ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๐

 
khampan.a
วันที่  30 เม.ย. 2566
หมายเลข  45850
อ่าน  6,389

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๐



~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีใครสามารถจะรู้ความจริงได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นการสะสมของแต่ละท่านที่ได้สะสมมาแล้ว ที่ได้เคยฟัง แต่ก็จะต้องรู้ว่าฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความละเอียดยิ่ง และต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของเราเอง แล้วก็ไม่ท้อถอยด้วย

~ ฟังพระธรรมเพื่ออะไร? ต้องรู้จุดประสงค์ว่าเพื่ออะไร เพื่อปัญญา ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จะไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเลยที่จะคิดที่จะรู้ที่จะเข้าใจธรรมได้ตามความเป็นจริง

~ ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญเมตตายิ่งขึ้น อกุศลอื่นๆ ก็จะลดน้อยลง มานะ (ความสำคัญตน) ก็ย่อมจะเบาบางลงไป เพราะเห็นว่าในขณะใดที่มีความสำคัญตน ถือตน ในขณะนั้นไม่ได้เมตตาบุคคลนั้นเลย ถ้าเมตตาแล้ว ต้องไม่มีการสำคัญตน

~ คงจะมีท่านผู้ฟังที่มีญาติมิตรสหายที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แล้วก็สิ้นชีวิตลงโดยไม่ได้ใช้ทรัพย์สัมบัตินั้น เมื่อไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติ เมื่อไม่ได้ให้ทานในโลกนี้ ในโลกหน้าก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ขัดเกลาจิตใจ ละความตระหนี่ ท่านก็จะได้สะสมบุญ คือ การขัดเกลาจิตใจที่เบาบางจากอกุศลธรรมให้น้อยลง ติดตามไปในโลกหน้าได้

~ ธรรมมีอยู่ทุกแห่ง เพราะเหตุว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่คนก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นธรรม

~ คิดทุกวันและคิดมากๆ ด้วย แล้วไม่เคยรู้ความจริงว่าอกุศลจิต คิดไม่ดี

~ ธรรมที่เป็นที่พึ่งนั้นเป็นกุศล อกุศลพึ่งไม่ได้เลย ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้น ต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะว่าสะสมอกุศลไว้มาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรมเพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็เข้าใจในคุณของธรรมนั้น คือ คุณของกุศล ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้เจริญกุศลทุกประการอย่างละเอียด เพราะเห็นโทษว่าอกุศลธรรมนั้นมีกำลังมากกว่า เพราะว่าสะสมมามากกว่า

~ ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะรู้โทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล คนอื่นไม่เดือดร้อนเลยในความคิดที่เป็นอกุศลของตัวท่าน เพราะฉะนั้น ท่านต้องทราบว่า ตัวท่านเท่านั้นที่จะละคลายถ่ายถอนอกุศลได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะทำแทนได้เลย
อกุศลไม่มีประโยชน์เลย แม้ในการคิดนึกด้วยจิตที่เป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นการคิดถึงด้วยมโนกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา กุศลจิตที่เป็นเมตตา นั่น เป็นประโยชน์สำหรับตัวท่านด้วยและสำหรับบุคคลที่ท่านระลึกถึงด้วย

~ จะห้ามคนไม่ให้พูดอะไร ห้ามไม่ได้เลย ใช่ไหม? (ห้ามไม่ได้) ไม่มีใครพ้นจากโลกธรรม ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ใจของเราไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่า (ขณะที่หวั่นไหว) เป็นอกุศล จะเที่ยวไปเก็บอกุศลจากที่เขาไม่ชอบแล้วเขาว่าต่างๆ มาเป็นขณะนั้นให้เพิ่มพูนอกุศลขึ้นทำไม ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่มั่นคงในเรื่องของความไม่มีเรา ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม เพราะฉะนั้น จะไม่ไปเอาคำของคนอื่นมาทำให้เกิดอกุศลจิต

~ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องกุศลธรรมไว้มาก และทรงแสดงชี้แจงเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดไว้โดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการอบรมเจริญกุศล โดยประการที่จะทำให้ผู้ฟังได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ มากๆ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น

~ ปัญญาต้องรู้ตรงตั้งแต่ต้น หมายความว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ไม่มีการรีบเร่งหรือใจร้อนหรือจะทำ ถ้าเข้าใจอนัตตาจริงๆ แล้ว จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็มีสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เช่น เห็น ขณะนี้ก็ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วด้วย ไม่มีใครไปทำ ขณะที่ได้ยิน ได้ยินก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ

~ ไม่ว่าเป็นขันธ์ (สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) ในชาติใดในแสนโกฏิกัปป์หรือในปัจจุบันชาติ หรือในชาติต่อไปข้างหน้า ขันธ์ทุกขันธ์เกิดแล้วก็ดับ จะไม่มีขันธ์ใดเกิดขึ้นมาแล้วจะพ้นจากลักษณะที่เป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล)

~ สภาพธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัญญาความจำที่มั่นคง เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ว่า ในขณะที่เห็นในขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง

~ สะสมมาที่จะเห็นผิด พอได้ยินได้ฟังคำผิด ก็ชอบใจ คิดว่าถูก ถ้าสะสมความเห็นถูกมา ก็รู้ว่าคำเหล่านั้นไม่จริง เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะพิจารณาในเหตุผล แล้วก็รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

~ วันหนึ่งๆ ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เพราะติดกันแน่น ไม่เคยแยก ไม่เคยรู้ว่า เป็นสภาพธรรม เวลาที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ทีละทาง ทีละลักษณะ ถ้ากำลังนึก สติเกิดแทรกขึ้นมาก็รู้ว่า ที่นึกนั้นก็เป็นแต่เพียงสภาพคิด เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ค่อยๆ เจริญไป อบรมไป ฟังไป จนกว่าสติจะเกิดบ่อยๆ เนืองๆ และจะช่วยให้ปัญญาสามารถที่จะรู้ชัดถูกต้องตามความเป็นจริงได้

~ อยู่ด้วยโลภะ อยู่ด้วยความเกลียดชัง อยู่ด้วยความริษยา อยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า? นั่นไม่ใช่ผู้ประเสริฐเลย เพราะฉะนั้น ผู้ประเสริฐจริงๆ แม้ในชีวิตประจำวัน ก็คือ มีเมตตา หมายความว่า ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน พร้อมจะเกื้อกูล ไม่ได้หมายความว่า ให้เราหลงผิด ทำผิดไปกับคนอื่น แต่การเกื้อกูล คือ เกื้อกูลให้ถูกต้อง ให้เขามีความเห็นถูก ให้มีความเข้าใจถูก ให้มีกาย วาจา ใจที่ถูก นี่คือ ความเป็นมิตรที่แท้จริง

~ ถ้ารู้ตัวเองว่า "กุศลใดๆ ที่ทำ ยังไม่พอ ยังน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับอกุศล" ก็จะเป็นกำลังใจที่จะทำให้มีศรัทธาที่จะทำกุศลมั่นคงขึ้น

~ ความเข้าใจกับความไม่เข้าใจต่างกันมาก ให้รู้ว่าเคยอยู่มาด้วยความไม่เข้าใจนานเท่าไหร่กว่าจะเริ่มเข้าใจความละเอียดซึ่งตรงตามความเป็นจริง ต้องอาศัยความเป็นผู้ตรงว่าไม่มีเรา แต่มีความเห็น ๒ อย่าง คือ ความเห็นผิดอย่างหนึ่ง กับ ความเห็นถูกอย่างหนึ่ง ทั้งความเห็นผิดและความเห็นถูกก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ซึ่งความเห็นผิดไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าไม่รีบทิ้งไป ก็จะผิดอย่างนี้ไปอีกนานในสังสารวัฏฏ์ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว

~ ธรรมที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณ ไม่ให้โทษเลย ก็คือ อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) ถ้าเป็นได้จริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย จะสบายสักแค่ไหน ไม่เดือดร้อนที่จะต้องแสวงหา ไม่เดือดร้อนเมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เพราะเหตุว่าไม่ติดข้อง แต่แสนยาก เพราะติดข้องมานานแสนนาน มีหนทางเดียว คือ ปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

~ ต้องเริ่มรู้ว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล แล้วถ้าไม่เริ่มค่อยๆ เข้าใจ ไม่มีวันที่จะรู้จริงๆ

~ รู้ตัวเองว่าตัวเองไม่ดี เป็นประโยชน์ไหม? จะได้เห็นโทษของความไม่ดีซึ่งมีอยู่ ที่จะต้องค่อยๆ ขัดเกลาให้หมดสิ้นไป

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสำหรับทุกคน ถ้าคิดจะพึ่ง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๙



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 30 เม.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 30 เม.ย. 2566

แจ่มแจ้งยิ่ง พร้อมขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 30 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
shsso2551
วันที่ 1 พ.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Lai
วันที่ 2 พ.ค. 2566

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ