Thai-Hindi 18 February 2023

 
prinwut
วันที่  19 ก.พ. 2566
หมายเลข  45588
อ่าน  379

Thai-Hindi 18 Feb 2023


- ไม่ใช่ว่าจะจำชื่อแต่หมายความว่า คุณอาช่าเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่าอะไร (ตอนนี้มีเสียง)

- นี่หรือเข้าใจ เข้าใจว่ามีเสียง เข้าใจว่าไม่มีเราหรือเปล่า

- ไม่มีเราแต่มีอะไร (ถ้าไม่ใช่อาช่าก็มีจิต เจตสิก รูป)

- เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเป็นโอกาสที่จะทบทวนให้ไม่ลืม ไม่ใช่ไปถึงแล้วตอนไหน ชื่ออะไรเรื่องอะไร นั่นเป็นเรื่อง “อยากจะรู้เรื่อง” แต่ว่าตามความเป็นจริงคือ ไม่ว่าขณะไหนเวลาที่มีการสนทนา ความรู้ความเข้าใจ ต้องไม่ลืมว่า เข้าใจว่า “ไม่มีเรา” แต่มีจิต มีเจตสิก มีรูป เดี๋ยวนี้เป็นจิตอะไร (ถ้าถามว่าอะไรเป็นความจริงก็ต้องมีทั้งสาม)

- ไม่ได้ถามว่าอะไรคือความจริง ถามว่าเดี๋ยวนี้ “มีอะไร” (มีเสียง)

- ถูกต้องมีเสียง กำลังหลับมีเสียงไหม กำลังหลับมีจิตไหม เป็นจิตประเภทไหน (เป็นภวังคจิต) ภวังคจิตคืออะไร (เป็นความจริงชนิดหนึ่ง ตามที่รู้ว่ามีจิตตลอด ไม่มีตอนไหนที่ไม่มีจิต เป็นจิตที่ทำหน้าที่ดำรงชีวิต) เป็นเรื่องจังเลยใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นหลับสามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม จิตต้องเกิดขึ้นรู้อารมณ์ใช่ไหม แต่ขณะที่หลับมีจิตแต่อารมณ์ไม่ปรากฏใช่ไหม เพราะฉะนั้นแสดงว่า มีจิตที่เกิดดับรู้อารมณ์แต่อารมณ์ไม่ปรากฏใช่ไหม

- ขณะไหนบ้างที่มีจิตแต่จิตนั้นมีอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ (ภวังค์ ปฏิสนธิ เพราะรู้อารมณ์เดียวกัน และมโนทวาราวัชชนเพราะอารมณ์ไม่ปรากฏ) ได้หรือ? ในเมื่อเป็นมโนทวาราวัชชนไม่ใช่มโนทวารแต่เป็นอาวัชชนจิต (ไม่แน่ใจ)

- นี่แสดงว่า ธรรมลึกซึ้งมากแม้แต่เราเข้าใจแต่ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และแสดงว่า ถ้าเป็นภวังคจิตดำรงภพชาติไปเรื่อยๆ จะไม่มีการรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดเลย

- การศึกษาพระธรรมไม่ใช่ให้ศึกษาชื่อ จำชื่อแต่ชีวิตจริงแสดงว่า เริ่มเข้าใจชีวิตจริงๆ ตามที่ได้ศึกษาพระธรรมหรือยัง

- แม้แต่คำว่า จิต ได้ยินชื่อ ได้ยินว่าเป็นสภาพรู้แต่ยังไม่รู้ถึงความละเอียดของธาตุรู้หรือสภาพรู้ที่เป็นจิตซึ่งมีขณะนี้ทุกวันทุกขณะ

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาอย่างนี้ จะรู้จักสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม

พูดถึงมโนทวาราวัชชนจิต จำชื่อได้แต่ไม่รู้ว่า ขณะนี้มีหรือเปล่า

- ขณะนี้มีจิตมั้ย มีจิตกี่ประเภท (มี ๑ ประเภท) อะไร ๑? (ทีแรกตอบว่าเห็น แต่พยายามถามต่อว่าเป็นจิตประเภทไหน) ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เขาตอบว่าเห็น ถูกต้องและเราก็ถามเขาอีกต่อไปให้เขาคิด เขาจะได้ระลึกได้ว่า เขาไปจำมาและความเข้าใจของเขาแค่ไหน ไม่บอกใครเลยแต่ว่าถามให้เขาระลึกได้ (คำตอบคือเห็น)

- ขณะที่เห็นเป็น ๑ ขณะจิตใช่ไหม ก่อนเห็นมีจิตไหม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ว่า ก่อนเห็นก็มีจิตแต่ไม่ใช่จิตที่เห็น เพราะฉะนั้นก่อนจิตเห็นเป็นจิตอะไร (เป็นอาวัชชนจิต) หมายความถึงอะไร (ก่อนจิตเห็นต้องมีจิตหนึ่งที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น) ไม่ใช่ (หมายถึงมีอะไรมากระทบ) ไม่ได้หมายความว่า รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นอาวัชชนจิตถ้าเป็นจักขุทวารวิถีจิตก็หมายความว่าเป็น “จักขุทวาราวัชชนจิต” ที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบทางตาเพราะกระทบจักขุปสาท

- จักขุทวาราวัชชนจิตรู้อย่างนี้หรือเปล่า (จักขุทวาราวัชชนรู้ว่าอารมณ์อะไรกำลังกระทบปสาทรูป) เพราะฉะนั้นจักขุทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์ไหม รู้อารมณ์อะไร (สี) เห็นหรือเปล่า (ไม่เห็น) เป็นภวังค์หรือเปล่า (ไม่) ต่างกันอย่างไร (ภวังค์ไม่ได้รู้อารมณ์ในชีวิตประจำวัน) เป็นขณะแรกที่เริ่มรู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีภวังค์ไหม แล้วมีจักขุทวาราวัชชนไหม จักขุทวาราวัชชนจิต “เห็น” ไหม (ไม่) ถูกต้อง นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี ไม่ใช่ไปจำชื่อ

- เพราะฉะนั้น “ภวังค์” ไม่รู้สิ่งที่กระทบที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอารมณ์ของภวังค์ซึ่งไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์กระทบและมีจิตซึ่งเริ่มรู้ว่า มีอารมณ์กระทบเริ่มเป็น “วิถีจิต”

- เพราะฉะนั้นวิถีจิตคือจิตที่รู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์

- โลภมูลจิตเป็นวิถีจิตหรือเปล่า (เป็นวิถีจิต) ปัญญาความเข้าใจเป็นวิถีจิตรึเปล่า (เป็น) เป็นวิถีจิตเมื่อไหร่ (ตอนที่คิด) อย่างนี้เราไม่ต้องการให้เขาไปเรื่องอื่นเลย ให้เขาเข้าใจทีละขณะ ทีละธรรม ที่ละ ๑ เพราะฉะนั้นปัญญาเจตสิกไม่ใช่จิตแต่ปัญญาที่เกิดกับจิตขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหน

- ทีละคำ ทีละข้อ เราไม่ต้องบอกอะไรเขาเลย (คำตอบยังอยู่ที่เดิมว่าเป็นคิด) ถูกต้อง ปัญญาไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิกแต่ปัญญาเกิดกับจิตประเภทไหน (คำตอบคือคิด)

- ปัญญาเกิดกับจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตได้ไหม เห็นไหมต้องเข้าใจทีละเรื่อง ทีละคำ ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้เราไม่ไปเรื่องอื่นเลย ให้เขาเข้าใจจริงๆ ถึงสิ่งที่มีจริงและตอนนี้กำลังมีด้วย

- ถามให้เขาคิดเขาจะได้ระลึกได้ว่าจำได้แค่ไหน ที่เขาจำไว้เขาเข้าใจแค่ไหน ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นประโยชน์กับเขาถ้าเราไปอธิบาย (ให้ท่านอาจารย์ถามใหม่อีกครั้ง)

- ปัญญาไม่ใช่จิต ปัญญาเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตประเภทไหน (วิถีจิต)

- ปัญญาเกิดกับจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตได้ไหม ปฏิสนธิจิตหลากหลายมาก เป็นงูก็มี เป็นช้างก็มี เป็นคนก็มี เป็นเทวดาก็มี เพราะฉะนั้นปัญญาเกิดกับภวังคจิตได้ไหม (ตามที่ท่านอาจารย์อธิบายว่าปฏิสนธิเป็นของกรรมที่ต่างกัน จะเกิดเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับกรรมนั้น พิจาณาตรงนั้นแล้วก็แน่นอนต้องมีปฏิสนธิและภวังค์ที่มีปัญญาประกอบด้วย)

- เห็นไหม ถ้าเราไม่ถามเขาจะคิดไหมถ้าเขาลืมเขาก็คิดเองเขาก็ตอบว่า “ไม่ได้” แต่นั้นไม่ใช่การเข้าใจธรรมเป็นการจำชื่อ แต่เขาต้องรู้ตามความเป็นจริง เข้าใจตามความเป็นจริง เรากำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้นว่า ไม่ใช่เราเลยสักขณะเดียวแต่เป็นจิตประเภทต่างๆ

- ภวังคจิตของงูมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า ภวังคจิตของท่านพระสารีบุตรมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า (ไม่แน่ใจ)

- งูมีปัญญาเจตสิกเกิดกับภวังคจิตหรือเปล่า (ไม่มี) ถามถึงของพระสารีบุตรด้วย (ไม่มั่นใจ น่าจะมี) ถ้าพระสารีบุตรไม่มีปัญญาขณะที่เกิด เวลาที่เห็น ได้ยิน ฟังคำของพระพุทธเจ้าจะเอาปัญญานั้นมาจากไหน (ถ้าอย่างนั้นต้องมีปัญญา)

- นี่เป็นเหตุที่เราไม่ตามคำและคิดว่าเข้าใจ แต่ทุกคำกล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงละเอียดอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาจริงๆ ที่เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย

- ถ้าเข้าใจแต่ชื่อ เข้าใจแต่เรื่อง แต่ไม่ได้เข้าใจความจริงแม้ในขั้นฟังที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จะมีประโยชน์ไหม

- ศึกษาธรรม ขณะนี้เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้ถูกต้อง เข้าใจแล้วจะลืมไหม (ไม่ลืม) ไม่ลืมแล้วอยู่ไหน (สะสม) อยู่ในจิตทุกขณะที่เกิดดับสืบต่อ

- กุศลและอกุศลทุกประเภททุกขณะที่ดับแล้วสะสมอยู่ในจิตที่เป็นกุศลและอกุศลแล้วนั่นเองเพราะฉะนั้นกุศลจิตและอกุศลจิตที่เกิด ดับแล้วสะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ทำให้แต่ละคนต่างกันไปทุกขณะจิต

- ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณอาคิ่ล ไม่มีคุณมานิช ไม่มีคุณราชิตหรืออะไรเลยแต่ธรรมทั้งหมดต้องเป็นไปตามความเป็นจริงที่เป็นธรรม

- เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ไม่มีใครเลยแต่เราเรียกคุณอาคิ่ล คุณอาช่าและต่างกันมากเพราะว่าสะสมมาต่างกัน เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจทุกคนเป็นธรรมทั้งหมด

- คนไม่ดีสะสมมาที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่เขาเลยแต่ว่าเป็นธรรมที่เกิดจากการสะสมมามีกำลังจนทำให้ประพฤติทางกาย วาจา ใจ ที่ไม่ดี


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 19 ก.พ. 2566

- เดี๋ยวนี้ท่านพระเทวทัตอยู่ที่ไหน (อยู่ในนรก) อยู่ในนรกเพราะกรรมหนึ่งที่ได้ทำทำให้ตกนรกใช่ไหม นอกจากเทวทัตมีคนอื่นอีกที่อยู่ในนรกอเวจีหรือเปล่า (มีเยอะ) มาจากไหน ไปได้อย่างไร (เป็นผลของอกุศลกรรม)

- เพราะฉะนั้นทุกคนจะไปนรกอเวจีได้มั้ย เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือ “ความเข้าใจถูก” เพราะเหตุว่าในนรกเป็นผลของกรรม ๑ ที่ทำให้ไปสู่อเวจี แล้วในอเวจีมีอะไรบ้าง

- อเวจีมีจิตไหม จิตอะไร (มีวิบาก) แล้วมีเห็นมีได้ยินมั้ย เหมือนอย่างนี้ไหม (เหมือนที่เห็นอยู่ตอนนี้) ต่างกับโลกมนุษย์อย่างไร (ถ้าเกิดในนรกไม่มีโอกาสเข้าใจธรรม)

- แล้วคนที่อยู่ในโลกมนุษย์ที่เข้าไม่มีโอกาสเข้าใจธรรมต่างกับในอเวจีมั้ย ถ้าคนนั้นอยู่ในอเวจีไม่มีโอกาสเข้าใจธรรมแต่คนที่อยู่ในโลกนี้แล้วไม่มีโอกาสฟังธรรมต่างกันอย่างไรระหว่างสองคนนี้ (ในนัยเห็นได้ยินไม่มีความต่างกัน) ต่างสิคะ เพราะเหตุว่าทำไมเป็นนรกอเวจี ทำไมเป็นมนุษยโลก

- (ต่างกันตรงกุศลจิต อกุศลจิต) ใครอยากเกิดในอเวจีบ้าง

- มนุษย์ สวรรค์ นรก ต่างกันอย่างไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเข้าใจ ธรรมละเอียดลึกซึ้งไม่ใช่จำว่า เราสนทนากันถึงไหนแล้ว เรื่องอะไร ประกอบด้วยเจตสิกอะไร รูปอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น เดี๋ยวนี้เป็นธรรมลืมหรือเปล่า ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะฉะนั้นสามารถที่จะรู้ได้ว่าทำไมเกิดเป็นมุษย์ เกิดเป็นเทวดา เป็นเทพและเกิดในนรกต่างกันเพราะอะไร มิฉะนั้นก็ไม่มีมนุษย์ ไม่มีเทพ ไม่มีนรก

- (เข้าใจแล้วว่า เกิดในอเวจี เกิดในสวรรค์ ไม่เหมือนกับตอนนี้) ต่างกันตรงไหน (ต่างกันตรงที่ในนรกอเวจีเป็นผลของอกุศลกรรมเพราะฉะนั้นการที่เห็น ได้ยิน ลิ้มรสต่างๆ จะเป็นอารมณ์ที่ไม่ดีเป็นอนิฏฐารมณ์ จะไม่มีการได้เห๋น ได้ยินสัมผัสทางกาย การลิ้มรสที่เป็นอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ ส่วนในวรรค์ก็ตรงกันข้ามเพราะเป็นผลของกุศลกรรมเพราะฉะนั้นก็เป็นผลดีก็จะมีมากกว่าเมื่อเทียบกับมนุษย์ มนุษย์เมื่อเทียบกับนรกก็ดีกว่า)

- อะไรเป็นเหตุให้ต่างกัน (กรรมที่ต่างกัน) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นเหตุให้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดในนรก ในสวรรค์ (ถ้าเกิดในนรกก็เป็นผลของอกุศลกรรม ถ้าเกิดในสวรรค์ก็เป็นผลของกุศลกรรม) แล้วมนุษย์กับสวรรค์ต่างกันอย่างไร (ความต่างคือกุศลคนละระดับกัน) ระดับไหน (เกิดในสวรรค์เป็นผลของกุศลที่มีกำลังมากกว่าที่เกิดในมนุษย์)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คุณอาคิ่ล คุณอาช่า คุณมานิช ฯลฯ ทุกคนนี้เดี๋ยวนี้เลย ไปนรกได้มั้ย ไปสวรรค์ได้มั้ย ไปมนุษย์ได้มั้ย (เป็นไปได้) เป็นคุณอาช่า เป็นคุณอาคิ่ล เป็นคุณมานิช ต่อไปได้ไหม (ไม่ได้)

- เงินทองทรัพย์สมบัติที่มีเดี๋ยวนี้สามารถจะทำให้ไม่ไปนรกได้มั้ย (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้ไปสวรรค์ ไปนรกและเกิดอีกเป็นมนุษย์ (กรรม) เพราะฉะนั้นอกุศลกรรมทำให้เป็นมนุษย์แต่เกิดในสวรรค์ได้ไหม (ไม่ได้) กุศลกรรมทำให้เกิดในนรก ทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ไหม (ไม่ได้) คุณอาช่าตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ได้) ตายแล้วไปไหน (ไม่มีใครทราบ)

- เพราะฉะนั้นรู้เหตุที่จะให้เกิดในอเวจี ในสวรรค์ ในมนุษย์แล้วใช่ไหม

- คุณอาช่าอยากเกิดที่ไหน (ที่ไหนที่มีโอกาสได้ฟังธรรม) เลือกไม่ได้แต่มีเหตุที่เหมาะที่ได้เป็นกรรมจึงทำให้เกิดในที่นั้นๆ

- ถ้าไม่เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้เลย เกิดอีกจะเข้าใจธรรมได้มั้ย (ไม่สามารถพูดได้เพราะอาจจะมีเหตุปัจจัยให้ได้ฟังในชาติต่อไปและเป็นปัจจัยให้เข้าใจได้) แต่ถ้ามีความเข้าใจมากเดี๋ยวนี้ มีเหตุปัจจัยที่จะให้ได้ฟังและเข้าใจขึ้นอีกไหม

- กรรมอะไรที่จะทำให้เกิดพร้อมกับปัญญา (ผลของกุศลกรรม) เท่านั้นหรือ? (ตอบไม่ได้)

- คนนึงไม่เข้าใจธรรมเลย ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมอะไร (เป็นผลของกุศลกรรม) แล้วมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม (ไม่มี) แล้วคนที่เข้าใจธรรมแล้วก็ปฏิสนธิจิตจะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยไหม (ถ้าเข้าใจปฏิสนธิจิตเกิดกับปัญญา) เมื่อเป็นผลของกรรมที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยเท่านั้น

- เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากต้องเข้าใจจริงๆ ว่า แต่ละ ๑ ขณะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ

- คุณอาคิ่ลเข้าใจธรรม คุณอาช่าเข้าใจธรรม คุณสุคินเข้าใจธรรมจะเกิดในอบายภูมิได้ไหม (ได้) ประมาทได้ไหมว่าจะไม่เกิด (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันดับกิเลสที่ทำให้ไม่เข้าใจความจริงของธรรมจึงติดข้องว่า เป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้น จึงจะไม่เกิดในอบายภูมิอีกต่อไป เพราะอะไร (เพราะระดับความเข้าใจและกิเลสน้อยลง) เพราะถ้าเป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้เป็นผู้ที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นปัญญาระดับพระโสดาบันไม่ละเมิดศีล ๕ ไม่ทำผิดศีล ๕ ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ

- เกิดในอเวจีมีปัญจทวาราวัชชนจิตไหม (มี) แล้วพอปัญจทวาราวัชชนจิตดับ จิตอะไรเกิดต่อ (ถ้ายกตัวอย่างเป็นจักขุทวาราวัชชนหลังจากนั้นต้องเกิดจิตเห็น) เพราะฉะนั้นจิตไหนเป็นวิถีจิต (ทั้ง ๒) จิตไหนเป็นวิถีจิตแรก (อาวัชชน)

- เพราะฉะนั้นวิถีจิตแรกมีกี่ดวง (อาวัชชนมีทางปัญจทวารและมโนทวาร) เป็นสิ่งที่ดีมากที่ไม่ลืมว่า วิถีจิตแรกทางปัญจทวารมี ๑ วิถีจิตแรกทางมโนทวารมี ๑ จึงเป็นจิตที่ทำอาวัชชนกิจ ๒ ห้าทางเป็นหนึ่งคือ ปัญจทวาราวัชชนทำกิจได้ทุกทางทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ปัญจทวาราวัชชนจิตทำอาวัชชนกิจทางมโนทวารได้ไหม (ไม่ได้)

- มโนทวาราวัชชนจิตทำอาวัชชนกิจทางปัญจทวารได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้นอกจากเรียนเรื่องจิตแล้วยังต้องเรียนเรื่องกิจของจิตแล้วรู้ว่า จิตมีมากแต่มี ๑๔ กิจเพราะฉะนั้นจิตอะไรทำกิจอะไร กิจนี้มีจิตที่ทำได้กี่ประเภทกี่ดวง

- เพราะฉะนั้นมีเรา มีสัตว์ มีบุคคลไหม (ไม่) มีแต่สภาพที่เป็นจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นทำกิจการงานต่างๆ เดี๋ยวนี้ด้วยใช่ไหม

- เดี๋ยวนี้มีภวังคจิตมั้ย (มี) มีอาวัชชนกิจมั้ย (มี) มีปฏิสนธิจิตมั้ย (ไม่) เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตมี ๑ ขณะเท่านั้นแต่จากนั้นผลของกรรมเป็น “ภวังค์” ดำรงภพชาติเพื่อที่จะรับผลขอลกรรมต่อไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

- เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่งวิถีจิตคืออะไร (จิตที่รู้อารมณ์ทาง ๕ ทวารหรือทางใจนั่นคือ วิถีจิต) เพราะฉะนั้นอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอารมณ์ของภวังคจิตหรือเปล่า (ไม่) แล้ววิถีจิตสามารถรู้อารมณ์ของภวังค์ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะกิจต่างกัน) เพราะว่าอารมณ์ของภวังค์ไม่ได้ปรากฏแล้วจะเป็นอารมณ์ของวิถีจิตได้อย่างไร

- สำหรับวันนี้ก็คงไม่มีข้อสงสัยในเรื่องปฏิสนธิจิต ภวังคจิต เป็นปฏิสันธิกิจ ภวังคกิจ และอาวัชชนกิจทางปัญจทวารและทางมโนทวาร เพราะฉะนั้นทางตาเวลาที่ปัญจทวาราวัชชนจิตดับแล้วจิตเห็นเกิดขึ้น ทางหูปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นดับแล้วได้ยินเกิดขึ้นก็เป็นที่ๆ เรากำลังเรียนเรื่องจิตถึงกี่กิจคราวหน้าเราจะต่อคงไม่ลืม

- เพราะฉะนั้นขณะนี้เองเป็นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ

- ชื่อทุกคำที่ได้ยินเป็นธรรมเดี๋ยวนี้จนกว่าจะค่อยๆ เห็นว่า ไม่มีเรา เป็นแต่ธรรมแต่ละ ๑ มั่นคงรึยังว่าไม่มีเราแต่มีธรรม ไม่มีโลก ไม่มีสุนัข ไม่มีคน ไม่มีอะไรเลยแต่มีธรรม

- เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อรู้ความจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมดตามความเป็นจริง เพื่อให้เริ่มเข้าใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตเป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

- ยินดีด้วยในกุศลของทุกคนที่เริ่มเข้าใจขึ้นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 19 ก.พ. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.พ. 2566

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Selaruck
วันที่ 19 ก.พ. 2566

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลทุกประการของน้องตู่ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Junya
วันที่ 20 ก.พ. 2566

ยินดียิ่งในกุศลวิริยะ และขอบพระคุณเป็นอย่างมากค่ะคุณตู่

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
siraya
วันที่ 20 ก.พ. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนากุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 11 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ