ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๐

 
khampan.a
วันที่  4 ก.พ. 2567
หมายเลข  47359
อ่าน  2,150

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๐





~ มีใครเป็นที่พึ่งที่สูงสุดในชีวิตซึ่งไม่มีทางที่จะผิดเลย? ผู้นั้น คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเคารพในคำของพระองค์ที่ทรงแสดงเพื่อประโยชน์ทั้งหมดตลอด ๔๕ พรรษา คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อทุกคน

~ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องเป็นบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนที่เป็นปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสได้ฟังและเห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตแต่ละชาติว่าไม่มีประโยชน์อื่นใดที่จะเสมอเท่ากับการได้ฟังและได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ได้ฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นขณะใด ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลสซึ่งสะสมมา แต่เหมือนหยดน้ำทีละหยดบนหินก้อนใหญ่มหึมา จนกว่าอกุศลนั้นจะหมดไป ท้อถอยไหม? ไม่ท้อถอย เพียรที่จะฟังต่อไป

~ ไม่มีใครที่จะมีความหวังดีเป็นมิตรพร้อมที่จะเกื้อกูลเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อความในพระไตรปิฎกก็แสดงชัดเจนว่ามิตรคือบุคคลผู้ที่หวังดีที่สุด ไม่มีใครเปรียบได้เลยเหนือกว่ากัลยาณมิตรใดๆ ทั้งสิ้น ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมทุกคำของพระองค์ เป็นที่พึ่ง

~ ถ้ามีความเห็นถูกว่าชั่วเป็นชั่ว ดีเป็นดี อกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล แล้วจะทำชั่วไหม? แล้วประเทศชาติจะเจริญไหม ในเมื่อมีแต่คนดีทั้งนั้น? แต่ที่ประเทศอ่อนแอและเสื่อมลง ไม่เจริญ ก็เพราะทุจริตซึ่งเป็นอกุศล

~ ทำไมจึงไม่ตั้งมั่นในคุณความดี? เพราะไม่รู้ว่าคุณความดีมีแต่ประโยชน์ ส่วนความไม่ดีนั้นมีแต่โทษ เมื่อไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้ารู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็ตั้งมั่นในความดีมากขึ้น จะไม่ได้รับโทษภัยใดๆ เลยทั้งสิ้นจากความดี ความดีต้องนำมาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์

~ ติดข้องในสิ่งที่ว่างเปล่า เพราะจากไม่มี ก็มี แล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลือเลยทั้งสิ้น จึงว่างเปล่า ได้ยินเสียง ก่อนได้ยินไม่มีเสียง เสียงไม่ได้ปรากฏ แต่เพียงแค่ปรากฏดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่เฉพาะเสียง ทุกอย่างเมื่อปัญญารู้ความจริงก็เหมือนกันทั้งนั้น คือ เป็นสิ่งที่ปรากฏสั้นมาก เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาที่กำลังรู้เฉพาะ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง จะเข้มแข็งมั่นคงจนกระทั่งสามารถสละความติดข้อง ก็เพราะประจักษ์ความว่างเปล่าในสิ่งซึ่งคิดว่ายั่งยืนหรือว่ามีอยู่ตลอดเวลา

~ ไม่ว่ากุศล หรือ อกุศล ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็มีความมั่นคงทะลุปรุโปร่งในความหมายของคำว่าธรรม เป็นธรรม ถ้าเป็นเรา เราก็เสียดายบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่มีเลย (เพราะเกิดแล้วดับแล้ว) แม้แต่ความรู้สึกเสียดาย โทมนัส (เสียใจ) ต่างๆ เหล่านี้ ก็เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดเท่านั้น มากน้อยก็ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นเราที่จะต้องโศกเศร้าเสียใจ นี่คือ เริ่มมีการเข้าใจทะลุปรุโปร่งในความเป็นจริงว่า "ธรรม ไม่ใช่เรา"

~ เก็บกิเลสมากไหม? ทางตาเก็บแล้ว ทางหูเก็บอีก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เก็บทุกวัน เพราะฉะนั้น กิเลสมาก แม้จะได้ฟังธรรมแล้ว อย่าคิดว่าเพียงเล็กน้อยที่ได้ฟังจะทำลายกิเลสได้ แต่ก็ยังเป็นแสงสว่างในความมืดที่จะทำให้เห็นถูกว่าไม่ใช่เรา แล้วการที่มีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะค่อยๆ สะสมไปจนกระทั่งทำให้ทางฝ่ายกุศลมีกำลัง

~ ผู้ที่เสียสละ ละอะไร? ละอกุศล ละโลภะ ละโทสะ ละโมหะ ทำให้คนนั้นสามารถที่จะทำสิ่งซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ แต่คนอื่นก็ไม่รู้ในความเป็นผู้เสียสละของใคร นอกจากบุคคลนั้นเอง เพราะใครจะรู้ถึงจิตของคนนั้นได้

~ การไม่รู้ธรรมแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดฝังแน่นมานานแสนนานในแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้น ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ทำไมมีอกุศลมาก? เพราะไม่รู้ว่าไม่ใช่เราและเป็นเหตุให้สะสมสิ่งที่เป็นอกุศลมาก เพราะฉะนั้น อกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดมากกว่ากุศลมากทีเดียว

~ ต้องอาศัยบารมี คือ คุณความดีกุศลนานาประการซึ่งถ้ากุศลไม่เกิดทั้งวันก็เป็นอกุศลโดยไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่าขณะนั้นได้พอกพูนความไม่รู้และความติดข้องในความเป็นเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต

~ จิตแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตที่ดับไปแล้วนั่นเอง เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่สะสมมีอยู่ในจิตที่ดับไปแล้วนั้นก็สืบต่อไปถึงจิตขณะต่อไป เป็นอย่างนี้มานานแล้วจนกระทั่งถึงวันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้และต่อไปด้วย

~ กุศลเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่ขาดการที่จะเป็นกุศลบ่อยๆ

~ ถ้ามีความเข้าใจแล้ว ก็จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง หนทางเดียวที่จะละโลภะที่ติดข้องในความเป็นเรา ก็คือ เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนที่มีอยู่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน

~ ถ้าเป็นผู้ที่ตรงและมีเหตุผล แม้จะเคยเข้าใจผิด แต่พอได้ฟังสิ่งที่ถูกก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แล้วก็สามารถที่จะทิ้งสิ่งที่ผิดได้ เพราะฉะนั้น ทั้งหมด ก็คือ อนัตตา ไม่ใช่เรา

~ เกิดมาแล้วมีโอกาสที่จะทำดี ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็ทำไป เท่าที่จะทำได้ตลอดชีวิต สะสมไป



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๙



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สุกัลยา
วันที่ 4 ก.พ. 2567

น้อมกราบเท้าท่านอ. สุจินต์มีกรุณาในกุศลจิตยิ่ง และอ. ท่านอื่นๆ ด้วยค่ะ สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 4 ก.พ. 2567

แจ่มแจ้งยิ่ง ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 4 ก.พ. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
shsso2551
วันที่ 4 ก.พ. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 4 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 5 ก.พ. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ อ.คำปั่นและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ก.พ. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Lai
วันที่ 6 ก.พ. 2567

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ