จิตรู้ได้ทุกอย่าง

 
nattawan
วันที่  19 ก.ย. 2566
หมายเลข  46573
อ่าน  427

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ณ กาลครั้งหนึ่งที่บ้าน พล.อ.พหล และท่านฑูตกฤษณา จันทรประภา 8 ก.ย. 66

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีเพื่ออะไร!!! ... เพื่อให้รู้ตรง ... ว่ามันอยู่ตรงนั้นจริงๆ ... จึงได้แสดงว่ามันอยู่ไหน ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และใจอยู่ไหน ... ภายในที่สุด ... ในจนกระทั่งไม่ปรากฏ ... อย่างอื่นปรากฏทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นภายนอก แต่จิตแท้ๆ ใครถึงบ้างว่าอยู่ลึกแค่ไหน!!! และไม่ไกลเลย!!! อยู่ตรงนี้แต่ลึกมาก ... ลึกต่อการที่จะเข้าใจ!!!!!

สิ่งที่มีจริงลึกลงไปมากเลย แต่พระธรรมของพระองค์ค่อยๆ รู้ว่าอะไรคืออะไร จะรู้ความจริงตรงนั้นต้องประกอบด้วยความเข้าใจระดับไหน!!! เหมือนกับของที่สะสมมานานมาก สกปรกมาก เหนียวมาก มันอยู่ในใจเต็มไปหมดเลย แล้วจะเอาออกหมดได้อย่างไร!!!

มันไม่ได้อยู่ที่ใจคนอื่น แต่อยู่ที่แต่ละหนึ่งจิตที่สะสมมา เพราะฉะนั้น ความเป็นจิต ... ที่ไม่เคยรู้เลยแล้วจะปรากฏได้อย่างไร ... ถ้าเราไม่พูดถึงจิต ถ้าไม่พูดเลยจะรู้จักจิตหรือ!!! ถ้าไม่พูดบ่อยๆ จะคิดถึงจิตไหม!!!

ลองพิจารณา ... โลกนี้ไม่เหลืออะไรที่ปรากฏเพราะจิตรู้เลย เพราะถ้ายังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏพระจิตต้องรู้สิ่งนั้น ... จิตจะไม่ปรากฏเพราะมีสิ่งที่จิตรู้เท่านั้นที่ปรากฏ ... ตลอดเวลา ... จนกว่าจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจในธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง

ที่ฟังมาทั้งหมดก็ทบทวนไปเรื่อยๆ ทุกชาติ ค่อยๆ ลึกลงไปค่อยๆ เข้าใกล้ทีละนิดทีละหน่อย ไม่ใช่เพียงแค่แตะนิดเดียวครั้งเดียว จนกว่าจะถึงที่สุดของจิต ต้องอาศัยแตะกี่ครั้ง ต้องตรง ถ้าไม่ตรงก็ไม่ได้

จิตกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เราไม่รู้ตรงนี้แล้วไปรู้ตรงอื่น ... จะเป็นจิตไหม!!!

จิตรู้ได้ทุกอย่าง ... จิตรู้จิต เช่น เห็น เห็นมีหรือเปล่า!! จิตที่ไม่ใช่จิตเห็นนั้นรู้เห็น!!! หลังจากเห็นแล้วยังมีเห็นที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ... แต่ทุกอย่างปรากฏโดยนิมิต คำนี้ลืมไม่ได้เลย ซ่อนเร้นถึงความลึกซึ้งแค่ไหน!!! จิตเกิดดับเร็วสุดประมาณจริงๆ เพราะสิ่งที่ปรากฏให้รู้นี่ไม่ใช่ธาตุรู้ที่รู้สิ่งนั้นแต่ละหนึ่งทั้งหมด ลึกแค่ไหนตัวธาตุรู้!!!

นักนักวิทยาศาสตร์ก็สนใจสิ่งที่ปรากฏ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จิต ... ตัวจิตลึกแค่ไหน!!! ลึกซึ้งแค่ไหนมีเดี๋ยวนี้ด้วย ทุกขณะด้วย จะตื่นจะหลับไม่เคยขาดเลย ... แต่ไม่รู้จัก

เราอยู่เราอยู่ในโลกของนิมิต ไม่ใช่โลกของธรรมะที่เกิดดับ เป็นโลกนิมิตรของธรรมะที่เกิดดับให้หลงว่า รูปร่างสัณฐานที่ปรากฏเป็นอะไร และติดข้องในสิ่งนั้น

เชิญคลิกชม

ณ กาลครั้งหนึ่ง "สนทนาธรรมที่
บ้านพลเอกพหลและท่านฑูตกฤษณา จันทรประภา"
วันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๖

🟦 fb.watch/n7BqBFA94E/?mibextid=Na33Lf

🟥 youtu.be/x7vHmD0eDSc?si=kIAQitrjxG-exdXm

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 19 ก.ย. 2566

ความไม่รู้มีหลายระดับมาก และถ้าไม่รู้ธาตุรู้ คือ จิตจริงๆ จะเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานหรือ!! แล้วก็ไม่หมดความเป็นเรา!!!

ถ้ายังคงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ... ไม่ใช่ ... ต้องเกลี้ยงหมดเลยทุกอย่างไม่ว่าอะไร เพราะลักษณะนั้นเป็นธรรมะ แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรมะ เพราะปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ปกปิดตลอดเวลาทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ เหนียวแน่นหนา กว่าจะแตะสักนิดหนึ่ง แล้วกว่าจะเกลี้ยงไปเลย ไม่เหลือเลยที่จะเข้าใจผิด ... ไม่มี ... เพราะไม่รู้ว่ารู้อะไร มีทุกสิ่งทุกอย่างเพราะไม่รู้ ... ไม่รู้ว่าจะรู้อะไร!!! ไม่รู้ว่าความจริงของสิ่งที่มีให้เห็นคืออะไร!! จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสะสมการเห็นประโยชน์ของความเข้าใจถูกต้อง พอได้ยินแล้วรู้เลยว่าไม่เคยได้ยินมาในสังสารวัฏฏ์ และมั่นคงว่าไม่มีเราที่จะไปทำให้รู้ แต่ความเข้าใจเริ่มเข้าใจสิ่งที่มี จะเรียกว่าอะไรก็ตาม ... ปัญญา วิชชา ญาณะ ... เป็นความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น และขณะที่ปรากฏจะไม่มีชื่อเลย!!!

ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ และถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองพิจารณาให้ละเอียดก็จะไม่รู้อยู่ดี ... ถึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด คำเดียวที่ได้ฟังครั้งแรก ... ไม่ได้จบนะ ... เข้าใจขึ้นๆ ... ทุกอย่างเหมือนเริ่มต้นอีก ... ตั้งต้นอีก ... เพราะสิ่งที่ได้ฟังนั้นถูกกลบด้วยความไม่รู้มานานเท่าไหร่!!! กว่าจะแทรกเข้าไปอีกหน่อยหนึ่งๆ ... เพียงขณะเดียวที่เข้าใจนั้นมีประโยชน์แค่ไหน!!! ถ้าขาดขณะนั้นไป จะไม่สามารถเข้าใจเพิ่มขึ้นได้!!!

สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง แต่ทรงตรัสรู้ความจริง เมื่อเป็นจริงจึงสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะมีจริงๆ เกิดจริงๆ แต่ไม่ปรากฏ เกิดจริง ... ดับจริง ... ต้องรู้ความจริง มิฉะนั้นก็เพียงคิด

ก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เพราะขณะนี้เราจำ เรารู้สึกพอใจไม่พอใจ ปรุงแต่งความคิด แล้วแต่ใครจะคิดตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา

ก่อนฟัง ... ฟังแล้วก็ยังเป็นเช่นนั้น ... จนกว่าความจริงจะปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นกว่าเดิม และมั่นคงขึ้นด้วย ... แทรกขึ้นมาหน่อยก็เป็นประโยชน์แล้ว!!!

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 19 ก.ย. 2566

ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่งที่ บ้านพล.อ. พหล และท่านฑูตกฤษณา จันทรประภา 8 ก.ย. 66

สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เพราะจิตต้องรู้สิ่งนั้น

ยิ่งเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่จะได้ฟังทุกครั้งก็เป็นประโยชน์แค่ไหนในสังสารวัฏฏ์ เพราะเป็นพืชเชื้อปลูกฝังการเห็นประโยชน์ ซึ่งเราฝืนไม่ได้ เราสะสมความไม่เห็นประโยชน์มานานเท่าไหร่ แต่การฟังสักครั้งเดียวก็ค่อยๆ ละการสะสมการที่ไม่รู้ประโยชน์ ค่อยๆ เห็นประโยชน์สูงสุด!!!

ต้องรู้เองถึงจะรู้ความต่างของระดับของความเข้าใจ เรากำลังพูดถึงเห็น รู้ตรงเห็น เข้าใจตรงเห็นหรือเปล่า!! แข็งก็เหมือนเห็น ... กระทบสัมผัส ... เข้าใจแค่ไหน!! แต่ก่อนไม่รู้เลยว่าต้องเข้าใจอะไร ... ความจริงคืออะไร ... ทุกอย่างถ้าไม่รู้ ... ก็เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ... คุณมหาศาล ... เป็นผู้รู้คุณ ... ไม่เนรคุณ!!! เพราะไม่รู้จึงไม่มีคุณ

เริ่มรู้ความหมายของคำว่าอนุสสยะ อาสวะ นิวรณะ ทุกอย่างที่เป็นกิเลสทั้งหลาย หลายระดับ ชื่อไม่สำคัญเพราะถ้าไม่ต่างกันก็ไม่ต้องมีชื่อต่างกัน แต่เพราะต่างกันจึงต้องมีชื่อต่าง อกุศลมีระดับต่างกัน มีหยาบ กลาง และละเอียด

สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา (สิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ ทุกอย่าง) สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

ฟังต่อไป ไม่ต้องกังวล เห็นโทษว่าถ้าขาดการฟัง จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ทรงชี้หนทางตลอด 45 พรรษาละเอียดยิบ ให้ค่อยๆ เห็นความจริงตามลำดับจนประจักษ์แจ้ง และตรงว่าขณะนี้ปัญญาระดับไหน!!! นี่คือปัญญาตัวจริงที่ไม่เห็นผิด และละเอียดจนถ้าเข้าใจแล้วไม่ต้องไปหาทางทำอะไรเลย นอกจากเข้าใจ ... หนทางเดียว ... ปัญญาประเสริฐสุด!!!

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ