่อนๆ ที่เกิดแล้ว แม้ในชาติที่ไม่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ก็สามารถอบรมบารมีได้โดยมีบารมีที่เกิดก่อนๆ ในอดีตเป็นปัจจัย แต่ต้องมีปัญญาที่สะสมมาเป็นปัจจัยด้วย เช่น คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมในชาติก่อนก็ให้ทานด้วยความเป็นเรา แต่อีกคนหนึ่งสามารถให้เพื่อให้ แม้ไม่ได้เข้าใจว่า การให้นั้นเป็นธรรม)
- (คุณแอนเห็นด้วยว่า สามารถให้ได้โดยไม่ใช่เพื่อตนเอง ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญใดๆ กุศลสามารถเกิดได้โดยที่ไม่ได้ฟังธรรม หรือศึกษาธรรม)
- (คุณสุคินกล่าวว่า ลองพิจารณาตอนที่เราฟังธรรมครั้งแรก กล่าวได้ว่า ถ้าปราศจากบารมีอื่นในขณะที่ฟังธรรมครั้งแรกก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังได้ เพราะฉะนั้นบารมีทุกประการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้ฟังธรรมครั้งแรก ขณะนั้นที่ได้ยินคำว่า ธรรม มีความเข้าใจแสดงถึงสัจจบารมมีในขณะนั้นซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดได้ยินและเกิดความเข้าใจ)
- (คุณแอนเข้าใจ เหมือนการฟังครั้งแรกชาตินี้ได้ฟังธรรมและอยากกลับไปฟังอีก) (คุณสุคินกล่าวว่า เหมือนเดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่ปัญญาบารมี มีบารมีอื่นๆ ด้วย เป็นธรรมต่างๆ ที่เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจ ทำไต้องเป็นสภาพธรรมเหล่านี้ที่เป็นบารมี มีกุศลอื่นอีกที่ไม่เป็นบารมีที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ เช่น กรุณาไม่เป็นบารมี แต่เมตตาเป็นบารมี)
- (คุณแอนกล่าวว่า บารมีเป็นปัจจัยที่มีกำลังเพื่อความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น และกุศลธรรมที่ไม่เป็นบารมีก็สนับสนุนธรรมที่เป็นบารมีซึ่งเกี่ยวข้องกัน) (คุณสุคินกล่าวว่า ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และมีการเจริญขึ้นของบารมีต่างๆ ก็เป็นปัจจัยให้กุศลต่างๆ เพิ่มขึ้น)
- เราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า กุศลทุกประการสนับสนุนให้มีความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้นเพิ่มได้ด้วย ถ้าไม่มีความเข้าใจในขณะนี้จะมีความเข้าใจในขณะต่อไปได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงอบรมเป็นปัจจัยทีละน้อย ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- (คุณสุคินกล่าวว่า กุศลทุกประการมีอโลภะเจตสิกซึ่งไม่ติดข้อง ในนัยนั้นเรากล่าวได้ไหมว่า ขณะใดที่เป็นกุศลไม่ติดข้อง) เพราะฉะนั้นถ้ามีความติดข้องเป็นกุศลไหม (ไม่)
- (คุณแอนกล่าวว่า เมื่อกุศลเกิด โดยทั่วไปต้องมีอโลภะเกิดด้วย ถูกไหม) ขณะที่เป็นกุศล อกุศลธรรมไม่สามารถเกิดได้เลย (เพราะฉะนั้นมีอโลภะเกิดด้วยไหม) อโลภะ อโทสะ (ทั้งสองอย่างนี้เกิดกับกุศลทุกประเภท) หรือจะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็แล้วแต่ แม้ไม่มีปัญญาก็มีอโลภะอโทสะ ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาขณะที่เป็นกุศลมีสภาพธรรมที่ดีงามเป็นโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากมาย มิฉะนั้นไม่สามารถเป็นกุศลได้เลย
- เราศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่ายังไม่ปรากฏ เพียงได้ยินได้ฟัง ไตร่ตรอง พิจารณาทีละน้อยๆ สภาพธรรมแต่ละอย่างทำกิจหน้าที่ของตนๆ ปัญญาทำกิจของสติไม่ได้ ศรัทธาทำกิจของปัญญาไม่ได้ ทำกิจของสติไม่ได้ ฯลฯ ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ต่างกัน ถ้าปราศจากสภาพธรรมที่ดีงามที่ต้องเกิดขณะที่เป็นกุศล กุศลก็เกิดไม่ได้
- ต้องอาศัยกุศลเจตสิกทุกประเภทเกิดพร้อมกันเพื่อกั้นไม่ให้อกุศลความไม่รู้ ความติดข้องยินดีพอใจเกิดขึ้น เป็นปัจจัยที่จะไม่ประมาท วันนี้เป็นอกุศลเท่าไหร่ และเป็นกุศลเท่าไหร่ และความเข้าใจความจริงเป็นความเข้าใจส่วนหนึ่งแม้ขณะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่สะสมเป็นพื้นฐานให้กุศลเกิด เพราะว่า ขณะที่เป็นอกุศล กุศลเกิดไม่ได้เลย และทั้งวันในแต่ละวันอกุศลเกิดมาก จึงศึกษาเพื่อเข้าใจ เพื่อตรงต่อความจริง
- (คุณสุคินกล่าวว่า เราสามารถเห็นความต่างของกุศล ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อเป็นกุศลก็ไม่ใช่อกุศล และปัญญาเป็นปัจจัยให้กุศลเกิดในชีวิตประจำวันได้อย่างไร แต่มีความต่างของกุศลที่เกิดและปัญญาสามารถเข้าใจว่าเป็นธรรมก็เป็นกุศลที่ต่างระดับกัน)
- (คุณแอนกล่าวว่า การอบรมปัญญาสำคัญ เพราะถ้าไม่มีปัญญาก็เป็นกุศล แต่ไม่ใช่กุศลที่เป็นหนทางที่เป็นปัจจัย แต่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นกุศลที่มีกำลัง)
- (คุณสุคินกล่าวว่า มีปัญญาที่เป็นหนทาง และมีปัญญาที่เป็นบารมีด้วย ซึ่งหมายถึงธรรมที่เป็นนำไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง)
- (คุณแอนกล่าวว่า แน่นอน กุศลเป็นพื้นฐาน และการอบรมปัญญาเป็นหนทางไปสู่อีกฝั่งหนึ่งแน่นอนและเป็นไปตามการสะสมซึ่งเป็นปัจจัยให้มีความสนใจตั้งแต่ต้น)
- (คุณสุคิณกล่าวว่า ความสนใจนั้นเป็นกุศลและที่สำคัญความสนใจซึ่งมีปัญญาเป็นปัจจัยซึ่งต่างจากความสนใจที่เ็นกุศที่ไม่ได้มีปัญญาเป็นปัจจัย)
- (คุณตรัสวินกล่าวว่า กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เช่น คนที่มีชีวิตที่ดีที่เป็นผลมากจากการให้ทานด้วยความเห็นผิด คนเหล่านั้นให้ทานมาก เมื่อเกิดในชาตินี้ก็สะสมกุศลที่ให้ผลให้มีชีวิตที่สะดวกสบายและยินดีในความสะดวกสบายนั้นซึ่งเป็นการสะสมอกุศลมากกว่ากุศล ถ้าไม่มีัญญาพวกเราก็อยู่ในความมืดโดยไม่รู้และยินดีที่จะอยู่ในความมืดในหวลึกของความไม่รู้ต่อไป)
- (คุณสุคินกล่าวว่า แม้ไม่ติดข้องในผลของกุศลแต่ก็ยังติดในสังสารวัฏฏ์ต่อไป)
- (คุณแอนกล่าวว่า กุศลนั้นดีแน่นอน ให้ความรู้สึกที่ดี ฯลฯ แต่นั่นเป็นเรา เป็นอัตตา เราสามารถหลงทางไปได้ด้วยความไม่เข้าใจด้วยกุศลที่เกิดขึ้น เช่น การพอใจในกุศลที่ได้กระทำของตนเองนั่นไม่ใช่กุศล)
- (คุณสุคินกล่าวว่า เกิดขึ้นเป็นเช่นนั้นเพราะอย่างที่ได้กล่าวกับคุณจิ๋วไปว่า กุศลเกิดขึ้นได้มากๆ ตามอุปนิสัยซึ่งได้สะสม เช่น บางคนให้บ่อยๆ ก็สะสมที่จะให้อีกบ่อยๆ และเพราะขาดความเข้าใจถูกจึงทำให้เกิดความติดข้องและความไม่พอใจเป็นอกุศล)
- (คุณแอนกล่าวว่าเป็นธรรมดาที่จะเป็นไปอย่างนั้น) (คุณสุคฯกล่าวว่า ท่านอาจารย์เคยเปรียบให้ฟังว่า ถ้าอกุศลเป็นรูป จะเอากี่จักรวาลมาใส่ก็ใส่อวิชชาหรือใส่อกุศลต่างๆ ไม่พอ แสดงว่าอกุศลมีมากและยากที่จะหมดไปได้)
- เรากำลังสนทนาเรื่องบารมีและที่สนทนากันเป็นบารมีหรือเปล่า (เป็น) เห็นไหม ขณะที่มีความเข้าใจเป็นกุศล ขณะที่เป็นกุศลเป็นบารมีเพื่อเกิ้อหนุนความเข้าใจถูกและเพื่อเห็นโทษของอกุศลและเห็นประโชน์ของกุศล มิฉะนั้นแล้วอะไรจะเป็นปัจจัย การเห็นโทษของโลภะ โทสะ และโมหะ และเห็นประโยชน์ของปัญญา อโลภะ อโทสะ การตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีว่า อกุศลเป็นอกุศลและกุศลเป็นกุศล แต่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาสภาพธรรมทีละ ๑ มิฉะนั้นจะมีความเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น แยบคายขึ้นได้อย่างไร
- สมควรแก่เวลาแล้ว สวัสดีค่ะ
ชีวิตสั้นมาก ใครรู้ จะตายเช้านี้ก็ได้ ตายตอนกลางคืนก็ได้ ใครรู้ เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ขณะที่เข้าใจความจริง ปลูกฝังสะสมเพื่ออบรมให้เจริญเพิ่มขึ้นต่อๆ ไปแต่ละขณะที่มีความเข้าใจถูกตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ