ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๙

 
khampan.a
วันที่  7 เม.ย. 2567
หมายเลข  47683
อ่าน  1,237

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๙




~ พระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาเป็นสำคัญ จากบุคคลที่เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความติดข้อง เต็มไปด้วยความโกรธ เต็มไปด้วยความไม่รู้ ก็สามารถขัดเกลาละคลายจนกระทั่งสามารถดับจนหมดสิ้นได้

~ อกุศลธรรมก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดปรากฏ และเมื่ออบรมธรรมที่เป็นกุศลมากขึ้น ธรรมที่เป็นกุศลนั่นแหละ จะขัดเกลาบรรเทาธรรมที่เป็นอกุศลให้น้อยลงได้

~ ถ้าผิดตั้งแต่ต้น ก็ผิดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าถูก ก็จะถูกขึ้น และเห็นความละเอียดลึกซึ้งในคำทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส บูชาสูงสุดที่ว่าไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แต่พอเริ่มฟัง เริ่มมีความเห็นถูก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ควรบูชาไหมในผู้ให้ความรู้จริงๆ ที่สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกได้

~ ทุกคนที่เข้าใจว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงจะรู้ความสำคัญว่าไม่ใช่เพียงกล่าวหรือคิดว่าตนเองนับถือ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลด้วยว่า นับถือ เพราะได้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วโดยละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ซึ่งถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็เห็นกันอยู่ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้ว ปัญญาที่ได้เข้าใจพระธรรม จะนำชีวิตไปสู่ในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น

~ สภาพธรรมที่ดี ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่เลว ก็ไม่ได้ สภาพธรรมที่ชั่ว ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่ดี ไม่ได้ โลภะ ความต้องการ ความติดข้อง ไม่เปลี่ยนลักษณะ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล อโลภะสภาพที่สละความติดข้องความต้องการ เป็นกุศล ใครจะเปลี่ยนลักษณะของสภาพอโลภะ ให้เป็นอย่างอื่น ก็เปลี่ยนไม่ได้ จะใช้ชื่อเรียกอะไรก็ตาม แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ยังเป็นสภาพธรรมนั้นที่ไม่เปลี่ยน

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง ทรงแสดงความจริงทุกอย่างที่มีจริงๆ ทั้งหมดอย่างละเอียดยิ่ง เพื่อให้เห็นว่า ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้

~ การเริ่มเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงในสังสารวัฏฏ์ จะทำให้มีความอดทนและรู้ว่าธรรมลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้ความลึกซึ้งของธรรม จะทำให้มีบารมีที่จะอดทนและทำความดีเพิ่มขึ้นจนสามารถที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้ได้

~ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นว่ามีแล้วก็หมดไป ไม่เหลืออีกเลย ควรติดข้องในสิ่งนั้นไหม? ต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรติดตามไปสักอย่าง ร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นของเราก็ติดตามไปไม่ได้ แล้วนี่หรือจะเป็นของเรา เพราะความจริงไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ

~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ ละคลายอกุศล ด้วยปัญญาที่รู้ความจริงขึ้น เห็นโทษของอกุศล อกุศลไม่ใช่ให้โทษแก่คนอื่น แต่ให้โทษกับตนเอง ตัวใครก็ตัวใคร จิตใครก็จิตใคร อกุศลของใครก็อกุศลของคนนั้น กุศลของใครก็กุศลของคนนั้น เพราะฉะนั้น กำลังเป็นอกุศลให้โทษกับใคร? ให้โทษกับบุคคลนั้น แล้วดีไหมมีโทษเพิ่มขึ้น? ไม่ดี ถ้าปัญญาไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทางขัดเกลาอกุศลได้เลย

~ สัตว์โลกหนาแน่นด้วยกิเลสและความไม่รู้ อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะไปรู้แจ้งธรรมตามลำพังด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรม แล้วมีความเข้าใจไปตามลำดับขั้น ขั้นฟังไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟัง

~ เวลาที่ตาย คือ ชาตินี้สิ้นสุดลง จะเห็นอีกไหม ก็เหมือนกับเมื่อวานนี้ ตายไปแล้วเมื่อวานนี้ ไม่กลับมาเกิดอีกแน่ๆ แต่ว่ามีวันนี้ และวันนี้ก็จะตายไปอีก จะมีพรุ่งนี้อีก ก็จะมีการเห็นอีก เพราะฉะนั้น การตาย คือ การพ้นจากสภาพของความเป็นบุคคลนี้ เป็นเพียงสมมติมรณะ ยังไม่ใช่สมุจเฉทมรณะ (ตายอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นการตายของพระอรหันต์) เพราะว่า ยังมีปัจจัยให้มีการเกิดสืบต่อจากการตาย และเมื่อเกิดแล้วก็ต้องเห็นอีก ได้ยินอีก เรื่อยๆ ไป

~ ตลอดชีวิต อะไรประเสริฐที่สุด? เข้าใจพระธรรม เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกสิ่งที่คิดว่าสำคัญหรือว่าดี ที่ชอบมากๆ ก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรม ไม่นาน ใช้คำว่า ไม่นาน เพราะชีวิตมนุษย์ ไม่นาน แล้วก็มนุษย์แต่ละคน ก็ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะจากความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ ลองคิดถึงโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม อีกไม่นาน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทแล้วก็เห็นประโยชน์ของการสะสมความเห็นถูก

~ ต้องเป็นผู้ที่ตรงแม้แต่ในการศึกษาธรรม เพื่อขัดเกลา แล้วการที่จะขัดเกลาได้ก็ต่อเมื่อรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ก็คือ รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะเอาอกุศลที่สะสมมาในจิตของตัวเองออกทิ้งหมดไปได้เลย นอกจากปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ สภาพธรรมที่ไม่ดี นอกจากจะทำร้ายตน ก็ยังทำร้ายคนอื่นด้วย ใครไม่โกรธบ้าง? โกรธ หมดไปได้ไหม? บังคับไม่ได้ แต่ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะเห็นโทษ เมื่อไหร่ที่เห็นโทษ ก็ละด้วยความเห็นที่ถูกต้องว่าเป็นโทษ แต่ถ้าตราบใดยังไม่เห็นว่าเป็นโทษ ก็ไม่ละ

~ ความดี ไม่ใช่สิ่งที่ทำง่าย แต่เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ปัญญาที่เข้าใจถูก ไม่เห็นว่าอย่างอื่นจะมีประโยชน์เท่ากับการสะสมคุณความดี เพื่อค่อยๆ ชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ดีทั้งหมด

~ การกระทำที่ไม่ดีหรือทุจริตทั้งหมด ก็มาจากจิตที่เป็นอกุศล ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะขัดเกลาได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ขัดเกลา ก็เป็นอย่างที่เห็น คือ กระทำผิดต่างๆ มากมาย

~ การฟังธรรมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดในชีวิต มีค่าสูงสุด และเวลาของการฟัง น้อยกว่าอกุศลมากมายในสังสารวัฏฏ์ก็รู้เลยว่าก็เหมือนอย่างนี้แหละ แต่ก็ยังมีโอกาสได้ฟังเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงว่าเวลาของอกุศลมากมายมหาศาลทุกวันด้วยแม้ในชาตินี้ชาติเดียวแต่เวลาของกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้น ประโยชน์จากการฟังต้องรู้จักการฟังว่าฟังเพื่อพิจารณา ไตร่ตรองความละเอียดลึกซึ้งของธรรม

~ เมตตาเมื่อเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้ามทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะ เกื้อกูลอย่างจริงใจ

~ การรู้ประโยชน์ของธรรมก็เมื่อเข้าใจธรรม เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้แล้ว ชีวิตก็ดำเนินไปในทางที่ละคลายความไม่รู้และเพิ่มกุศลทุกประการที่เป็นบารมี เพราะว่าชีวิตสั้นมาก ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นชีวิตเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นคุณความดี ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ทำทันที

~ ชีวิตที่มีประโยชน์สูงสุดซึ่งไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็คือศึกษาธรรมด้วยความเคารพและให้คนอื่นได้สามารถเข้าใจด้วย การเข้าใจธรรมถูกต้องเห็นคุณค่าของความจริงเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้คิดถึงคนอื่นที่จะช่วยให้เขาได้เข้าใจด้วยตามความสามารถ

~ **ยินดีในบารมีของทุกท่านที่เห็นความลึกซึ้งของพระธรรม และก็รู้ว่าถ้ามีอกุศลขณะนั้นก็ไม่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ และถ้ามีอกุศลมากๆ ก็กั้นการที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะค่อยๆ ละอกุศล เพราะเหตุว่าอกุศลสะสมมามากมายมหาศาล และการฟังธรรมการเข้าใจธรรมในวันหนึ่งๆ ก็น้อยกว่าอกุศล เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องฟันฝ่าคลื่นลมของอกุศลอย่างมากมาย แต่ทุกคนก็มั่นคงไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะยาวไกลสักเท่าไหร่ ในชาตินี้ก็ได้บำเพ็ญบารมีที่จะสะสมต่อไปอีก ก็ยินดีอย่างยิ่งในกุศลของทุกคน**



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๘





... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 7 เม.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 7 เม.ย. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 8 เม.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lai
วันที่ 8 เม.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 9 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kukeart
วันที่ 10 เม.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ