ปัญจทวาราวัชชนจิต ชื่อว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ
หลังจากที่อตีตภวังค์เกิดกระทบรูปและจักขุปสาทรูปแล้ว อตีตภวังค์ดับไป ขณะต่อไปก็เป็นภวังคจลนะ ขณะนั้นก็ยังไม่เห็น เมื่อภวังคจลนะดับแล้ว ภวังคุปัจเฉทะ หมายถึงภวังค์ขณะสุดท้าย ใช้คำว่า “ตัดกระแสภวังค์” เพราะว่าหลังจากนั้นจะเป็นภวังค์ไม่ได้เลย ภวังคุปัจเฉทะเกิดขึ้นแต่ก็ยังไม่เห็น
นี่แสดงให้เห็นว่า การที่เราจะรู้ว่า รูปๆ หนึ่งอาศัยทวารใด จะต้องรู้ว่า รูปมีอายุ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ผ่านไปแล้ว ๓ ขณะ รูปยังไม่ดับ แล้วจากการเป็นภวังค์ ก็จะมีการที่รู้อารมณ์ทางตาทันทีไม่ได้เลย ต้องมีจิตที่เกิดซึ่งเป็นวิถีปฏิปาทกมนสิการ คำนี้เป็นภาษาบาลี หมายความว่า จิตนี้เป็นบาทเฉพาะแก่จักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ จิตนี้คือปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยาจิตซึ่งเกิดเพราะอารมณ์กระทบกันทำให้รู้ ขณะนั้นเพียงรู้ว่า มีอารมณ์กระทบที่ทวาร ทวารหนึ่งทวารใด ถ้าเป็นทางตาเรียกได้ว่า จักขุทวาราวัชชนจิต
ถ้าเป็นทางหูก็เป็นโสตทวาราวัชชนจิต แต่ชื่อไม่สำคัญเลย แต่ให้รู้ว่า ถ้าไม่มีจิตนี้เกิด วิถีจิตต่อๆ ไปเกิดไม่ได้เลย จึงชื่อว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ การที่จิตนี้เกิดแล้ว ก็จะเป็นบาทเฉพาะให้วิถีจิตอื่นๆ เกิดสืบต่อ ขณะนั้นรูปดับหรือยัง ทวารไหน ถ้าเป็นจักขุปสาทกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ (ทวารตา) ถึงมโนทวารหรือยัง (ยังไม่ถึง)
นี่คือส่วนมากคนจะไม่เข้าใจจุดนี้ เพราะเข้าใจว่ากุศลอกุศลเป็นมโนทวาร แต่ความจริงไม่ใช่ กุศล อกุศลสามารถเกิดโดยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใน ๑๗ ขณะจิตที่รูปๆ หนึ่งยังไม่ดับ ที่กล่าวมาขณะนี้กี่ขณะแล้ว ตั้งแต่รูปเกิด อตีตภวังค์ ๑ ภวังคจลนะ ๒ ภวังคุปัจเฉทะ ๓ จักขุทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นกิริยา หรือปัญจทวาราวัชชนจิต ๔ ไม่เรียกชื่อนี้ได้ไหม ก็ได้ แต่ไม่เรียกใครจะรู้ว่าหมายความถึงจิตขณะไหน เพราะว่าไม่ใช่จิตเห็น แต่เป็นจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น กี่ขณะแล้ว ทบทวนอีกครั้ง ๔ ขณะ ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้ดับไหม

