ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๐
~ ประโยชน์ของการมีชีวิต คือ เพื่ออบรมเจริญปัญญา จากที่ไม่เคยเข้าใจความจริง จากที่เต็มไปด้วยความมืดคืออวิชชา ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น เมื่อมีปัญญาเจริญขึ้น ก็จะทำให้เป็นผู้มีชีวิตที่ดำเนินไปด้วยปัญญาตามที่ตนมี เปลี่ยนจากที่เคยอยู่ด้วยอกุศลประการต่างๆ มากมาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นผู้อยู่ด้วยกุศลที่เพิ่มขึ้น
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความหมดจดจากความไม่ดี คือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง
~ เพราะเหตุใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงเรื่องของอกุศลธรรม? เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และถ้าไม่ทรงแสดง จะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละคนสะสมสิ่งที่ไม่ดีมามากมายแค่ไหน
~ เพราะสะสมมาไม่ดี จึงริษยาเมื่อผู้อื่นได้ดีมีความสุข ขณะนั้นตนเองเท่านั้นที่เดือดร้อน ไม่สบายใจ คนที่ถูกริษยา มีความสุขดี ได้รับผลของกุศลกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้ว
~ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดมาจากความไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าความไม่ดีทั้งหลาย ทำให้เกิดความประพฤติที่ไม่ดีมากมายเพียงใด จึงทำอกุศลกรรม เพราะไม่เห็นโทษ อกุศลทั้งหลายมาจากความไม่รู้จริงๆ
~ ความสุขที่เคยได้รับ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน? ดับไปหมดแล้ว แล้วก็แสวงหาต่อไป แล้วอยู่ไหน? ดับไปหมดเลย ไม่มีเหลือ ชั่วคราวจริงๆ แล้วก็หลงยึดติดอีก
~ อวิชชา ความไม่รู้ ปิดบังไม่ให้รู้ความจริง ซ้ำยังถูกฉาบทาด้วยโลภะอีกต่างหาก เป็นกำแพงที่หนาแน่น ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะไม่มีทางทำลายอวิชชาและความติดข้องได้เลย
~ อีกไม่นาน ทุกคนก็จะหายไปจากโลกนี้ ใครจะไปก่อน ใครจะไปทีหลัง ช้าหรือเร็วนั้น อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่น่าคิด ก็คือว่า จากไม่เคยเป็นคนนี้ แล้วก็มาเป็นคนนี้ แล้วก็จะหมดสิ้นการเป็นบุคคลนี้ ทุกคนเหมือนกันหมด แต่ระหว่างที่ยังเป็นบุคคลนี้อยู่ ยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้ ทำอะไร?
~ ไม่ควรจะลืมเลยว่า ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้ววันไหนก็ไม่ทราบด้วย แต่ว่าโดยมากทุกท่านหลงชีวิต แล้วก็ลืมเสียจริงๆ ว่าจะต้องสิ้นชีวิต ไม่ได้คิดถึงเลยว่า จะต้องจากโลกนี้ไป เดี๋ยวก็หลงไปตามรูปชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปตามเสียง ยังไม่ทันไรก็หลงไปตามกลิ่น หลงไปตามรส หลงไปตามโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือ ไม่ลืมความจริงว่าจะต้องตาย ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ
~ สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูก เป็นทางแน่นอน แล้วก็จะนำไปสู่หนทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้นตามลำดับขั้นของความเข้าใจถูก ถ้ามีความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ไม่พอเลย เพราะว่าสะสมอกุศลมามาก ด้วยเหตุนี้ สัมมาทิฏฐินำทาง ปัญญานำทางชีวิตไปสู่ทางที่เข้าใจถูก ปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง
~ จากที่มากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยความเห็นผิด แล้วได้ฟังความจริง ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ย่อมจะมีความปลาบปลื้มที่ได้เข้าใจถูกเห็นถูก
~ สิ่งใดที่ไม่ดีที่เรามี แล้วมีคนคอยบอกคอยเตือนให้รู้ คนๆ นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณกับเรามากทีเดียว
~ ถ้าคิดว่า “เดี๋ยวไปนรก” สะดุ้งกลัวไหม? อกุศลกรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเหตุนำไปสู่นรก ถ้ามีเหตุที่จะต้องไปเกิดในนรก ก็ต้องเป็นไป ใครๆ ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะเหตุว่า อกุศลที่มีมากๆ มีเพิ่มขึ้นทุกวันๆ นี้แหละ ที่จะเป็นเหตุทำให้ไปเกิดในนรก หนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาที่จะทำให้ เบาบางจากความสะดุ้งกลัว
~ กิเลสมีมากเหลือเกินในวันหนึ่งๆ นี้ จริงไหม? หรือว่ายังไม่มีใครเห็นกิเลส ถ้าบอกว่ามีน้อย หมายความว่ายังไม่เห็นกิเลสตามความเป็นจริง แต่ถ้าทราบว่าวันหนึ่งๆ นี้กิเลสมากเหลือเกิน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ผู้ใดทราบอย่างนี้ แสดงว่าผู้นั้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่ากิเลสนั้นมีมาก
~ แต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม ถ้าเราโกรธเขา
เราก็แย่แล้วในขณะนั้น ถูกอกุศลกลุ้มรุมครอบงำ ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
~ คนไม่ดี คนเลว แล้วเราไปโกรธคนนั้น เราก็เลวเหมือนกัน
~ ผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมเลย จะถึงความเจริญด้วยปัญญาได้ไหม? เพราะเหตุว่า ความเจริญจริงๆ ไม่ใช่ความเจริญทางวัตถุหรือความเจริญของความโลภความติดข้องความต้องการ การแสวงหาสิ่งซึ่งคิดว่าน่าปรารถนา คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ ความสุขต่างๆ แต่ความเจริญจริงๆ ต้องเป็นความเจริญของจิตซึ่งมีปัญญาเริ่มเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
~ ธรรมเป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่เกิดจนตาย พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ เรื่องของการเห็นแล้วก็ชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เป็นด้วยกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง
นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน
~ เมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าอกุศลมีมากแค่ไหน และจะเห็นโทษภัยของอกุศล เริ่มคิดที่จะขัดเกลากิเลส นี่คือ คุณประโยชน์ของพระธรรม แต่ถ้าไม่มีการพูดเรื่องธรรมเหล่านี้ไม่ให้เกิดปัญญาจริงๆ แล้ว ก็จะไม่มีอะไรทำกิจของปัญญาได้
~ โลภะก็ต้องทำกิจของโลภะ มานะ (ความสำคัญตน) ก็ต้องทำกิจของมานะ โทสะก็ต้องทำหน้าที่ของโทสะ เพราะว่า ปัญญาไม่เกิด ต่อเมื่อไรปัญญาเกิด เมื่อนั้นเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ทำให้เห็นสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง และจะรู้พระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา สำหรับพวกเราสมัยนี้
~ ธรรมยาก ถ้าไม่เริ่มฟัง แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ
~ เห็นอกุศลเป็นอกุศล แล้วจะเข้าใกล้ไหม?
~ จะมีโอกาสเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าจะเป็นคนดี ก็ต้องเป็นตั้งแต่เดี๋ยวนี้
~ น่ากลัวมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เพราะเหตุว่าใกล้ ไม่ไกล ถ้ารู้สึกว่าไกล ก็ไม่ค่อยกลัว แต่ถ้าคิดว่าใกล้ อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ก็อาจจะเห็นโทษของอกุศลแล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้น
~ เป็นคนดี ทำความดี ไม่ประมาท และฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะทำให้รอดพ้นจากภัยในสังสารวัฏฏ์
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๙
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนา อ.คำปั่นค่ะ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา
![](https://www.dhammahome.com/site/webboard/jpg/0465cfd1/wb04656601111fd3458.webp)
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในความดีของ อ.คำปั่น และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านค่ะ
![](https://www.dhammahome.com/site/webboard/jpg/0465cfd1/wb046566012a4d91eca.webp)
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง ค่ะ