เพียงแค่ปรากฎก็หมดแล้ว

 
คุณย่า
วันที่  24 ก.ย. 2550
หมายเลข  4909
อ่าน  1,455

สนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ
วันที่ 17 มิถุนายน 2550
ถอดเทป โดย
คุณย่าสงวน สุจริตกุล

คุณอรวรรณ จะขอสนทนาเรื่องน้อง คิดว่าน้องเขาสนใจที่จะศึกษาธรรมและไปเรียนอภิธรรรมที่โชติกะ แล้วมีเหตุให้มีผู้บอกให้มาฟังท่านอาจารย์คือ ถ้าเรียนที่นั่นแล้วต้องสอบ รู้สึกว่ามีคนอย่างนี้มาก คือไม่รู้ว่าชีวิตเกิดมาทำไม ก็เลยอยากจะศึกษาว่า อยากรู้ว่าชีวิตนี้ เราเกิดมาทำไม มาจากไหนแล้วจะไปไหน แต่โอกาสที่จะมาเจอทางถูก อย่างที่ท่านอาจารย์ได้นำคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนนี้ก็แสนยาก แต่ตามเหตุปัจจัยที่เราเรียนมาก็เพราะเราได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนเท่านั้น จึงจะได้มีโอกาสมาฟัง ยกตัวอย่างว่าน้องนี้เขาได้ไปเรียนมา แต่ไม่อยากสอบ พระอาจารย์ ป. ก็เลยบอกให้ลองมาฟังท่านอาจารย์ดู ก็เลยรู้สึกว่ามีพวกที่ใฝ่จะศึกษาและอยากจะรู้จริงๆ อยากจะศึกษาให้รู้พระธรรมจริงๆ เข้าใจจริงๆ ว่า ปัญญานี้จะดับทุกข์ และในที่สุดจะดับกิเลสได้อย่างไร คิดว่ามีไม่น้อย แต่โอกาสที่จะเจอหนทางที่ถูกที่ใช่ก็ไม่ค่อยจะเยอะ จะต้องเป็นเพราะได้เคยสะสมบุญอย่างเดียว เราจะมีวิธีเชิงรุกอย่างเดียวหรืออย่างไรสำหรับมูลนิธิ

คุณอรวรรณ ดิฉันคิดว่าคนเรียนพระอภิธรรม แล้วก็อยากจะสอบที่นี่ไหมทำนองนี้มันเสียดายที่เขาสนใจจะศึกษาพระธรรม ยกตัวอย่าง ถ้าพระไม่แนะนำให้มาฟังอาจารย์สุจินต์ เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็อยากจะหาเพื่อให้รู้ว่า ปัญญาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้เพื่อให้รู้ความจริงนี้ คืออะไร เพราะจริงๆ แล้วเขาก็อยากจะรู้อย่างนี้แหละ อยากรู้เช่นนั้นแหละ แต่เขามัวไปเรียนอภิธรรมและต้องสอบ แล้วไปสนใจจิต ๘๙ แต่ตามที่อาจารย์บอกแล้วไม่รู้จักด้วยว่า จิตเห็น จิตได้ยิน ก็คือ จิตในชีวิตประจำวัน ก็มัวไปจำ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ โดยที่ไม่รู้จักจิต ว่าคือจิตที่เห็น ที่ได้ยินในขณะนี้เอง อยากจะไปบอกผู้ที่ไปเรียนที่โชติกะ แล้วไม่อยากสอบให้มาเรียนที่นี่

อาจารย์ ที่คุณอรวรรณพูดเมื่อกี่ ก็มีคำหนึ่ง “ที่ได้สะสมมาแล้วแต่ชาติปางก่อน” ได้ยินใช่ไหมคะ “ชาตินี้” เป็นชาติปางก่อนแน่ๆ เมื่อถึง “ชาติหน้า” กำลังสะสมหรือเปล่าแล้วก็อีกแสนชาติข้างหน้า ชาตินี้ก็เป็นชาติก่อนของแสนชาติหลังที่จะสะสมไปอีกเท่าไร ก็แล้วแต่นะคะ ไม่มีใครจะสามารถจะรู้ได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลส ต้องเกิดค่ะ
เพราะฉะนั้น ที่เคยกล่าวถึงแล้วก็ขอกล่าวถึงอีก คือ “วิญญาณจริยา” และ “วิญญาณ” ก็คืออีกคำหนึ่งของ “จิต” เมื่อปฏิสนธิจิตมีเกิดขึ้น ต้องเป็นไปถูกต้องไหมคะ ตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่ขณะแรก จนกระทั่งถึง ณ บัดนี้ มีอะไรบ้าง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก พ้นไปได้ไหมในแต่ละวัน ต้องเป็นไปอย่างนี้ค่ะ ไม่ว่าจะภพไหน ชาติไหน ผลก็คือว่า เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นถูก ในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นก็เพลิดเพลินยินดี ติดข้องด้วยอกุศล ไม่ได้สิ่งที่พอใจก็เป็นอกุศล

เพราะฉะนั้น หลังจากที่กล่าวถึง “วิญญาณจริยา” คือ ความเป็นไปเมื่อมี“ปฏิสนธิจิต” แล้วต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเห็น ต้องได้ยินอย่างนี้ และต่อจากนั้นต้องมี “อกุศล” อย่างนั้นๆ คือ ไม่โลภะ ก็โทสะ โมหะ จริงไหม ถึงจะมี “กุศล” เกิดบนสวรรค์ ก็เหมือนเมื่อเช้านี้แหละค่ะ ก็หมดไปแล้ว หมดไปเลยเร็วมากด้วย แต่ละวันๆ จะกี่วันก็ตามแต่ ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้กล่าวถึงกุศลอื่นเลย เพราะถึงแม้มีให้ผลเป็นสุข ก็เพียงแค่เห็น แค่ได้ยิน เป็นต้น แล้วก็หมดไปๆ ด้วย “วิญญาณจริยา”และ “อัญญาณจริยา” คือ ความไม่รู้ จนกว่าจะถึง “ญาณจริยา” ความรู้ถูกความเข้าใจถูก ซึ่งสามารถจะดับอกุศลและดับความเป็นไปของจิตได้

นี่คือ การตรัสรู้และพระมหากรุณาที่ทรงแสดงธรรมอนุเคราะห์ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญแต่ปางก่อน ก็ลองคิดดู มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรอง ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยที่เมื่อมีความเข้าใจแล้วและเห็นประโยชน์ก็จะเพิ่มความเข้าใจขึ้น อย่างนี้ค่ะ อยากจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมไหม อยากประจักษ์ได้ไหม ไม่ได้ แล้วอยากทำไม อยากเฉยๆ อยากไปก็เท่านั้น กับการที่ค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้น และรู้ตามความเป็นจริง ว่าการที่จะเข้าใจธรรมนี้ไม่ใช่มีตัวเรา หรือไม่ใช่เราอยากจะเข้าใจ แล้วก็ไปทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จริงๆ แม้ขณะที่ไปก็ไม่รู้ว่าเพราะอยาก เพราะฉะนั้น เมื่ออยากแล้ว ก็รู้ไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังอยาก ไม่สามารถที่จะละ แล้วเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะใดที่อยาก ขณะนั้น “อวิชชา” เพราไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฎ

เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะเข้าใจถึงการสะสมปัญญาและบารมีอื่นๆ ที่จะทำให้ดับกิเลสได้จริงๆ ไม่เกิดอีกเลย แต่กิเลสมีตั้งหลายระดับ มีอย่างหยาบปรากฎทุกคนก็รู้ และอย่างกลางๆ คนอื่นไม่เห็นไม่รู้ แต่เกิดแล้วคนนั้นรู้ และก็อย่างที่ไม่รู้เลยว่ามี เช่นในขณะที่นอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมา มีแล้วค่ะ กิเลสมาจากไหน ถ้าไม่มีการสะสม เป็นอนุสัยอยู่ แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะดับอนุสัย ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดอกุศลทุกระดับ เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมไม่ใช่เพียงเข้าใจเล็กน้อยแล้วอยากดับกิเลส เป็นไปได้อย่างไรคะ ต้องเป็นปัญญาที่ละเอียดและรู้จริง

การอบรมเจริญอริยมัคค มีองค์ ๘ สามารถที่จะรู้ยิ่งในสภาพธรรมที่ปรากฎทั้งหมดว่าเป็นธรรมตามความเป็นจริง จึงจะดับอนุสัยกิเลส ที่เกิดยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะ ความจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพียงแค่ปรากฎก็หมดแล้ว


  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natnicha
วันที่ 24 ก.ย. 2550

ขออนุโมทนาที่นำการสนธนาธรรมของท่านอาจารย์ที่หลายๆ คนในที่นี้ไม่มีโอกาสได้ไปฟัง นำมาโพสต์ได้อ่านกัน เป็นประโยชน์มากเลย ถ้ามีอีกก็ขอให้นำมาให้อ่านกันอีกนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ajarnkruo
วันที่ 24 ก.ย. 2550

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 ก.ย. 2550

ขออนุโมทนาด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pamali
วันที่ 21 ต.ค. 2553

ขอกราบนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัย...

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ขอบพระคุณ.......

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nopwong
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kullawat
วันที่ 17 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
lokiya
วันที่ 5 พ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 7 พ.ย. 2565

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ