ความลึกซึ้งของธรรมอยู่ที่ธรรมเดี๋ยวนี้_สนทนา ไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗

 
เมตตา
วันที่  4 พ.ค. 2567
หมายเลข  47722
อ่าน  220

อาช่า: คราวที่แล้วพูดถึงปัจจัย และเรื่องเจตสิก ก็ขอต่อจากเรื่องนั้นที่เราสนทนากันคราวที่แล้ว

ท่านอาจารย์: เราพูดถึงเจตสิก กับปัจจัยใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: ทีละหนึ่งเจตสิก หรือทีละหนึ่งปัจจัยดี?

อาช่า: ปัจจัยค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีปัจจัยอะไร?

อาช่า: เวลานี้มีวิบากอยู่ นั่นก็เป็นปัจจัยหนึ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นวิปากปัจจัย?

อาช่า: เห็นค่ะ

ท่านอาจารย์: เห็นเป็นปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุบบัน?

อาช่า: เจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตเห็น

ท่านอาจารย์: วิบากจิตเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากเจตสิกใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: วิบากจิต กับวิบากเจตสิก เกิดเป็นปัจจัยอะไรพร้อมกัน?

อาช่า: เป็นสหชาตปัจจัย

ท่านอาจารย์: แล้วเป็นปัจจัยอะไรอีก?

อาช่า: นึกชื่อไม่ออก แต่ว่าเข้าใจว่าปัจจัยหนึ่งก็คือว่าสหชาตะ และปัจจัยหนึ่งที่ปัจจัยที่มีระหว่างจิตกับเจตวิก มีระหว่างรูปไม่ได้ มีเฉพาะกับนามธรรม

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จำหรือเข้าใจ?

อาช่า: จำค่ะ แต่ถ้าถามว่าเข้าใจอะไรก็ไม่ทราบค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่สำหรับจำ แต่สำหรับเข้าใจ เพราะฉะนั้น จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน ต้องจำชื่อไหม หรือเข้าใจว่าจิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดพร้อมกันทุกครั้ง ไม่ใช่ให้เขาจำว่า อะไรเป็นสหชาตปัจจัย หมายความว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยต้องเกิดพร้อมกับสิ่งที่เป็นปัจจยุบบัน

นอกจากจิต เจตสิกเกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัยแล้ว มีอะไรอีกที่เกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัย?

อาช่า: รูป

ท่านอาจารย์: รูปอะไรเป็นสหชาตปัจจัย?

อาช่า: เห็นเกิดเมื่อไหร่มีสีเป็นอารมณ์ เข้าใจว่า สี เป็นสหชาตปัจจัย

ท่านอาจารย์: เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า สีต้องเกิดก่อน ถ้าสีไม่เกิดก่อน จะกระทบจักขุปสาทะไม่ได้

เพราะฉะนั้น จักขุปสาทเกิดพร้อมกับจิตเห็นได้ไหม?

อาช่า: ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: จักขุปสาทะเกิดก่อนหรือเปล่า?

อาช่า: จักขุปสาทะเกิดก่อนค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เกิดพร้อมกันกับจักขุวิญญาณได้ไหม

อาช่า: ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จักขุปสาทะเป็นปุเรชาตปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ

เชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

ปัจจยุบบัน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ท่านอาจารย์:เพราะฉะนั้น เราไม่ศึกษาชื่อ และเรื่องของปัจจัยโดยที่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ธรรมลึกซึ้งมาก กำลังมีอยู่ก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น การที่จะรู้คุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เมื่อรู้ว่า ถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ เราไม่มีวันที่จะรู้ความจริงว่า เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดเพราะอะไร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ละเอียดขึ้นๆ ไม่ใช่รู้ชื่อ รู้เรื่อง แล้วจะละความเป็นเราได้ แต่ต้องรู้ความจริงของสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง แต่เรายังไม่รู้

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมทำไม?

อาช่า: เพื่อเข้าใจ

ท่านอาจารย์: เข้าใจอะไร?

อาช่า: สิ่งที่มีจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อาช่า: เมื่อปรากฏตอนนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ปรากฏเมื่อไหร่?

คุณสุคิน: อาช่าตอบว่าตอนนี้

ท่านอาจารย์: แน่นอน ต้องตรงคำถาม เพราะว่าปรากฏแล้วไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่ถ้าเขาตอบว่าเดี๋ยวนี้ เราจะค่อยๆ สนทนากับเขา เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขาได้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แค่ไหน

เดี๋ยวนี้มีอะไร?

อาช่า: มีเห็น

ท่านอาจารย์: เราเห็นหรือเปล่า?

อาช่า: ไม่ค่ะ

ท่านอาจารย์: นกเห็นหรือเปล่า?

อาช่า: นกไม่เห็น หมายถึงว่า เห็นเห็น ไม่ใช่นกเห็น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่นกเห็นแต่ไม่ใช่หมายความว่านกไม่เห็น คนเห็น นกเห็น ปูเห็น ปลาเห็น ม้าเห็น ใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้ารู้ว่า เห็นไม่ใช่นกเมื่อไหร่ จะรู้ว่าไม่ใช่นกเห็น เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือยัง?

อาช่า: มั่นคงว่าเป็นธรรมค่ะ

ท่านอาจารย์: พูดว่าเห็น แต่เดี๋ยวนี้ใครเห็น?

อาช่า: จริงๆ แล้วก็เราเห็น ถ้าพิจารณาแล้วถึงจะรู้ว่า ไม่ใช่เราเห็น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องฟังจนกว่าจะรู้ความจริง ค่อยๆ เข้าใจว่า เห็นเป็นธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร เห็นเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็ไม่มีการที่จะรู้ความจริงว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ

เพราะฉะนั้น ไม่รีบร้อนที่จะไปจำปัจจัย แต่ต้องรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย

เพราะฉะนั้น พูดเรื่องเรื่องจิต พูดเรื่องเจตสิก พูดเรื่องรูป เพื่อค่อยๆ เข้าใจว่า จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป

เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ว่าจิตเป็นจิตยากไหม?

อาช่า: ยากค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีเจตสิกไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เจตสิกอะไร?

อาช่า: มีเอกัคคตา มีชีวิตินทริยะ

ท่านอาจารย์: ทีละหนึ่งๆ ค่ะ รู้ทั้ง ๒ อย่างแล้วหรือ ถ้าไม่รู้ก็ต้องเข้าใจทีละหนึ่ง?

อาช่า: ชีวิตินทริยะค่ะ

ท่านอาจารย์: ชีวิตินทริยะปรากฏหรือเปล่า?

อาช่า: ไม่ปรากฏค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วชีวิตินทริยะ คืออะไร?

อาช่า: เข้าใจว่าเป็นเจตสิกที่มีชีวิตอยู่

ท่านอาจารย์: หมายความว่า เจตสิกนี้มีชีวิตอยู่ในขณะไหน?

อาช่า: ตอนที่มีอยู่ตอนนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อาช่า: เห็นค่ะ

ท่านอาจารย์: ตอนเกิดมีชีวิตินทริยเจตสิกไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: รู้ได้อย่างไร?

อาช่า: จากที่ฟังค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ท่านอาจารย์: ไม่พอนะ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า เห็น เป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะมีเจตสิกที่ดำรงชีวิตให้เห็น เพราะฉะนั้น การเห็นขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะมีเจตสิกที่มีชีวิตเกิดร่วมด้วย

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นเป็นขณะที่มีชีวิต เพราะมีเจตสิกที่เป็นชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย

เดี๋ยวนี้มีอาช่าไหม?

อาช่า: ไม่มี

ท่านอาจารย์: มีอะไร

อาช่า: มีเห็น

ท่านอาจารย์: เป็นอะไร?

อาช่า: เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งที่เกิดเพราะปัจจัยแล้วดับ

ท่านอาจารย์: ถามถึงเห็น อะไรบ้างที่เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่เกิด ไม่มีปัจจัย แล้วดับ?

อาช่า: มีแต่นิพพานค่ะที่ไม่เกิด

ท่านอาจารย์: ฟังดีๆ เขาบอกว่า ขณะนี้มีอะไร?

คุณสุคิน: มีเห็น

ท่านอาจารย์: ถามว่าเห็นเป็นอะไรไม่ใช่หรือ?

คุณสุคิน: ครับ เขาตอบว่าเป็นสิ่งที่มีจริง

ท่านอาจารย์: ทุกอย่างมีจริง แล้วเป็นเห็นหรือเปล่า?

อาช่า: ...

คุณสุคิน: ถามใหม่ไหมครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ถามว่า เดี๋ยวนี้อะไร มีอะไร?

อาช่า: มีเห็น

ท่านอาจารย์: มีเห็น เป็นเห็นเพราะอะไร?

อาช่า: เพราะว่า เห็นอยู่

ท่านอาจารย์: เพราะเห็นอยู่ ต่างกับเจตสิกอย่างไร?

อาช่า: เพราะเห็นเป็นจิต

ท่านอาจารย์: ต่างกับเจตสิกอย่างไร?

อาช่า: เห็นเป็นเห็นเพราะว่า เห็นอารมณ์คือสิ่งที่เห็นอย่างชัด

ท่านอาจารย์: แล้วเจตสิกล่ะ?

อาช่า: ไม่ได้รู้เหมือนที่จิตรู้

ท่านอาจารย์: เวลาที่พูดถึงจิตขณะนี้เดี๋ยวนี้ คุณอาช่าคิดถึงเห็นที่กำลังเห็นที่เรากำลังพูดถึงเรื่องเห็นหรือเปล่า?

คุณสุคิน: คุณอาช่าเวลานี้วันนี้ไม่สามารถฟังดีๆ ได้ เพราะอาคิ่ลป่วยอยู่อาการไม่ค่อยดี

ท่านอาจารย์: อาช่ามีโอกาสจะฟังไหม เพราะอาคิ่ลยังป่วยอยู่เดี๋ยวนี้?

อาช่า: ฟังต่อค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมจุดประสงค์ของการสนทนาธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ต้องไม่ลืมฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งมีเดี๋ยวนี้ กว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา แต่ละขณะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งก็ต้องอีกนานมาก

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การที่จะไม่ใช่เพียงจำชื่อ แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ความลึกซึ้งของธรรมอยู่ที่ ธรรม เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่ที่ชื่อต่างๆ เห็นทุกวัน เราพูดถึงเห็น แต่กว่าจะรู้ว่า เห็น เกิดแล้วดับยากมาก ถ้าฟังมากๆ แต่ไม่เริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีประโยชน์

เพราะฉะนั้น ฟังเรื่องเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้บ่อยๆ มีประโยชน์ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นไหม?

อาช่า: มีเพิ่มขึ้น

ท่านอาจารย์: ถ้าเราพูดเรื่องอื่นมากๆ แต่ไม่เริ่มคิดถึงเห็นที่กำลังเห็น แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย

พูดถึงจิตเห็นขณะนี้ หรือว่าทำไมเห็นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เพราะแม้ว่าเราจะพูดถึงชีวิตินทริยเจตสิก แต่ชีวิตินทริยเจตสิกก็ไม่ได้ปรากฏว่ากำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังเห็น

แต่เมื่อเข้าใจว่า ขณะเห็นต้องมีชีวิตินทริยเจตสิกเกิดด้วย ถ้าจิตไม่มีชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็ไม่ดำรงความเป็นสภาพรู้แม้เพียงชั่วขณะเดียว

เพราะฉะนั้น สภาพที่ดำรงชีวิตที่เกิดกับจิต ทำให้จิตที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ แม้เพียงมีชีวิตอยู่ ๑ ขณะ ก็ต้องอาศัยชีวิตินทริยเจตสิกเกิดขึ้นทำให้จิตนั้นดำรงเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้น ทำให้มีความเข้าใจมั่นคงว่า จิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัย

เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพรู้ เจตสิกเป็นสภาพรู้ เจตสิกเกิดโดยปราศจากจิตไม่ได้ จิตก็เกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ ทั้ง ๒ อย่างจึงเป็นอัญญมัญญปัจจัยต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

ต่อไปจะต้องเข้าใจละเอียดขึ้นๆ จึงสามารถจะค่อยๆ ละความไม่รู้ที่ทำให้ติดข้องในความเป็นเรา

เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง?

อาช่า: ค่ะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง และทรงพระมหากรุณาทรงแสดงให้ฟังอย่างละเอียดยิ่ง

เพื่ออะไร?

อาช่า: ฟังเพื่อเข้าใจ และลดความไม่รู้

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด คือละความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอกุศลทั้งหลาย

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าเป็นคนที่มีสมบัติมากมีความรู้มากมีเกียรติยศมาก แต่ไม่รู้ความจริง ดีไหม?

อาช่า: ไม่มีประโยชน์ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ดีคืออะไร?

อาช่า: สิ่งที่ดีมีประโยชน์ คือความเข้าใจธรรม

ท่านอาจารย์: เพราะเป็นทางเดียวที่จะเป็นคนดี

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณเห็นประโยชน์สูงสุดของการที่จะเป็นคนดีทีละเล็กทีละน้อยเมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด คือได้เข้าใจพระธรรมเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ดีขึ้นๆ จริงไหม?

อาช่า: จริงค่ะ

ท่านอาจารย์: คุณสุคินดีไหม? ดิฉันดีไหม?

คุณสุคิน: ถ้าถามสุคินไม่ดีแน่นอน

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ ให้ถามอาช่าถามเขามีคุณสุคิน มีอาช่า มีอาคิ่ล มี ดอกเตอร์ราจิฝ

อาช่า: ไม่ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?

อาช่า: เพราะจริงๆ แล้วมีธรรม แต่จิต เจตสิก รูป ไม่มีสัตว์ บุคคล

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สุคินดีไหม สุจินต์ดีไหม อาช่าดีไหม ดอกเตอร์ราจิฝ ดีไหม อานิ่ลดีไหม เพราะอะไร?

อาช่า: เพราะกุศลกรรมเกิดบ่อย

ท่านอาจารย์: ถามว่า ดีไหม? อาช่าตอบว่าเพราะกุศลกรรมเกิดบ่อยหรือ? ยังไม่ข้าม ตอบตรงคำถาม

อาช่า: ไม่ใช่บุคคลพวกนี้ที่จะดี ที่ดีเพราะว่าธรรมที่ดีเกิดเรียกว่าดี

ท่านอาจารย์: นั่นก็คิดนะ แต่คำถามดิฉัน ถามว่า ดิฉัน คุณสุคิน ดอกเตอร์ราจิฝ อาช่า อาคิ่ล อานิ่ล ดีไหม?

อาช่า: ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: เวลาดิฉันโกรธดีไหม?

อาช่า: ไม่ดี

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องตรง

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เวลาดิฉันอยากให้คนเข้าใจถูกในธรรม เพราะรู้ว่า ธรรมลึกซึ้งมาก ถ้าไม่เริ่มสะสมความเข้าใจเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จัก และเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นคนดีได้ทั้งหมด

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เวลาดิฉันไม่อยากให้ใครรู้ธรรม เพราะเขาเป็นคนเลว ดีไหม?

อาช่า: ไม่ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: เวลาดิฉันไม่อยากให้เขาเป็นคนเลว ดิฉันพยายามให้เขาเข้าใจธรรม ขณะนั้นดีไหม?

อาช่า: ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: ดิฉันรู้ว่าคนนี้ไม่ดี แต่ดิฉันรู้ว่าถ้าเขาได้เข้าใจธรรมขึ้น เขาจะค่อยๆ เป็นคนดี แล้วดิฉันพยายามให้เขาเป็นคนดีให้เข้าใจธรรม ขณะนั้นดีไหม?

อาช่า: ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าดิฉันรู้ว่า ธรรมมีประโยชน์สูงสุดที่สามารถจะทำให้ทุกคนดีได้ และดิฉันพยายามทุกอย่างที่จะให้คนได้เข้าใจพระธรรม ดีไหม?

อาช่า: ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างนี้ว่า ทุกคนที่ไม่รู้ความจริง มืดสนิทอยู่ในเหวลึกของความไม่รู้ และจะจมอยู่ออกมาไม่ได้เลย จึงทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะรู้ความจริง และให้คนอื่นได้รู้ด้วย ประเสริฐที่สุดไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ดอกเตอร์ราจิฝจะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมไหม?

คุณสุคิน: ดอกเตอร์ราจิฝไม่อยู่ อาช่าตอบแทนว่า รู้ว่าดอกเตอร์ราจิฝพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ครับที่จะพยายาม มีโอกาสเมื่อไหร่ก็พูดธรรมให้คนอื่นเข้าใจ

ท่านอาจารย์: เป็นความคิดของอาช่าใช่ไหม?

คุณสุคิน: ใช่ครับเป็นความคิดของอาช่า

ท่านอาจารย์: ก่อนคุณอาช่าพูด ดอกเตอร์ราจิฝพูดยาวมาก เขาพูดว่าอะไร?

คุณสุคิน: เขาก็พูดถึงที่ท่านอาจารย์ถามว่า ดีไหม ท่านอาจารย์ อาช่าดี อานิ่ลดี คุณสุคินดี นี่ถูกไหม เขาก็พูดต่อไปอธิบายว่า ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็เป็นคนดีไม่ได้ ถ้าฟังธรรมก็ดีขึ้นก็เห็นๆ อยู่ว่า มีหนทางเดียวคือฟังธรรม เขาก็พูดถึงตัวเองว่า เขาก็ช่วยคนอื่นให้เข้าใจธรรมช่วยให้เขาเป็นคนดีขึ้นครับ

ท่านอาจารย์: ก็ยินดีอย่างยิ่งนะที่ทุกคนเห็นประโยชน์สูงสุดของพระธรรม และร่วมแรงร่วมใจกันที่จะเผยแพร่พระธรรม ไม่ว่าที่ไหน แม้แต่ดิฉันที่เมืองไทย และชาวต่างประเทศที่อยู่ประเทศนั้นๆ ทุกคน ถ้าทุกคนเห็นประโยชน์สูงสุด และช่วยกันทำให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมด้วยเป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ผู้ที่ช่วยกันให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม เป็นผู้ที่รู้คุณ และทำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง เพราะไม่ใช่เพียงแต่รู้คนเดียว คนอื่นไม่รู้แต่ว่าต้องการให้คนอื่นได้รู้จักพระพุทธเจ้า ได้เห็นพระคุณสูงสุด และรู้ว่า ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนไม่สามารถที่จะเป็นคนดีได้

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: คนไม่ดีจะช่วยเขาอย่างไรดี?

อาช่า: แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ว่าจะพูดว่าจะพูดว่าอะไร แต่ว่าสุดท้ายพยายามให้เขาเข้าใจความจริง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ใครไม่ดี เราไม่โกรธเราไม่เกียจ แต่เราเห็นใจ และมีความเป็นเพื่อน นั่นคือเริ่มเป็นเมตตาบารมี

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าเห็นใครแล้วไม่ชอบ ขณะนั้นจะทำอะไร ควรทำอะไร?

อาช่า: พยายามที่จะมีเมตตา

ท่านอาจารย์: ถ้าเห็นเขาไม่ดี ความไม่ดีเป็นของเขา แต่ขณะที่ไม่ชอบเขาเป็นความไม่ดีของเราเอง

พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องว่า ขณะนั้นมีสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่ควรจะให้มีต่อไปไหม?

อาช่า: ไม่ค่ะ


[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ หน้า ๒๖๘

บุคคลใด รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำในตน ประกาศอยู่ซึ่งอุปการะที่เป็นไปตามสมควรแก่อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้ว ผู้นั้นชื่อว่า กตัญญูกตเวทีเปรียบเหมือน บุคคลผู้ปฏิบัติชอบในมารดา และบิดา หรือในอาจารย์ และอุปัชฌาย์ทั้งหลาย กตัญญูกตเวทีบุคคลนั้น ชื่อว่า หาได้โดยยาก เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาครอบงำไว้


และข้อความในอรรถกถาอธิบาย อีกนัยหนึ่งที่ว่า ผู้แสดงธรรม ชื่อว่าบุพพการี. ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่า กตัญญูกตเวที.


ข้อความในอรรถกถาอธิบาย อีกนัยหนึ่งที่ว่า

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า บุพพการี ในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก. พระอริยสาวก ชื่อว่า กตัญญูกตเวที.

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ... [กตัญญูคืออะไร ... ตอน ๖]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ท่านอาจารย์: ถ้าเราเรียนเรื่องปัจจัยมากๆ ทุกปัจจัย พยายามเข้าใจทุกอย่าง แต่ขณะที่ไม่ชอบ ขณะนั้นเป็นประโยชน์ไหม? ถ้าขณะใดก็ตามที่เราเข้าใจ คำ เรื่องของอกุศลทั้งหลาย แต่ขณะนั้นเรายังต้องการทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ดีไหม?

อาช่า: ไม่มีประโยชน์ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ลืมคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราเข้าใจถูกตามความเป็นจริง

ที่จะรู้ว่าเราเข้าใจพระธรรมแค่ไหนก็คือเมื่อเราเริ่มเป็นคนดีขึ้นแค่นั้น ที่แสดงว่าเราเข้าใจขึ้นเท่านั้น

เราไม่ประมาทความลึกซึ้งของพระธรรมเลย เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังเรื่องชีวิตินทริยะแล้ว ยังสงสัยอะไรไหม?

อาช่า: ตอนนี้ไม่มีคำถามค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ยิ่งเข้าใจธรรม ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้เพราะเป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลาตามเหตุตามปัจจัย

ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้ชื่อของปัจจัยมากๆ แต่เพียงเข้าใจถูกว่า ชีวิตินทริยะคืออะไร และก็ไม่ลืมว่า ธรรมทุกอย่างเพียงอาศัยปัจจัยเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมด รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ความรู้ต่างๆ เกิดเพราะปัจจัยแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยเป็นธรรมทั้งหมด

เพียงรู้ว่า จิต ๑ ขณะ ก็ต้องมีชีวิตินทริยเจตสิก ทำให้ดำรงอยู่ ที่เพียงเห็นหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ให้ทุกคนได้เริ่มรู้คุณว่า แม้เพียงการที่ได้ยินเพียงคำ ธรรมคำหนึ่ง สามารถที่จะค่อยๆ มีความรู้เพิ่มเติมในความเป็นอนัตตาของธรรมนั้นได้โดยประการอื่นๆ

กว่าจะรอบรู้ในความเป็นธรรมเพียงหนึ่งว่า ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่เริ่มฟังบ่อยๆ ฟังแล้วฟังอีก กว่าจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นในธาตุรู้ ในจิต เจตสิก และรูป ก็ต้องอาศัย คำ ของพระองค์ที่ทรงแสดงไว้มากมาย

ต้องอดทนไหมที่จะเป็นคนดีเพราะเข้าใจความจริง?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: อดทนที่จะรู้ว่า มีจิตตั้งแต่เกิดทุกชาติ ก็ยังไม่รู้จักจิตโดยแท้จริง ถ้าไม่มีขันติบารมีที่จะอดทนที่จะฟังสิ่งเดียวซ้ำๆ บ่อยๆ จนกว่าจะไม่ลืม จนกว่าจะเริ่มเข้าใจถูก เพื่อละความไม่รู้ทั้งวันทุกวัน

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟังแล้วเข้าใจ ก็จะทำให้อดทนที่จะรู้ว่า ความเข้าใจเกิดยาก และน้อย

วันหนึ่งๆ กุศลธรรมก็เกิดยาก และกุศลธรรมที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งก็ยิ่งยาก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีกุศลธรรมเลย หรือมีน้อยมาก ก็ต้องรู้ว่า กว่าจะพอที่จะฝ่าฟันคลื่นลม พายุของอกุศลยากแค่ไหนที่จะรู้ความจริง

อดทนต่อไปไหมที่จะรู้ว่า อกุศลไม่มีประโยชน์เลย แต่กุศลแม้เพียงขณะหนึ่งก็มีประโยชน์ เพราะทำให้ขณะต่อไปค่อยๆ เพิ่มขึ้น

นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อนับถือพระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ไม่ศึกษาไม่เข้าใจแล้วคิดว่านับถือ

เป็นบุญสูงสุดในชีวิตในสังสารวัฏฏ์ใช่ไหมที่ได้ฟัง คำ ของผู้ที่ได้ตรัสรู้?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สนทนาธรรมเพื่ออะไร?

อาช่า: เพื่อเข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: เพื่อรู้ว่า เป็นธรรมที่มีจริงๆ แม้ชีวิตินทริยะก็ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจ ก็ได้เริ่มรู้ได้เข้าใจว่า ธรรมเกิดไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดแต่ละหนึ่ง

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัยได้ไหม?

กว่าปัญญาจะค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้นๆ ๆ และรู้ว่า นี่คือหนทางเดียว ซึ่งเป็นอริยมรรคที่ ๔ ในอริยสัจจธรรมที่ ๔ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความลึกซึ้งของ ธรรม ซึ่งเป็นอริยสัจจะไว้ ๓ รอบ

ถามดอกเตอร์ราจิฝว่า ขณะนี้เป็นอะไร?

คุณสุคิน: ดีมากเลยครับที่ถามดอกเตอร์ราจิฝว่า ขณะนี้เป็นอะไร เขาตอบว่า มีธรรมที่เกิดแล้วดับ ผมก็บอกว่าไม่ได้ถามว่าอะไรเกิดแล้วดับ ถามว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร เขาบอกว่าเท่าที่รู้มีธรรมอยู่ตลอด แต่ว่าถามว่าเวลานี้มีอะไร ไม่สามารถตอบได้ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม?

ดอกเตอร์ราจิฝ: เห็นครับ

ท่านอาจารย์: จะบอกว่า ไม่มีอะไรได้ไหม?

ดอกเตอร์ราจิฝ: พูดไม่ได้ครับว่าไม่มีอะไร มีเห็น มีได้ยิน มีเสียงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นมี แล้วเห็นเป็นอะไร?

ดอกเตอร์ราจิฝ: เป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้

ท่านอาจารย์: เห็นเป็นสภาพรู้ ว่า มีสิ่งที่ถูกเห็น ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม?

ดอกเตอร์ราจิฝ: ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์: ใครทำให้เห็นเกิด?

ดอกเตอร์ราจิฝ: ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดครับ

ท่านอาจารย์: เห็นเกิดแล้วดับไหม?

ดอกเตอร์ราจิฝ: ดับครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ให้คุณราจิฝคิดเองว่ามีอะไรบ้างตั้งแต่เกิดมา มีเห็น มีได้ยิน มีจำ มีคิด มีอะไรทุกอย่างมีจริงๆ แต่ว่าต่างกันเป็น ๒ ประเภท ไม่ใช่ตอบว่าธรรม ธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก แล้วต่างกันเป็น ๒ ประเภท

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราเริ่มพูดใหม่ เราไม่ได้พูดว่าเรา เราพูดเรื่องธรรม แต่เราพูดเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องคิด เรื่องชอบ ไม่ชอบ ทุกอย่างที่มีจริงๆ

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ต่อไปนี้เราพูดใหม่ก็ได้ กำลังพูดเรื่องอะไรกัน เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องชอบ เรื่องคิด เรื่องอะไรต่างๆ นะ เรื่องแข็ง เรื่องอ่อน เรื่องอาหาร เรื่องร้อนเย็นอะไร เรากำลังพูดถึงเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ยังไม่ใช่คำว่า ธรรม เลย

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะถ้าเราบอกเขาว่าจะสนทนาธรรม เขาไม่รู้จักธรรม แต่เราบอกเขาว่าวันนี้จะพูดเรื่องเห็น เรื่องคิด เรื่องจำ เรื่องสนุก เรื่องทุกข์ เขาเข้าใจได้ใช่ไหม?

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราก็ถามเขาว่า เห็นมีจริงไหม คิดมีจริงไหม ชอบมีจริงไหม

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เริ่มให้เขาได้ยินคำว่า ธรรม แต่บอกว่าเราจะสนทนากันเรื่องเห็นพวกนี้ และก็เมื่อมีจริง สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง คือเป็นธรรม

เพราะฉะนั้น เราก็เริ่มให้คนเข้าใจธรรม ค่อยๆ ถามเขาว่า ธรรมคืออะไร? ธรรมมีอะไรบ้าง?

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับ

ท่านอาจารย์: เขาก็เริ่มเข้าใจธรรมได้ใช่ไหม ว่า ทุกอย่างที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ เป็นธรรมที่ไม่ปะปนกัน

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าคนไข้ถามว่า คุณราจิฝพูดอะไร เราก็บอกว่า พูดเรื่องเห็น เรื่องคิด เรื่องจำ

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับ

ท่านอาจารย์: ตามที่เราเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เช่น เห็นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดมีเห็นไหม ก่อนได้ยินไม่มีเสียงปรากฏ

ดอกเตอร์ราจิฝ: ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ถ้าคุณราจิฝสนใจจะให้คนอื่นเข้าใจธรรม ก็พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงที่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงว่าสิ่งที่มีต้องเกิดขึ้น ไม่เกิดไม่มี

ไม่ใช่บอกอะไรๆ เขาหมด แต่ให้เขาเริ่มฟังทีละคำ แล้วคิดทีละคำ เป็นความเข้าใจของเขาเอง

ให้เขาเริ่มเข้าใจตั้งแต่ต้นโดยคิดเอง ดอกเตอร์ราจิฝอาจจะเริ่มตั้งแต่ต้นว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร ให้เขาคิด

นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาได้เริ่มเข้าใจด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่บอกว่ามีอะไรบ้าง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 5 พ.ค. 2567

กราบยินดีในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
swanjariya
วันที่ 14 พ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณยิ่งและยินดีในกุศลค่ะน้องเมตตา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ