ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๖

 
khampan.a
วันที่  2 เม.ย. 2566
หมายเลข  45761
อ่าน  1,065

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๖



~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำจริงทั้งหมด เพื่ออนุเคราะห์ให้คนได้เข้าใจความถูกต้อง เพราะเหตุว่า ความเห็นถูกต้อง สำคัญที่สุดในแต่ละชาติ ถ้าเห็นผิดไปแล้ว เมื่อไหร่จะสำนึก เมื่อไหร่จะกลับตัว เมื่อไหร่จะว่าง่ายว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมวินัย เพื่อความสุขของประชาชนของผู้ฟังทั้งหมด ไม่ได้ประสงค์ร้ายเลย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ได้ต้องการอะไรจากใครเลยทั้งสิ้น เพียงแต่ให้เข้าใจให้ถูกต้อง จากการตรัสรู้ของพระองค์ซึ่งเป็นประโยชน์กับคนทั้งโลกถ้าเขาเข้าใจถูก

~ กัลยาณมิตร คือ เป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ ไม่ว่าใครจะไม่ชอบ ใครจะชัง ใครจะเห็นอย่างไรก็ตาม แต่หยุดยั้งการที่จะกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะเหตุว่า เป็นการระลึกถึงคุณและเป็นการบูชาคุณทุกคำพูดที่กล่าวถึงความจริงที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

~ ขอให้มีความมั่นคงว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นประโยชน์กับทุกคนในทุกชาติด้วย ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับความเข้าใจพระธรรม

~ ทำความดีทุกอย่างตามกำลัง เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ด้วยการศึกษาอย่างละเอียด อย่างรอบคอบ ไม่ประมาท ไม่ผิวเผิน เพราะผิด ง่ายมาก

~ ยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และเมื่อเกิดมาแล้วทุกคนต้องตาย แต่ก่อนตายควรที่จะได้เป็นคนดี ถ้าเข้าใจธรรม เป็นคนดีขึ้นแน่นอน ในชีวิตนี้สิ่งที่สะสมสืบต่อที่ประเสริฐอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกที่จะนำไปสู่คุณความดีทั้งปวง

~ สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง จะทำสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลไหม? ถ้ารู้ว่ากรรมที่เป็นอกุศลจะให้ผลอย่างไร จะทำสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลไหม? แต่ถ้าไม่รู้ว่าอกุศลจะให้ผลอย่างไร ก็กล้าที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีต่อไป

~ ไม่เว้นโอกาสที่จะเป็นกุศล เพราะปัญญาเห็นคุณของกุศล ถ้าขณะใดกุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล ประมาทแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญา ขณะนั้นปัญญาต่างหาก ที่ทำให้เจริญกุศลทุกประการ ที่เป็นสัพพสัมภารภาวนา (เจริญกุศลทุกประการ)

~ ถ้ามีความเข้าใจถูกแล้ว กาย ถูกไหม วาจา ถูกไหม คิดทำแต่สิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่าร้ายใคร ไม่ประทุษร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร เพราะปัญญาเห็นโทษของธรรม (สิ่งที่มีจริง) ฝ่ายที่ไม่ดี

~ ถ้าเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนตั้งแต่ต้นแล้วจะเข้าใจธรรมได้อย่างไร

~ ก่อนอื่นต้องชัดเจน ว่า ไม่มีเรา จึงจะสามารถฟังธรรมต่อไปแล้วก็เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราจริงๆ และธรรม ก็คือ ทุกสิ่งที่มี เกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

~ ต้องสามารถเข้าใจขึ้นๆ จนเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดอีกต่อไป ไม่ไปมีสำนักปฏิบัติ ไม่ไปบอกให้นั่งให้นอน ให้อยู่อย่างนั้น ทำอย่างนี้ คิดอย่างโน้น บอกได้อย่างไร บอกแล้วรู้อะไร นอกจากผิด ยังเป็นเราทั้งหมดที่ทำ

~ ใครทำอกุศลกรรม สงสารไหม? เริ่มเห็นใจว่า วันหนึ่งกรรมนั้นต้องให้ผล อย่างที่เรารู้เหตุการณ์ต่างๆ มีคนถูกทำร้ายบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย จะไปเจ็บแทนก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า กรรมทำให้เกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามกรรม

~ ศึกษาธรรมต้องละเอียด เพราะเหตุว่า เป็นธรรม ธรรมจะไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใดเลย ไม่ว่าอกุศลเกิดขึ้นกับใครเมื่อไหร่ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล และถ้ากุศลเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นเปลี่ยนให้เป็นอกุศล ก็ไม่ได้

~ ถ้าความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น ความไม่ดีคืออกุศลก็เกิดไม่ได้ สะสมกุศลไปชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ที่กุศลเกิด หนทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย โดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา ก็เพิ่มการที่จะฟังธรรมเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่มีคำอื่นที่จะทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

~ ทุกคนมีโทษมาก มีข้อที่ควรตำหนิมาก แต่ผู้ที่จะตำหนิและชี้โทษ ไม่มีใครที่สามารถจะทำได้มากเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วพิจารณา ก็ย่อมเห็นโทษของกิเลส ซึ่งทุกคนยังมีอยู่มากทีเดียว

~ มีพระธรรมเท่านั้นที่เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) เราจึงเริ่มเห็นคุณของพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งที่แท้จริงที่จะทำให้เราได้เกิดปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะว่าสิ่งอื่นพึ่งจริงๆ ไม่ได้เลย และสมบัติที่มีมากก็สูญหายกันไปได้ แต่ว่าความดีด้วยความเข้าใจธรรม จะติดตามไปได้ เมื่อฟังอีกก็เข้าใจได้เร็วแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นๆ ได้

~ ที่ว่ามีทุกข์มากนั้น ก็เพราะมีความเห็นผิดยึดว่าเป็นตัวตน ถ้าไม่มีความเห็นผิดยึดว่าเป็นตัวตนแล้ว ก็จะละคลายทุกข์ลงไปมากทีเดียว ทุกข์ทั้งหลายจะละคลายเบาบางลงได้เมื่อกิเลสดับไปตามลำดับ เมื่อกิเลสยังไม่ดับสิ้นไป การเกิดก็ย่อมยังมีประมาณนับไม่ได้ ตราบใดที่ยังเกิด ตราบนั้นก็ยังมีทุกข์

~ เรื่องความโกรธกับความไม่โกรธนั้น ถ้าสะสมปัญญามา ก็จะรู้ว่า “ไม่โกรธดีกว่า” แต่ถ้าไม่ได้สะสมปัญญามา ก็คิดว่าต้องโกรธต้องโกรธตอบ แต่จะให้คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าไม่โกรธดีกว่าโกรธ ฉะนั้น จึงต้องพิจารณาให้เห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล แล้วอบรมเจริญกุศลเพิ่ม มากขึ้น

~ ไม่มีเขา ไม่มีเรา แล้วไปนั่งโกรธใคร?

~ อย่างไรทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้น อยู่ไปเพื่ออะไร อาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น วันนี้ทำอะไรเท่าที่ยังอยู่?




ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๕



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 2 เม.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Jans
วันที่ 2 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 2 เม.ย. 2566

ทุกคำที่ให้มา จักสิกขาจนเข้าใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว น้อมรับไปในธัมมา อาจารย์สุจินต์ตรง มุ่งดำรงพุทธศาสนา เปี่ยมล้นด้วยเมตตา อีกกรุณาเกินประมาณ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 2 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 3 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
mon-pat
วันที่ 3 เม.ย. 2566

ต้องสามารถเข้าใจขึ้นๆ จนเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดอีกต่อไป

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Lai
วันที่ 8 เม.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ