สูกรเปตวัตถุ ปูติมุขเปตวัตถุ และ ภุสเปตวัตถุ

 
chatchai.k
วันที่  21 ต.ค. 2566
หมายเลข  46823
อ่าน  122

ใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ สูกรเปตวัตถุ มีข้อความว่า

ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า

กายของท่านมีสีเหมือนทองคำทั่วทั้งกาย รัศมีกายของท่านสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ แต่ปากของท่านเหมือนปากสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมอะไรไว้

เปรตนั้นตอบว่า

ข้าแต่พระนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมกาย แต่ไม่ได้สำรวมวาจา เพราะเหตุนั้นรัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นกับที่ท่านได้เห็นอยู่นั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน สรีระของข้าพเจ้าท่านเห็นเองแล้ว ขอท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาก อย่าให้ปากสุกรเกิดมีแก่ท่าน

ทางวาจา บางท่านอาจไม่ได้ระมัดระวัง สำรวมแต่เฉพาะทางกาย แต่ว่าทางวาจาก็เป็นโทษ เป็นกรรมที่หนักเหมือนกัน แล้วแต่ว่าอกุศลกรรมทางวาจาที่ท่านกระทำนั้นจะให้ผลแค่ไหน สำหรับมนุษย์ก็มีรูปร่างต่างกันไป สัตว์ดิรัจฉานก็วิจิตรมาก มีสัตว์หลายประเภทที่มีรูปร่างลักษณะไม่น่าดู แม้มนุษย์บางบุคคลก็จะมีลักษณะที่เป็นผลของอกุศลกรรม ทำให้ปรากฏสภาพที่ไม่น่าดูต่างๆ เปรตก็เหมือนกัน มีลักษณะต่างๆ อย่างเช่น เปรตที่มีปากเป็นสุกร เป็นต้น

ปูติมุขเปตวัตถุ มีข้อความว่า

ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า

ท่านมีผิวงามดังทิพย์ ยืนอยู่ในอากาศ แต่ปากของท่านมีกลิ่นเหม็น หมู่หนอนพากันมาไชชอนอยู่ แต่ก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้

เปรตนั้นตอบว่า

เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นสมณะลามก มีวาจาชั่ว สำรวมกายเป็นปกติ ไม่สำรวมปาก ผิวพรรณดังทองข้าพเจ้าได้แล้วเพราะพรหมจรรย์นั้น แต่ปากของข้าพเจ้าเน่าเหม็น เพราะกล่าววาจาส่อเสียด

ข้าแต่ท่านพระนารทะ รูปของข้าพเจ้านี้ท่านเห็นเองแล้ว ท่านผู้ฉลาดอนุเคราะห์กล่าวไว้ว่า ท่านอย่าพูดส่อเสียด และอย่าพูดมุสา ถ้าท่านละคำส่อเสียดและคำมุสาแล้ว สำรวมด้วยวาจา ท่านจะเป็นเทพเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าใคร่

แม้แต่ภูมิมนุษย์ หนอนในปากมีไหม มีได้ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่จะเป็นเหตุให้มีหนอนในปาก ยังมีได้ทั้งๆ ที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ทำให้ถึงกับปฏิสนธิเป็นเปรต จะได้รับความทุกข์ทรมานตามควรแก่กรรมที่ได้กระทำไว้กรรมนั้นก็ทำให้วิจิตรต่างๆ กันไปทีเดียว ก็ควรที่จะได้ทราบถึงอกุศลกรรมที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดเป็นเปรต เพราะว่าท่านจะได้ละเว้นจากอกุศลกรรมนั้น ไม่แน่ท่านอาจจะกำลังกระทำอยู่ หรือว่าจะกระทำต่อไปก็ได้

ภุสเปตวัตถุ มีข้อความว่า

ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามบุพกรรมของเปรตทั้ง ๔ ด้วยคาถานี้ความว่า

ท่านทั้ง ๔ นี้ คนหนึ่งกอบเอาแกลบข้าวสาลีที่ไฟลุกโชนโปรยใส่ศีรษะของตนเอง อีกคนหนึ่งทุบศีรษะของตนเองด้วยค้อนเหล็ก ส่วนคนที่เป็นหญิงเอาเล็บจิกหลัง กินเลือดกินเนื้อของตนเอง ส่วนท่านกินคูถอันเป็นของไม่สะอาด ไม่น่าปรารถนา นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร

ภรรยาของพ่อค้าโกงตอบว่า

เมื่อชาติก่อน ผู้นี้เป็นบุตรของดิฉัน ได้ตีศีรษะของฉันผู้เป็นมารดา ผู้นี้เป็นสามีของดิฉัน เป็นพ่อค้าโกงข้าวเปลือกปนแกลบ ผู้นี้เป็นลูกสะใภ้ของดิฉัน ลักกินเนื้อแล้วกลับหลอกลวงด้วยมุสาวาท ดิฉันเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษย์โลก เป็นหญิงแม่เรือน เป็นใหญ่กว่าสกุลทั้งปวง เมื่อสิ่งของมีอยู่ เหล่ายาจกขอแล้ว เก็บซ่อนไว้เสีย ไม่ได้ให้อะไรจากของที่มีอยู่ ปกปิดไว้ด้วยมุสาวาทว่า ของนี้ไม่มีในเรือนของเรา ถ้าเราปกปิดของที่มีไว้ ขอคูถจงเป็นอาหารของเรา ภัตรแห่งข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอมย่อมกลับกลายเป็นคูถเพราะวิบากแห่งกรรม คือ มุสาวาทของดิฉัน

ก็กรรมทั้งหลายไม่ไร้ผล กรรมนั้นย่อมไม่สาบสูญ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงกินและดื่มมูตรคูถอันมีกลิ่นเหม็น มีหนอน

ถ้าเป็นอกุศลกรรมที่กำลังกระทำอยู่ในมนุษย์ ดูเป็นของไม่น่าหวั่นเกรงอะไร ไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครรู้ ยังไม่ได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นที่จะให้ปรากฏทันตา แต่ว่าอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วไม่ไร้ผล เช่นเดียวกับกุศลกรรมก็ไม่ไร้ผล เพราะฉะนั้น ถ้าทำอกุศลกรรมใดๆ ไว้ และสังสารวัฏยังมีอยู่ ก็แล้วแต่ว่ากรรมใดจะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิ ถ้าเป็นกุศลกรรมก็ปฏิสนธิในสุคติภูมิ ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็ปฏิสนธิในอบายภูมิ หรือถ้าในสุคติภูมิปฏิสนธิเป็นมนุษย์ ก็ยังมีโอกาสได้รับผลของอกุศลกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายตามควรแก่กรรมนั้นๆ

เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทจริงๆ ในอกุศลกรรม และขอให้ดูความเป็นจริงว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ว่า คนหนึ่งกอบเอาแกลบข้าวสาลีที่มีไฟลุกโชนโปรยใส่ศีรษะของตนเอง อีกคนหนึ่งทุบศีรษะของตนเองด้วยค้อนเหล็ก มีใครเคยทุบศีรษะของตนเองบ้างไหม เคย ทำไมถึงทำอย่างนั้น ทีนี้ถ้าเป็นกรรมหนัก แทนที่จะทุบนิดหน่อยให้หายปวดหายเจ็บ ก็อาจจะแรงยิ่งกว่านั้นก็ได้ และยิ่งเป็นผลของอกุศลกรรม ก็อาจจะทำให้ต้องทำอย่างนั้น สำหรับคนที่เป็นหญิงเอาเล็บจิกหลัง กินเลือดและเนื้อของตนเอง ก็เป็นไปได้อีกใช่ไหม มนุษย์ที่ชอบแกะ ชอบเกา ชอบขูด ชอบอะไรอย่างนี้มีไหม มีใช่ไหม ทำไมจึงทำอย่างนั้น ก็ต้องเป็นผลของอกุศลกรรม สบายหรือ คนอื่นทำไมไม่สบาย แต่ทำไมคนนี้ถึงสบาย แกะแผล แกะอะไรก็ได้ทั้งนั้น เป็นการสะสมมาที่จะให้กระทำอย่างนั้น ซึ่งถ้าไม่แกะ ไม่เกา ไม่คุ้ย ไม่เขี่ย อย่างนั้นน่าจะสบายกว่า แต่เพราะสะสมมาเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดทุกขเวทนาอย่างนั้น นี่เป็นเศษของกรรมมาถึงภพชาติที่ได้กำเนิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม มิยิ่งพอใจยิ่งกว่านั้นหรือ คือ พอใจถึงกับต้องเอาเล็บจิกหลัง กินเนื้อและเลือดของตนเอง ทำอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ใครจะให้ไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ เป็นไปตามอำนาจของกรรม

ที่มา ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 279


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ