ขณะที่ธาตุรู้เกิด เราจะรู้จิตที่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ หรือรู้เจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิต?

 
nattawan
วันที่  23 ก.พ. 2567
หมายเลข  47455
อ่าน  236

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพลและคุณจริยา เจียมวิจิตร 11 ส.ค. 2566

ถาม : ขณะที่ธาตุรู้เกิด เราจะรู้จิตที่เป็นประธานในการรู้อารมณ์หรือรู้เจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิต?

ทอจ : เจตสิกคืออะไร?

ถ : นามที่เกิดและดับพร้อมจิต

ทอจ : พูดคำว่านาม ใช้คำว่าธาตุรู้

ถ : คือจิตและเจตสิก

ทอจ : เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีสองอย่าง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ต้องฟังให้ครบทุกคำ จิตเป็นใหญ่ไม่พอ อย่างอื่นไม่ใหญ่หรือ? มีแต่จิตหรือ? แต่เป็นใหญ่และเป็นประธาน ไม่มีสภาพธรรมะอื่นหรือ? ถึงจะได้เป็นประธานอยู่คนเดียว ก็ต้องมีสภาพธรรมมะอื่นด้วยในการรู้อารมณ์ ทุกคำต้องละเอียด จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ หมายความว่า เมื่อเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจิตรู้อะไร สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต ... ทุกอย่างหมด เพราะจิตเป็นธาตุรู้ จิตรู้ได้ทุกอย่างไหม?

ถ : รู้ทุกอย่าง

ทอจ : เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่จิตรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดเป็นสิ่งที่ถูกรู้ จึงเป็นอารมณ์และเดี๋ยวนี้อะไรปรากฎ?

ถ : เห็นปรากฏ

ทอจ : จริงหรือ? เห็นอะไร?

ถ : เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา

ทอจ : ถ้าสิ่งที่อยู่ข้างหลังเรา มองเห็นได้ไหม?

ถ : ไม่เห็น

ทอจ : เราค่อยๆ พูดให้เข้าใจว่า ความจริงมากมายมหาศาลที่ไม่เข้าใจทั้งๆ ที่ปรากฏ จึงฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ เทวดา พรหมก็คิดเองไม่ได้ ใครก็คิดเองไม่ได้ ต้องเป็นผู้ตรัสรู้

คำว่าตรัสรู้หมายถึงรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ทุกคำ มีธาตุรู้แน่นอนใช่ไหมเดี๋ยวนี้? เมื่อกี๊จิตเห็นปรากฏหรือเปล่า?

ถ : ไม่ปรากฏ

ทอจ : ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ใครเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่เกิดเร็วสุดที่จะประมาณได้ ในสังสารวัฏฏ์ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง จนกว่าจะมีผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง และได้ฟังคำจริง ความจริงจากผู้ที่ตรัสรู้ แล้วไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ ไม่ใช่ไปจำมาหมด แต่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ตั้งต้นที่จะรู้ว่าความจริงมีทุกขณะ ถูกต้องไหม? แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงสักอย่าง!! รู้จักเห็นหรือยัง??

ถ : ยังไม่รู้

ทอจ : มีใครรู้บ้าง? ใครรู้จักเห็นแล้วบ้าง มีเห็นทุกวันตั้งแต่เกิด เดี๋ยวนี้ก็กำลังเห็น รู้จักเห็นหรือยัง?? ไม่รู้จักเพราะไม่รู้ว่าเห็นเป็นเห็น ... เพราะเห็นเป็นเรา ... จะชื่อว่ารู้จักเห็นไหมเพียงแค่นี้ ... คิด ... ไม่อย่างนั้นไม่เริ่มต้น ... จำตลอด ... ฟังแล้วก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร ก็จำไปแต่คิดหรือเปล่าว่ากำลังเห็นอย่างนี้รู้จักเห็นหรือเปล่า?? จึงต้องฟังเพราะมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ ท่านตรัสว่าอย่างไร ... จริงหรือเปล่า ... ต้องพิจารณาไตร่ตรอง ... สามารถจะรู้ได้ไหม และจะรู้ได้อย่างไร ตามลำดับขั้น เพราะธรรมะลึกซึ้ง ได้ยินคำว่าเห็น รู้ว่าเห็นมีจริงๆ ทุกขณะ เห็นเป็นธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้ไม่เกิดอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลย ได้ยินกันถ้วนหน้า แล้วคิดถึงเห็นบ้างไหม?? เป็นผู้ตรง จะได้ค่อยๆ ตรงตามความเป็นจริง เพราะแม้ว่าเป็นความจริง กำลังมีก็รู้ยาก จึงต้องอดทน ขันติบารมี อดทนอะไรบ้าง??

ถ : อดทนฟัง อดทนเข้าใจ

ทอจ : เดี๋ยวนี้กำลังอดทนหรือเปล่า? เวลาไม่เห็นอดทนไหม?

ถ : เป็นบางขณะ แล้วแต่อะไรจะเกิด

ทอจ : เวลาโกรธอดทนไหม?

ถ : ไม่ไม่อดทน ขณะอกุศลเกิดไม่อดทน

ทอจ : เรียกชื่อได้ รู้ได้ว่าเป็นอกุศล เวลาอาหารอร่อยอดทนไหม? แค่นั้นยังไม่พอ ... ต้องถามสิว่าอดทนต่ออะไร? ความคิดต้องคิดไตร่ตรองจนกว่าไม่เข้าใจตรงไหนและความจริงคืออะไร? พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ... ให้อดทนแค่นี้หรือ? หรืออดทนจนกว่าจะรู้ความจริง ไม่ใช่แค่ฟัง และกว่าจะรู้ความจริง ถ้าไม่ฟังเลยจะรู้ได้ไหม ... ไม่ได้ ... แม้ฟังยังต้องอดทนที่จะไตร่ตรอง ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อหรือทำตาม แต่ต้องอดทนต่อคำที่ได้ฟัง ถูกหรือผิด จริงหรือเปล่า? ถ้ามีคนบอกว่าเขารู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว ... จริงไหม?

ถ : ไม่ทราบเพราะหนูก็ยังไม่ถึงเลย

ทอจ : ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะรู้เมื่อเรารู้ว่าการจะเป็นพระอรหันต์เป็นยังไงและคนนั้นมีหรือเปล่า ... พูดอย่างนั้นตรงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมีใครเป็นที่พึ่ง?

ถ : มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

ทอจ : อย่าลืมนะ!! พึ่งเมื่อไหร่??

ถ : พึ่งเมื่อเข้าใจ

ทอจ : ถูกต้อง ต้องฟังก่อน เพราะฉะนั้นจะพึ่งก็ต้องพึ่งจริงๆ ฟังเพื่ออะไร?

ถ : ฟังเพื่อเข้าใจและพิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจขึ้น

ทอจ : ฟังเพื่อเข้าใจหมายความว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่เข้าใจใช่ไหม?

ถ : เข้าใจเพียงเล็กน้อยขั้นการฟัง ฟังเพื่อสะสมความเข้าใจยิ่งขึ้น

ทอจ : มั่นคงขึ้น ... ก็ตรง ... เป็นบารมีหรือเปล่า?

ถ : เป็น ... โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะธรรมะทำกิจ

ทอจ : บารมีคืออะไร?

ถ : คือการทำความดี สะสมกุศล

ทอจ : เพราะอะไรจึงเป็นบารมี

ถ : เป็นกุศลที่ทำให้ประจักษ์แจ้ง

ทอจ : บารมีไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อรู้ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ ถ้าประมาทคิดว่าทำแล้วจะรู้ได้ แต่ความจริงต้องเป็นปัญญาที่ทำให้เห็นโทษของอกุศลทั้งปวง ความไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นโทษไหม??

ถ : เป็นโทษมหาศาล

ทอจ : เพราะรู้อย่างนี้จึงเห็นโทษของความไม่รู้ พอไม่รู้ก็ติดข้องต้องการ มีเรา มีความสำคัญตน มีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะคิดว่ามีเรา แล้วความจริงมีหรือไม่มี??

ถ : ไม่มี

ทอจ : จนกว่าจะรู้ความจริงจึงเป็นบารมี เพื่อประโยชน์อย่างเดียวคือเพื่อรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งยังไม่รู้ เวลาโกรธแล้วได้ฟังมาว่า โกรธนี่ประทุษร้ายตัวเอง ใครก็ประทุษร้ายเราไม่ได้

ถ : นอกจากอกุศลของเราเอง

ทอจ : แล้วอดทนที่จะไม่โกรธไหม

ถ : ไม่เลย ออกทันที

ทอจ : เพราะอะไรจึงไม่อดทน

ถ : เพราะสะสมมาอย่างนี้

ทอจ : เพราะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมะที่ต้องเกิดตามเหตุปัจจัย ตราบใดมีปัจจัยที่จะเกิด เกิดแล้วให้เห็น กว่าจะเห็นโทษและกว่าจะรู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ถึงการประจักษ์แจ้งก็ยังต้องโกรธ

เชิญชม ...

รายการบ้านธัมมะ 30 ธันวาคม 2566 เรื่อง สนทนาธรรม บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร (ตอนที่ ๒)

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 23 ก.พ. 2567
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 1 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ