ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๒

 
khampan.a
วันที่  8 มี.ค. 2566
หมายเลข  45650
อ่าน  829

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๒
[ชดเชยวันอาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๖]



~ การฟังพระธรรม มีพระธรรมคือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์ เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ตรงกันเลย คำไหนที่ตรัสไว้แล้ว คำนั้นก็ยังดำรงอยู่ เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น

~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะไม่ละเลยในการฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ฟังแล้วก็มีความเข้าใจว่า ทั้งหมดจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ก็พูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้น

~ เรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด ผู้ที่เห็นโทษจึงจะงดเว้น แต่ผู้ที่ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นจริงๆ ว่าเป็นโทษ แต่ว่าความจริงแล้ว อกุศลธรรมทั้งหลายนั้น ย่อมให้ผลตามควรแก่สภาพของอกุศลธรรมนั้นๆ

~ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมเพียงเล็กน้อยอย่างไร ก็เป็นโทษ เป็นภัย ที่ควรจะละคลายบรรเทาขัดเกลาในขณะนั้นเอง ถ้าไม่เห็นอกุศลธรรมอย่างละเอียด จะทราบไหมว่า นั่นเป็นอกุศลธรรม เมื่อไม่ทราบ ก็ไม่ขัดเกลา แต่เมื่อใดที่เห็นภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นโทษ ก็ย่อมมีความเห็นถูกที่จะขัดเกลาละคลายแม้อกุศลธรรมที่เพียงเล็กน้อยนั้น

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดมาก ชี้โทษและภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยอยู่เสมอ เพื่อจะให้เห็นตามความเป็นจริงว่าในชีวิตประจำวัน แม้ว่ากิเลสใหญ่อย่างโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็จริง แต่ในชีวิตประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยอกุศลธรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรจะให้เห็นโทษเห็นภัยแล้วควรขัดเกลา

~ ใครจะว่าอะไรเรา เราก็ไม่ต้องไปเสียใจ เพราะขณะที่เขาว่าเรา กิเลสอยู่ไหน? ต้องไม่ลืมว่ากิเลสไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่คนที่คิดไม่ดีกับเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราโกรธ เราก็ไม่ดีเหมือนอย่างเขา

~ เราศึกษาธรรม เราไม่หวังอย่างอื่นเลย ถ้าเราศึกษาธรรมด้วยความหวัง นั่น เราไม่ได้ศึกษาเพื่อเข้าใจว่า แค่คำว่า ธรรม คำเดียว จริงลงไปถึงที่สุดที่ปรากฏความเป็นหนึ่งซึ่งเกิดและดับ ไม่กลับมาอีกเลย กว่าจะมั่นคงๆ ต้องอาศัยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ

~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ สะสมอกุศล สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน ก็จะต้องสะสมความรู้อีกนานแสนนานเช่นเดียวกัน จนกว่าจะเข้าใจความจริงของสภาพธรรมได้ ขอเพียงได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ ธรรมไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ สามารถรู้ได้ ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะความจริง ไม่สามารถรู้ได้ด้วยความอยาก ความต้องการ

~ พอใจแล้วก็แสวงหา เหนื่อยยากปานใดก็แล้วแต่ ไม่รู้เลยว่าเดือดร้อนแค่ไหน พอได้มาแล้วก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น แต่ก็ต้องจากพลัดพรากสิ่งนั้นไป เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไรจากความที่ไม่ได้ติดข้องแล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นให้ติดข้อง และเพียงให้ติดข้องเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่ความติดข้องนั้นยังอยู่สะสมอยู่ในจิต พอที่จะทำให้เกิดความติดข้องในสิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ

~ การฟังพระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล การฟังเป็นความดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ เมื่อมีการฟังครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ที่เห็นประโยชน์จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะมีความอดทนมีความเพียรที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไปอันเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ผู้ที่สะสมเหตุที่ดี มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรมมาแล้วจึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง

~ ต้องเป็นผู้ตรง จึงจะตรงต่อสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้

~ มีความจริงในขณะนี้ซึ่งใครๆ ก็บังคับให้เกิดไม่ได้ และจะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ทั้งหมดแสดงความไม่ใช่เราและไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราชัดเจนมาก ว่า เกิดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะคิดอะไรเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งนั้น

~ มีเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ ต้องเฉพาะที่ปรากฏด้วย แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้จริงๆ จะละไหม ก็ต้องรู้ว่าจะไปติดข้องอะไรกับสิ่งที่หมดแล้วจริงๆ และไม่กลับมาอีกและยิ่งเป็นการประจักษ์ชัดเจนต่อหน้าต่อตา ความที่เคยเป็นเราก็ต้องค่อยๆ หมดไปตามกำลังของปัญญา

~ ถ้าเป็นความหวังดีจริงๆ ลองคิดดู กล้าที่จะเป็นมิตรที่ดีไหม นั่นต้องเป็นกุศลที่มีกำลังจริงๆ ที่ไม่หวั่นไหวต่อการที่ใครจะคิดอย่างไร ใครจะว่า ใครจะติ ใครจะเข้าใจอย่างไร แต่ความหวังดีก็ยังคงเป็นความหวังดี

~ คนที่มีเงินทองมาก มีสิ่งของมาก แต่ไม่ให้ใครเลย พอตายแล้วให้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนตายประมาทไหมเวลาที่ไม่ให้สิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นที่ตนเองสามารถที่จะสละให้ได้

~ ขณะที่กำลังให้ทาน ไม่เหมือนคิดอย่างอื่น ไม่เหมือนคิดว่าจะไปซื้อของไว้สะสม แต่นี่คิดที่จะให้เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ขณะนั้นเพราะมีสภาพธรรมที่ระลึกได้เป็นไปในการที่จะสละสิ่งที่เรามี เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

~ อดทนได้ไหมถ้าคนนั้นเขาว่าร้ายเรา ทำร้ายเราด้วยอะไรก็ตาม แต่ความเป็นมิตรของเราต่อเขานั้น เขาทำลายไม่ได้ เรายังคงมีความหวังดี ไม่ประทุษร้าย พร้อมที่จะช่วย ช่วยอย่างอื่นนั้นช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่ช่วยให้เขาเป็นคนดีและเข้าใจพระธรรม นั่นคือประโยชน์จริงๆ ของการคบกัน

~ ศึกษาธรรมเพื่อรู้ความจริง แต่ถ้าเราศึกษาธรรมเพื่อเหตุอื่น ย่อมไม่ตรง ก็จะไม่รู้ความจริง ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงเท่านั้นจึงจะได้สาระจากพระธรรม ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ธรรมก็เป็นธรรม จะเป็นอื่นไม่ได้ ต้องตรง และต้องตรงตั้งแต่ต้น

~ ต้องอาศัยการสะสมอบรมเจริญไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ลองคิดถึงว่า ถ้าไม่ฟังเลย จะเป็นอย่างไร จะคงยังมีความเห็นผิดอยู่ และไม่มีหนทางที่จะละความเห็นผิด ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด

~ ถ้ารู้ว่าอะไรถูก จะพูดไหม? ถ้ารู้ว่าอะไรผิด จะพูดไหม? เพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์ คนที่เข้าใจผิดจะได้ไตร่ตรอง เข้าใจถูกต้องขึ้น เป็นประโยชน์ไหม? ต้องเป็นคนตรง เพราะว่า คำจริง เป็นประโยชน์ ทุกคนต้องตายอยู่แล้ว แต่ว่าทำความดี ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ขัดเกลากิเลส อบรมเจริญปัญญา เป็นโทษกับใครหรือเปล่า?

~ ในวันหนึ่งๆ ไม่ประมาทในอกุศลซึ่งเกิดตลอดและบ่อย และไม่ประมาทในกุศลแม้เพียงเล็กน้อยหนึ่งขณะก็ขาดไม่ได้ เพราะขาดไปหนึ่งขณะ จะเหลือเท่าไหร่ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น แม้เพียงนิดหนึ่งของกุศล ก็ช่วยเสริมให้กุศลเพิ่มขึ้น

~ ต้องละเอียดอย่างยิ่ง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แม้ว่าจะเกิดสลับกันอย่างรวดเร็วมาก แต่ก็จะเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้เลย

~ ธรรม ลึกซึ้ง ไม่มีใครมีปัญญาเทียบเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้ ก็จะต้องฟังคำของพระองค์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จะต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะคำของพระองค์ ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าใจได้ทันที



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๑



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
sanit99141@gmail.com
วันที่ 9 มี.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพและท่านอาจารย์สาธุและอนุโมทนาครับธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจต้องอดทนฟังอดทนพูดเพราะไม่มีใครจะเข้าใจได้ทันทีครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 9 มี.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 9 มี.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kukeart
วันที่ 9 มี.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
petsin.90
วันที่ 9 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
mon-pat
วันที่ 9 มี.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 มี.ค. 2566

เกิดมาชาตินี้ ได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงความจริงที่ลึกซึ้งที่สุด แม้จะยากที่สุดที่จะรู้ได้จริงๆ แต่ก็มีค่าที่สุดในชีวิตนี้ ที่ต้องฟังต่อไปค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพในพระคุณอย่างยิ่ง
ยินดีในกุศลอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยความขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Wisaka
วันที่ 11 มี.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 11 มี.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ