สนทนาธรรมไทยเนปาล ณ หอประชุม Kusal Banquet กาฏมาณฑุ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗

 
prinwut
วันที่  4 พ.ค. 2567
หมายเลข  47724
อ่าน  102

สนทนาธรรมเนปาล-ไทย ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗


- พระพุทธศาสนาเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ได้ฟังคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” สูงสุดในสากลจักรวาล ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า พระองค์เป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงทุกประการถึงที่สุด

- ทุกท่านที่อยู่ที่นี่เป็นผู้ที่เป็น “พุทธศาสนิกชน” หมายความว่า เป็นผู้ที่รู้จักพระพุทธศาสนาแต่พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่ง สมควรที่จะได้ไตร่ตรองให้เข้าใจความลึกซึ้งทุกคำ

- ทุกท่านต้องเคยได้ยินคำว่า “พระธรรม” เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมแต่พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้

- การที่จะ “รู้ตรง” ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเป็นสิ่งที่จะต้องอาศัยการฟังไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจในคำนั้นยิ่งขึ้น

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษามีคำที่ประมาณไม่ได้ภายใน ๔๕ พรรษา ทุกคำลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อให้เริ่มต้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไตร่ตรองจนเป็นการเห็นที่ถูกต้อง ไม่ประมาทในความลึกซึ้งอย่างยิ่งของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ทุกคนคงเคยได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มสนทนาคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทีละคำเพื่อให้เข้าใจความลึกซึ้งของคำนั้น ขอเชิญผู้ร่วมสนทนาคำไหนก็ได้ที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อบูชาคุณของพระองค์ด้วยการฟังคำของพระองค์แล้วค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งซึ่งเป็นความจริงของคำนั้น เป็นการบูชาสูงสุดยิ่งกว่าการบูชาด้วยดอกไม้และเครื่องสักการะทั้งหลาย

- ขอเชิญผู้ที่ร่วมสนทนาได้ยกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำหนึ่งเพื่อที่เราจะได้สนทนากันให้เข้าใจความลึกซึ้งของคำนั้น ใครเคยได้ยินคำไหนบ้างเราจะได้สนทนาคำนั้น เป็นการบูชาพระคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- (ด้วยความเคารพท่านอาจารย์ คือในเนปาลจริงๆ มีชาวพุทธมากและส่วนมากใช้ภาษาธิเบต คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทั้งเนปาล พวกเราก็มีศรัทธาต่อพระพุทธองค์และศรัทธาอย่างยิ่ง แต่ตามที่ท่านอาจารย์บอกว่า ธรรมของพระพุทธองค์ลึกซึ้ง พวกเราไม่มีโอกาสได้ฟังและเข้าถึงความลึกซึ้งได้ เมื่อได้มีโอกาสอย่างนี้ก็ดีใจมาก) คำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพระองค์ตรัสว่าอะไร (ตอนนี้นั่งสมาธิปฏิบัติอยู่ อยากจะรู้ว่าปฏิบัติอย่างไร)

- ได้ยินคำว่า “สมาธิ” สมาธิคืออะไร เดี่ยวนี้มีสมาธิหรือเปล่า (มีสมาธิในการคุย) เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีอะไร (ตอนนี้เห็นท่านอาจารย์) เห็นไม่ใช่สมาธิ

- (ยินดีต้อนรับ คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ลึกซึ้ง ประเทศเนปาลเป็นที่ประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและธรรมของท่านก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ได้เคยศึกษาเคยเรียนรู้มาแล้วแต่จริงๆ พอได้มาสนทนากับท่านอาจารย์ก็รู้ว่าจริงๆ ธรรมลึกซึ้งต้องรู้มากกว่านี้ที่รู้ ทำอย่างไรจะได้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ต้องฟังคำที่พระองค์ตรัสจนกว่าจะเข้าใจ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า “สมาธิ” หรือเปล่า (พระองค์สอนสมาธิ) พระองค์ตรัสว่า “สมาธิ” ใครเข้าใจสมาธิหรือฟังเฉยๆ (ได้เรียนมาว่า สมาธิคือการทำให้จิตสงบนิ่ง)

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องไม่ใช่ให้ทำ จะทำสมาธิแต่ไม่รู้จักสมาธิเพราะฉะนั้นทำอะไรเพื่อเข้าใจอะไร ถ้าไม่รู้จักสมาธิทำสมาธิได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง

- เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า “สมาธิ” สมาธิมีจริงๆ หรือเปล่า (มี) ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดหมายความว่า ถ้าตอบว่ามีต้องรู้ว่า สมาธิคืออะไร ถ้าไม่รู้สมาธิคืออะไรจะตอบได้ไหมว่ามีสมาธิ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เกิดนิสัย ”อุปนิสัย“ ที่ค่อยๆ เริ่มไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังที่พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ตรัสให้เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งทุกคำ

- ต้องเป็นผู้ที่เริ่มละเอียด เริ่มจากความเข้าใจ เดี๋ยวนี้มีอะไรหรือเปล่า นี่คือเริ่มจะมีปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ต้องเป็นผู้ที่เริ่มคิดแล้วจึงจะเข้าใจว่าถูกหรือผิด เริ่มจากคำถามเดี๋ยวนี้อยู่ที่นี่ ทุกคนอยู่ที่นี่ ”เดี๋ยวนี้“ มีไหม เริ่มคิด ”เดี๋ยวนี้“ มีไหม (มี)

- ต้องไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกขณะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีจริง เดี๋ยวนี้มี “อะไร” จริงๆ ทุกคนตอบได้เพราะกำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้จักสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ควรคิดควรไตร่ตรองไหมหรือว่าควรผ่านไป ต้องละเอียดจึงจะรู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็จะไม่สามารถจะเข้าใจอะไรเลย เพราะเดี๋ยวนี้มีเดี๋ยวนี้จริงๆ แต่ที่มีเดี๋ยวนี้คืออะไร เห็นไหมกำลังมี เดี๋ยวนี้มีแต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่ถ้าคิดแล้วจะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นเริ่มคิด เดี๋ยวนี้มีไหม (มี) มีสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้คืออะไร (สิ่งที่กำลังเห็นก็คือมีอยู่ปัจจุบันนี้) หมายความว่าเดี๋ยวนี้เห็น (ใช่) ถ้าไม่รู้จักเห็นก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่รู้จักเห็นเพราะฉะนั้นยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริงจึงสามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ได้

- เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้จักเห็น รู้จักพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง

- เกิดมาแล้วจริงๆ จนมีวันนี้เดี๋ยวนี้ เกิดมาแล้วก็เห็นจริงๆ ได้ยินจริงๆ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ คิดจริงๆ จำจริงๆ เบื่อจริงๆ ชอบจริงๆ ทุกอย่างที่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างนั้นหมายความว่า ตั้งแต่เกิดมามีสิ่งที่มีจริงแม้ขณะนี้ก็มีจริงทุกอย่างไม่ว่าจะโลกนี้หรือที่ไหนทั้งสิ้น แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้จักเห็น ได้ยินเป็นต้น ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ พรรษา พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก สุข ทุกข์ต่างๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายความว่า ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ไม่สามารถจะรู้ความจริงนั้นได้เลยทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน

- ในพระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก มีเรื่องที่เป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก บ้างไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่เริ่มฟังคำของพระองค์ซึ่งกล่าวถึงทุกอย่างทุกสิ่งที่มีจริงแม้เดี๋ยวนี้ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- สิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้เลยว่า ลึกซึ้งแค่ไหนเพราะกำลังเห็นก็ไม่รู้และตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ก็เห็นก็ไม่รู้ความจริงเพราะลึกซึ้ง

- เริ่มฟังเรื่องเห็นเพื่ออะไร เพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นมีจริงถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม ทุกอย่างไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงในชีวิตสิ่งนั้นต้องเกิดจึงมี เห็นเกิดแล้วใครทำให้เห็นเกิด ได้ยินเกิดแล้วใครทำให้ได้ยินเกิด (มีท่านหนึ่งบอกว่าพระพุทธเจ้าทำให้เห็น) มีคำไหนในพระไตรปิฎกที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าทำให้เห็น (อีกท่านหนึ่งบอกว่า เห็น เห็นเอง) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทำให้เห็นเกิด (เห็นเกิดเอง)

- เห็นเกิดเอง ไม่มีเหตุปัจจัยให้เห็นเกิดเห็นเกิดได้ไหม (ใช่) เห็นเกิดเองเดี๋ยวนี้ ไหนเห็น ไหนเกิดเอง (เกิดในใจ) ไม่ใช่ค่ะ ใจอยู่ไหน เห็นอยู่ไหนและเห็นเกิดในใจไหน (ต้องมีสมาธิจะเห็น) สมาธิเกิดเองหรือว่ามีเหตุให้สมาธิเกิด (มันเห็นและเห็นจากสมาธิ) สมาธิคืออะไร (สมาธิคือทำให้ใจสงบ) เดี๋ยวนี้ใจสงบไหม (อยากเรียนรู้ว่าทำอย่างไรให้ใจสงบ) หมายความว่า เดี๋ยวนี้ไม่สงบ (สงบแต่ไม่ได้สงบนิ่ง) สงบนิ่งเมื่อไหร่ (ถ้าเริ่มได้เริ่มเข้าใจตัวเองเหมือนจิตใจก็จะสงบ)

- เดี๋ยวนี้เข้าใจตัวเองหรือยัง (ยังไม่เข้าใจ) ต้องเข้าใจอะไรจึงจะสงบ (ยังไม่รู้ ต้องเข้าใจตัวเองอย่างไร) ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีใครรู้บ้างไหม ถ้าไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้จักความสงบไหม (ไม่รู้)

- เพราะฉะนั้นต้องรู้หนทางจะสงบ พบหนทางที่จะสงบหรือยัง (ยังไม่รู้) รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง (ยังไม่รู้จัก) เพราะฉะนั้นจะเริ่มรู้จักพระองค์ได้อย่างไร (ต้องเรียนรู้) ต้องฟังคำของพระองค์ แล้วเริ่มไตร่ตรองว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสจริงหรือเปล่า (ต้องรู้)

- ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อแต่ฟังแล้วไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจของตัวเอง คิดว่าตัวเองเข้าใจแต่คนอื่นไม่เข้าใจเป็นประโยชน์ไหม (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่คนอื่นรู้แล้วมาบอกเราแล้วเราก็ทำตาม มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่คนอื่นพึ่งแต่ตนเองนั้นแหละพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ฟังคำของพระองค์แล้วเข้าใจ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้คนอื่นเข้าใจแต่ตัวเองนั่นแหละเข้าใจจึงจะเป็นประโยชน์

- เพียงคิดว่า คนอื่นเข้าใจแล้วเขามาบอกเรา เราก็เชื่อเขาแต่ไม่ใช่ความเข้าใจของเราเอง เป็นประโยชน์ไหม (ไม่เป็น) ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ฟังคำของคนอื่นเพราะคิดว่าเขาเข้าใจ แต่ตัวเองไม่เข้าใจ ผิดหรือถูก

- เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจ ทุกคำไม่ว่าใครจะกล่าวถ้าคำนั้นเป็นคำจริงเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่เริ่มต้นด้วย “ทำสมาธิ” แต่ต้องเริ่มต้นจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจึงจะรู้จัก “สมาธิ” และรู้ได้เดี๋ยวนี้มีสมาธิหรือเปล่า แต่ถ้าไม่รู้จักสมาธิก็ตอบไม่ได้ว่าเดี๋ยวนี้มีสมาธิหรือไม่มีสมาธิ

- ทุกคนมีนิสัยต่างๆ กันเพราะสะสมมาต่างๆ กัน การจะเป็นผู้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเริ่มต้นด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้แต่ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ไม่มีใครรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ฟังคำของพระองค์แล้วจึงจะรู้ได้ว่า ขณะนี้ไม่รู้จักและไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงเลย จริงไหม (ใช่)

- เพราะฉะนั้นจะรู้จักความลึกซึ้งของธรรมที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ว่า ลึกซึ้งมากเท่าไหร่ก็คือว่า เริ่มไตร่ตรองทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยประการทั้งปวง เดี๋ยวนี้มีเห็นจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็น พระองค์ตรัสเห็นว่าอย่างไร พระองค์ตรัสว่า เห็นเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ เห็นเป็นสภาพรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ ถูกต้องไหม มีเห็น เห็นเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏให้รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- เดี๋ยวนี้กำลังได้ยินเสียง เสียงไม่ได้ยินอะไรแต่เสียงปรากฏเมื่อมีสภาพที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงๆ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิต เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตมีสิ่งที่มีจริงทุกอย่างไม่ว่าอะไรทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ เพราะมีจริงๆ ต่างกันแต่ละ ๑ ถูกต้องไหม

- เดี๋ยวนี้มีอะไร (สิ่งที่เห็น) เดี๋ยวนี้มีธรรม (มี) ได้ยินคำว่า ธรรม แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ธรรมมีจริงๆ และทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่มีจริงมีเห็น มีได้ยิน เห็นได้ยินก็เป็นธรรมเพราะมีจริง

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีจริงแน่นอนมากมายหลายอย่างจึงตรัสว่า สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้เลยว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร แต่เมื่อได้เข้าใจความหมายของธรรมก็รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงคือ ธรรมทุกอย่าง

- เริ่มคิดมากขึ้นละเอียดขึ้นจากที่ได้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็น เราพูดถึงเห็นแล้วแต่ว่าไตร่ตรองให้ละเอียดว่า เห็นคืออะไรเพราะเมื่อกี้นี้พูดแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เห็น เห็นไหมคะ กำลังเห็นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นความจริงของเห็นต้องลึกซึ้ง

- ขณะนี้กำลังเห็นกำลังได้ยินไม่เคยรู้ว่า ลึกซึ้งอย่างยิ่งจนผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะรู้จักเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง

- ถ้าจะรู้ว่าเห็นลึกซึ้งไหมก็คือว่า กำลังเห็นก็ไม่รู้ความจริงของเห็น เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็น ไม่ใช่เราคิดเองเรื่องเห็น เพราะเดี๋ยวนี้เห็นจะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ลักษณะของเห็น

- เพราะฉะนั้นยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกว่าจะฟังคำของพระองค์ที่ตรัสถึงความลึกซึ้งของเห็นจึงจะรู้ความลึกซึ้งของพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- มีประโยชน์ไหมที่จะเข้าใจเห็น (มี) พูดมาแล้วนานก็ยังไม่รู้จักสมาธิใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าไม่พูดให้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมก็จะทำสมาธิโดยไม่รู้จักสมาธิ ถ้าไม่เริ่มรู้จักความจริงของเห็นจะเริ่มรู้จักความจริงของสมาธิไหม

- การเข้าใจความจริงเป็นประโยชน์แค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ก็จะไม่รู้เลยว่า อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ความจริงตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ

- ไม่มีแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากการเริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาดเลยเป็นจริงทุกอย่างแต่ไม่รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- เราพูดกันมานาน เป็นธรรมหรือเปล่า บางคนอาจจะคิดว่า ไม่ได้เห็นพูดพระธรรม ไม่เห็นพูดธรรมเลยแต่ทั้งหมดที่ได้ฟังเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เป็นธรรม ถ้าไม่ได้ฟังจะไม่รู้เลยว่า ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรมความจริงของสิ่งที่มีต้องเริ่มต้นจากการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- นี่เป็นเหตุที่มีคำถามให้คิด “รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง?” กว่าจะรู้จักก็ต้องเริ่มรู้คุณของพระองค์อย่างมั่นคงจึงสามารถที่จะรู้คุณที่พระองค์สามารถทำให้ความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีในสิ่งที่กำลังปรากฏเลย เริ่มรู้ความจริงคืออะไร

- เท่าที่ได้ฟังแล้ว เริ่มเห็นประโยชน์และเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั่นคงขึ้นไหม ใครจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปโดยไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่สนใจที่จะรู้ความจริงซึ่งสามารถรู้ได้แม้ในขณะนี้ซึ่งต้องอาศัยคำของพระองค์ที่ตรัสให้เข้าใจความจริงตามลำดับ

- จากที่ได้ฟังก็เริ่มรู้จักตัวเอง มีความสนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นหรือไม่ เพราะว่าไม่ว่าจะเกิดที่ไหนอย่างไรก็ไม่พ้นจากเกิดมาแล้วเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและคิดนึก เมื่อวานนี้ก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ ต่อไปทุกวันก็เป็นอย่างนี้ ก็ไม่รู้ความจริงเป็นไปเรื่อยๆ ตามเหตุตามปัจจัย แต่ถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้ เริ่มรู้ว่า ความจริงที่ลึกซึ้งมีผู้ได้ทรงตรัสรู้แล้วและได้ทรงแสดงความจริงตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย มิฉะนั้นเราไม่มีการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

- เริ่มเห็นประโยชน์ เริ่มรู้ว่าชีวิตสั้นมาก จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ได้ทันที ไม่มีการรู้ล่วงหน้าเลย แต่จากไปด้วยความไม่รู้กับสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงจนประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ได้เคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นก็จะทำให้ได้เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้าและเห็นคุณยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเป็นอย่างไร

- ผู้ที่เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้ปัญญาของพระองค์ เริ่มรู้คุณของพระองค์ ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป ใครตอบแทนใครไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นผู้นั้นจะเป็นผู้รู้เองเท่านั้นว่า จะพึ่งพระองค์เมื่อไหร่และอย่างไร มิฉะนั้นแล้วก็จะคิดว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่พึ่งจริงหรือเปล่า พึ่งเมื่อไหร่หรือว่ายังไม่รู้จักพระองค์ก็เพียงคิดว่า จะมีพระองค์เป็นที่พึ่ง “จะมี” แต่จะมีเมื่อไหร่

- ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าหรือยังไม่เห็นความลึกซึ้งของพระปัญญาจะรู้ไหมว่า สมาธิคืออะไร ยังไม่รู้จักสมาธิแต่จะรู้จักสมาธิเมื่อมีที่พึ่งที่จะให้รู้จักสมาธิได้

- เพราะฉะนั้นรู้แล้วใช่ไหม “ที่พึ่ง” คืออะไร (ต้องอยู่กับปัจจุบัน) โดยไม่มีที่พึ่ง (ที่พึ่งก็คือพระพุทธเจ้า) เพราะฉะนั้นอยู่ทุกขณะที่จะเป็นไปได้ที่จะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่โดยมีที่พึ่งไม่ใช่ไร้ที่พึ่งที่จะรู้ความจริง (พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เป็นที่พึ่ง)

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงพูดว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ” ต้องเข้าใจพระธรรมจึงจะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระธรรมเป็นที่พึ่งหรือเปล่า ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า

- เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง ไม่ใช่เพียงพูดว่า “มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง” แต่ไม่ฟังคำของพระองค์เลย ความตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

กราบนมัสการท่านภัณเต สุมังคโล ผู้แปลภาษาเนปาลี

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลผู้ร่วมฟังร่วมสนทนาทั้งชาวไทยและชาวเนปาล

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น คณะอาจารย์และกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 5 พ.ค. 2567

กราบนมัสการท่านภันเต สุมังคโล
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิเป็นอย่างยิ่ง
แต่ละคำเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ