ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๒

 
khampan.a
วันที่  18 ก.พ. 2567
หมายเลข  47412
อ่าน  1,898

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๒





~ เข้าใจพระธรรมจากการฟัง ก็จะเป็นการสะสมให้ความเข้าใจนั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ นอกจากการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

~ สิ่งสำคัญที่สุดขึ้นอยู่กับการอบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่ามีความเป็นตัวเราที่พยายามจะไประงับไม่ให้มีโลภะ ไม่ให้มีโทสะ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายเมื่อถึงกาลที่จะเกิด ก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นในระดับใด แต่ถ้าปัญญาเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น บารมีทั้งหลายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าเราพยายามจะไปทำบารมี ให้มากๆ แล้วไปคิดว่าบารมีนั้นๆ จะทำให้ปัญญาเกิด แต่ความจริง เมื่อเรามีปัญญามากขึ้น บารมีทั้งหลายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

~ การที่เรามีการสนทนาธรรมกัน ก็จะเป็นเหตุที่จะทำให้ทุกคน ค่อยๆ มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น การฟัง การอ่าน การสนทนา ก็จะทำให้เป็นผู้ที่เข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ซึ่งเป็นผู้ที่แตกฉานในธรรมได้

~ เวลาที่จะเสื่อมลาภ ก็เป็นของธรรมดา เสื่อมยศ หรือว่านินทา หรือทุกข์ก็เป็นของธรรมดา จะหวั่นไหวทำไม ในเมื่อเป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นความสำคัญของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็คือ ผู้ที่อดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจ เห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยจริงๆ แล้วก็ไม่ติด ถ้าเป็นฝ่ายที่ตรงกันข้าม ก็คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็เป็นของธรรมดาอีก ก็ให้รู้ความจริงว่าไม่มีใคร นอกจากสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะกระทบกับอารมณ์ที่น่าพอใจ หรืออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ผู้นั้นจึงจะได้สาระจากธรรม แต่ถ้าเป็นผู้ที่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ ไม่ได้สาระจากธรรมและถ้าเป็นผู้ที่หวั่นไหวในเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ไม่ได้สาระอีกเหมือนกัน

~ การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ให้ทราบว่าประโยชน์จริงๆ ที่ได้รับจากการเข้าใจธรรม คือ การขัดเกลากิเลส จะมีการละ การคลาย แต่ไม่ใช่โดยรวดเร็ว หรือว่าไม่ใช่ด้วยความเป็นเราที่อยากจะหมดกิเลส

~ คนกำลังได้ลาภ ทราบไหมว่ามาจากไหน ถ้ากำลังเสื่อมลาภ ทราบไหมว่าเพราะอะไร ได้ยศ เสื่อมยศ เพราะอะไร กำลังเจ็บป่วย ทราบไหมว่าใครทำ ทำเอง ไม่มีใครทำให้เลย นี่คือการเข้าใจธรรมจริงๆ

~ สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ แม้อกุศล เพียงเล็กน้อย เห็นจริงๆ ว่าเป็นอกุศล แค่เห็นจริงๆ ว่าเป็นอกุศล จะมีปัจจัยที่จะทำให้เขาขัดเกลา

~ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ไม่ประมาทที่จะต้องรู้ว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วการที่เราจะค่อยๆ เข้าใจ ก็ต้องพิจารณาไตร่ตรอง โดยรอบคอบ แล้วสิ่งใดที่ผิด ต้องรีบทิ้งทันที ถ้าเรายังคงมีความยึดมั่นเชื่อมั่นในสิ่งที่ผิดว่าเป็นถูก ก็ไม่มีใครสามารถที่จะแก้ไขได้ เพราะฉะนั้น ตัวเองตั้งตนไว้ชอบ คือเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็รู้ว่าถ้าสิ่งใดผิดต้องทิ้ง อย่าไปเก็บไว้

~ เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว แล้วชาตินี้ชาติเดียวเป็นอย่างไร ใครรู้ดี นอกจากตัวเอง ตั้งแต่เล็กมาเป็นอย่างไร ดีชั่วแค่ไหน แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร แล้วก็จากไปหมดไม่ว่าจะดีจะชั่ว เกิดเป็นคนนั้นอีกไม่ได้ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น เป็นสมมติมรณะ เพราะเหตุว่า ทันทีที่จุติจิตเกิดทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด เป็นอะไรก็ไม่รู้ ทุกคนเห็นกันวันนี้ ต่อไปเป็นอะไร ก็ไม่รู้

~ ทุกคนต้องการสิ่งที่ดี แต่ทำไมประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะเหตุไม่ดีที่ได้ทำไว้ต้องตรงกับผล ใครทำให้ได้ไหม? อย่าโกรธใคร เพราะเขาไม่ได้ทำ เราทำเอง

~ ไม่มีใครจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจคำของพระองค์อย่างลึกซึ้ง

~ ไม่โกรธเวลาเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ใครกำลังว่าก็ตามแต่ จิตไม่เศร้าหมองเลย ไม่หวั่นไหวเลย เพราะเห็นโทษ คนโกรธ โกรธถึงกับกายวาจาทุจริตเบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อน แต่เบียดเบียนคนที่ไม่เดือดร้อนไม่ได้ อย่างไรๆ ก็เบียดเบียนไม่ได้ ไม่มีทางที่เขาจะโกรธ เพราะเห็นโทษของความโกรธ

~ เห็นโทษของอกุศลว่าโทษนั้น ไม่ได้เป็นโทษของคนอื่นทั้งสิ้น แต่เป็นของตัวเองทั้งนั้น แล้วยังจะเพิ่มโทษให้กับตนเองทุกวันหรือ?

~ ถ้าความดีเกิดขึ้นแม้เพียงนิดเดียวเล็กน้อยเท่าไหร่ ขณะนั้น ไม่ใช่อกุศลที่จะหุ้มห่อปิดบัง เพราะฉะนั้น เห็นคุณของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แล้วจะละเลยโอกาสของกุศลไหม? แต่ก่อนเคยละเลยมามาก แต่เดี๋ยวนี้ ที่ไหน ตรงไหน ก็เป็นโอกาสของกุศลทั้งสิ้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๑



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 18 ก.พ. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 18 ก.พ. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
shsso2551
วันที่ 18 ก.พ. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.พ. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 18 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 19 ก.พ. 2567

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ