เห็นสิ่งที่รู้แล้วด้วยญาณ
ขอกล่าวถึงข้อความใน สัทธัมมปกาสินี อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค
สัทธัมมปกาสินี หมายความถึง อรรถกถาที่ประกาศพระสัทธรรม เป็นอรรถกถาของ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ญาณกถา ในข้อธรรมเรื่อง ธัมมัฏฐิติญาณนิทเทส
ข้อความใน สัทธัมมปกาสินี อรรถกถา มีว่า
คำว่า ย่อมรู้ ชานาติ คือ ย่อมรู้ ย่อมเห็น ด้วยญาณที่ปรารภภาวนาตามทำนองแห่งสุตตะ เพราะฉะนั้น ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วนั่นเองด้วยญาณ เช่นเดียวกับเห็นสิ่งที่เห็นด้วยจักษุ และเช่นเดียวกับที่ได้สัมผัสผลมะขามป้อมที่อยู่บนพื้นฝ่ามือ
เป็นเรื่องของความรู้ชัด ซึ่งเป็นปัญญา
คำว่า ย่อมรู้ ชานาติ คือ ย่อมรู้ ย่อมเห็น ด้วยญาณที่ปรารภภาวนา ตามทำนองแห่งสุตตะ
สุตตะ คือ การฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสภาพปรมัตถธรรมตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ บางท่านกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐานตรงกับปรมัตถธรรมที่ได้ศึกษา ซึ่งท่านก็ควรจะทราบว่าต้องตรง ไม่ตรงไม่ได้ เพราะเหตุว่าปรมัตถธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงนั้น เพราะทรงตรัสรู้สภาพธรรมด้วยสติและญาณตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเจริญสติปัฏฐาน จึงตรงกับปรมัตถธรรมทุกประการ
และที่ว่า การเห็นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล สีที่ปรากฏทางตาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล การได้ยินไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เสียงที่ปรากฏไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป นี่ตามที่ทุกท่านได้ยินได้ฟังตามทำนองแห่งสุตตะ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้น การที่ปัญญาจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่รู้อย่างอื่น แต่ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วนั่นเองด้วยญาณ
คำว่า ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วนั่นเองด้วยญาณ หมายความถึงญาณแต่ละขั้นทีเดียว อย่างนามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่รู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและ รูปธรรม ก็เพราะเห็นสิ่งที่รู้แล้วนั่นเอง
ทุกวันๆ ท่านเห็นสี ท่านรู้สี ท่านได้ยินเสียง ท่านรู้เสียง ท่านรู้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ รู้เรื่องราว คิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ นี่เป็นสิ่งที่ทุกท่านรู้ แต่ว่าการที่จะเป็นญาณนั้น คือ ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วนั่นเองด้วยญาณ ไม่ใช่เห็นอย่างอื่น ไม่ใช่รู้อย่างอื่น
เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐาน จึงเป็นการรู้สภาพธรรมตามปกติที่ท่านรู้แล้วนั่นเองทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่จะสมบูรณ์เป็นวิปัสสนาญาณได้ ก็ด้วยการที่ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วนั่นเองด้วยญาณ เช่นเดียวกับเห็นสิ่งที่เห็นด้วยจักษุ และเช่นเดียวกับที่ได้สัมผัสผลมะขามป้อมที่อยู่บนพื้นฝ่ามือ
ขณะนี้ท่านนึกถึงสิ่งที่อยู่ที่บ้าน ไม่ใช่เห็นด้วยจักษุ แต่ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นความจริง เห็นสิ่งที่เห็นด้วยจักษุ เพราะฉะนั้น ญาณที่ประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ย่อมรู้สิ่งที่รู้แล้วนั่นเองด้วยญาณ เช่นเดียวกับเห็นสิ่งที่เห็นด้วยจักษุ และเช่นเดียวกับได้สัมผัสผลมะขามป้อมที่อยู่บนพื้นฝ่ามือ
ท่านใช้พยัญชนะว่า ได้สัมผัส เวลานี้มะขามป้อมอาจจะอยู่ที่อื่น ยังไม่ได้มาอยู่บนฝ่ามือ เพราะฉะนั้น ท่านจะทราบว่ามะขามป้อมนั้นมีสัมผัสประการใด ก็ไม่เหมือนกับขณะที่ผลมะขามป้อมนั้นกำลังสัมผัสอยู่บนพื้นฝ่ามือ เพราะฉะนั้น ความรู้ชัดของญาณ คือ รู้สภาวธรรมนามและรูปตามความเป็นจริง ตามปกติ อย่างถูกต้องนั่นเอง ไม่ใช่ว่ารู้คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 224

