ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๓

 
khampan.a
วันที่  5 พ.ค. 2567
หมายเลข  47726
อ่าน  1,519

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๓



~ เพราะอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะนอบน้อมอย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ก็เคารพสักการะนอบน้อมต่อพระองค์? เพราะพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งความจริงนี้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

~ อย่างอื่นพึ่งไม่ได้ วิชาการทั้งหลาย เรียนมามากมายสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ว่าถ้ามีความรู้ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทุกอย่างที่ไม่ดี ก็จะลดน้อยลง เพราะรู้ว่า เหตุไม่ดี ต้องนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี แล้วใครจะอยากได้ผลที่ไม่ดี?

~ ธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นเลย ไม่มีเรา เพราะเหตุว่า จะเป็นเราได้อย่างไร เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ เราไม่ได้ไปทำให้เห็นเกิดขึ้น แล้วเห็นก็ดับ ไม่ให้ดับก็ไม่ได้ พอได้ยินเกิด จะไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ ก็แสดงว่า แสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตาทั้งหมด

~ ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และไม่ใช่ใครด้วย ถ้าเอาชื่อออก ไม่เรียกชื่อเลย โกรธอยู่ตรงไหน ก็ตรงนั้นแหละโกรธ แต่พอมีชื่อ ก็เป็นคนนั้นคนนี้โกรธ แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย เพราะเอาชื่อออกหมด โกรธตรงไหน ก็เป็นโกรธตรงนั้น แล้วก็ดับด้วย แล้วไหน ใครอยู่ที่ไหน?

~ เพื่อน คือ ขณะที่หวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล นั่นคือ เพื่อนหรือมิตร เพราะฉะนั้น มิตรจะไม่หวังร้าย จะไม่โกรธ จะไม่เกลียด จะไม่ทำร้ายใครเลย

~ สิ่งหนึ่งซึ่งทุกคนจะพิจารณา ก็คือ ถ้าจะมีเมตตากับคนที่เป็นคนดี มีประโยชน์เกื้อกูล ก็ไม่ยาก แต่ว่าการที่จะมีเมตตากับคนที่ไม่มีประโยชน์เกื้อกูลคือคนที่ไม่ดีนั้น รู้สึกว่าจะทำได้ยาก แต่เมตตาไม่ควรจะจำกัด เพราะเหตุว่าผู้ที่อบรมเจริญเมตตา ก็จะต้องเมตตาทั่วไปหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือว่าเป็นคนชั่ว ไม่ใช่ว่าถ้าเป็นคนชั่วแล้วก็ไม่เมตตา เมตาตาแต่เฉพาะคนดี ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่เป็นบารมี เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะชำระความขุ่นเคืองใจของตนเองได้

~ การให้ ที่จะเป็นการละโลภะ ต้องเป็นการให้เพื่อขัดเกลากิเลส คือ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนทั้งสิ้น

~ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีอะไรจะละคลายกิเลสได้เลย กิเลสไม่ได้อยู่ในหนังสือ กิเลสอยู่ที่การสะสมมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ละ ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด เพราะฉะนั้น ศึกษาพระธรรม เพื่อรู้จักสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่สภาพนั้นมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ คนที่ว่าง่าย คือ พิจารณาเหตุผลในพระธรรม น้อมที่จะปฏิบัติตามโดยถูกต้อง โดยดี แต่ถ้าเป็นผู้ว่ายาก แม้ว่าพระธรรมจะทรงแสดงไว้โดยละเอียดเพียงใดก็ตาม ก็ไม่เป็นผู้ที่จะน้อมประพฤติโดยถูกต้อง นั่นก็เป็นผู้ว่ายาก

~ กิเลสทั้งหมดจะค่อยๆ ละคลายได้ ก็เมื่ออบรมเจริญปัญญารู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อใดดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล กิเลสอื่นๆ จึงจะค่อยๆ ละคลายได้

~ ถ้าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ให้ทราบว่าขณะนั้นอกุศลธรรมครอบงำจิต แล้วทำอย่างไร จึงจะสลัด จึงจะละ จึงจะขัดเกลาอกุศลธรรมที่กำลังครอบงำอยู่ได้ มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ เจริญกุศลทุกประการ ถ้าขณะนั้น ไม่ใช่โอกาสของทาน แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องสงเคราะห์ช่วยเหลือ ก็ช่วยเหลือทันที สงเคราะห์ทันที ขณะนั้นเป็นกุศลจิต มิฉะนั้นแล้ว อกุศลธรรมครอบงำได้ เพราะเหตุว่าปัจจัยของอกุศล ย่อมมีอยู่พร้อมเสมอที่จะเกิดขึ้น เมื่อไหร่ก็ได้

~ ปัญญานำไปให้เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ปัญญาทำให้ขยันในกุศล แล้วค่อยๆ เบาบางทางฝ่ายอกุศล

~ กุศลความดี เท่านั้น ที่ขณะนั้นไม่มีอกุศล แต่ถ้าไม่เป็นกุศล ก็ต้องเป็นอกุศล แล้วเราก็ให้โอกาสแก่อกุศลมาเท่าไหร่ในชีวิตของเรา?

~ เวลาที่เห็นใครทำกุศล เขาทำกุศล เป็นคุณความดี เรารู้คุณคือความดีของผู้ที่ทำกุศลไหม? เห็นกุศลของคนอื่น ก็คือว่ารู้คุณของความดีที่คนอื่นทำที่เป็นกุศลของเขา เพียงแค่อนุโมทนา จิตของเราไม่เศร้าหมองเลย ไม่ริษยา ไม่โกรธ สามารถที่จะมีการรู้คุณของความดี จิตผ่องใส เพราะขณะนั้นเบิกบานในกุศลแม้ของคนอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกุศลของตนเองที่ทำจะยิ่งกว่านั้นจะสักแค่ไหน

~ ชีวิตประจำวันมีการที่จะเพิ่มบารมีอะไรขึ้นบ้างหรือเปล่า? ง่ายมาก ไม่ยากเลย สั้นด้วย “ทำความดี” หรือว่า “เป็นคนดี” เพราะว่าคนอื่นจะไม่เดือดร้อนเพราะเรา ใครๆ ก็ไม่เดือดร้อน มีใครบ้างที่ไม่ชอบหรือไม่ได้รับประโยชน์จากความดี แม้เพียงเล็กน้อยที่เป็นสิ่งที่ดี คนอื่นก็ได้รับความสบายใจ ไม่เดือดร้อนเลย

~ ความเข้าใจธรรมกับการเป็นคนดี จะสำคัญมากสำหรับทุกคนที่ศึกษาธรรมและจะเป็นกำลังสำคัญต่อไป

~ เห็นเขาไม่ดี ความไม่ดีเป็นของเขา แต่ขณะที่ไม่ชอบเขาเป็นความไม่ดีของเราเอง พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องว่า ขณะนั้นมีสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ควรจะมีต่อไปไหม?

~ คนที่โกรธบ่อยๆ เวลาที่เกิดโกรธขึ้น ก็ให้ทราบว่าขณะนั้นไม่ใช่เป็นผลของอกุศลกรรมที่โกรธ แต่เป็นผลของการสะสมความโกรธ

~ การศึกษาทั้งหมดก็จะละคลายความไม่รู้และละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี ก็ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลด้วย

~ ทุกคนเกิดมาหนีความตายไม่พ้น วันหนึ่งก็ต้องตาย เพราะว่าเกิดมาเพื่อจะตาย แต่ระหว่างที่ยังไม่ตาย ถ้ากุศลจิตเกิด ก็เป็นสิ่งที่สมควรมากกว่าที่จะเป็นอกุศล



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๒


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
jaturong
วันที่ 5 พ.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 5 พ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 5 พ.ค. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
shsso2551
วันที่ 5 พ.ค. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 6 พ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 6 พ.ค. 2567

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 7 พ.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ