Thai-Hindi 04 February 2023

 
prinwut
วันที่  4 ก.พ. 2566
หมายเลข  45531
อ่าน  512

Thai-Hindi 04 February 2023


- เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ให้เขากล่าวถึงวิถีจิตที่กำลังเห็น เริ่มตั้งแต่ไหน

- เรากำลังจะให้คุณอาช่าทบทวนเป็นความเข้าใจของเขาเอง เราพูดเรื่องเห็นเรื่องได้ยินมาตลอดแต่ขณะนี้เรากำลังพูดให้เขาเข้าใจเรื่อง “กิจของจิต” เพราะว่าต้องเริ่มที่ตัวเขาที่จะบอกเราว่าขณะนี้มีเห็นแต่เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเห็นมีจิตอะไรทำกิจอะไร

- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ให้เขาจำและให้เขาบอกเราตามที่เขาจำ แต่ให้เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ที่มีและให้ค่อยๆ เข้าใจทุกคำที่เราพูดว่า ก่อนเห็นมีจิตอะไรทีละอย่างทีละนิดทีละหน่อย เตือนความจำให้ไม่ลืมว่า ขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ให้เขาไปจำว่า มีจิตอะไรบ้าง ทำกิจอะไร ไม่ใช่อย่างนั้นแต่ให้เขาเริ่มรู้จักตัวจริงของธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นก่อนเห็นมีเห็นไหม

- ไม่ใช่ให้เขาจำแล้วตอบแต่ให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ต่างกันไหม

- ก่อนเห็นมีจิตไหม เตือนความเข้าใจให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่จำ ต้องไม่ลืมมิฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสรู้จักสิ่งที่กำลังมีตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ความจริง

- เพราะฉะนั้นต้องรู้จุดประสงค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพทุธเจ้าตรัสให้เข้าใจความลึกซึ้งเราสามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ไหมจุดประสงค์ไม่ใช่ให้จำชื่อจำคำแต่จุดประสงค์คือให้เริ่มรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- กำลังเห็นจริงๆ แล้วเราพูดเรื่องเห็นทุกครั้ง หลายครั้งที่เราพูดถึงเริ่มรู้จักไหมว่า เราฟังธรรมเรื่องเห็นทำไม

- เพราะฉะนั้นทบทวน ทบทวน คือ “พิจารณา” เราฟังเรื่องเห็นทำไม (เพื่อที่เข้าใจตามความเป็นจริงของเห็นที่กำลังมีอยู่)

- ตามความเป็นจริงของเห็นที่กำลังมีคืออย่างไร (เท่าที่เข้าใจว่า เห็นคือเวลานี้มีจริงและเกิดและกำลังรู้ เห็นกำลังมีและรู้สิ่งที่เห็นเห็นอยู่)

- ฟังเพื่อรู้ เห็นเกิดแน่นอน เห็นดับแน่นอนใช่ไหม (ใช่)

- เขาสามารถที่จะรู้เห็นที่เกิดดับเดี๋ยวนี้ได้ไหม (เข้าใจตามเท่าที่เข้าใจ แต่ถ้าถามว่ารู้เห็นเกิด ยังไม่รู้)

- ความจริงต้องเป็นความจริง ถ้าเข้าใจเห็นมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจะรู้เห็นที่เกิดและดับได้ไหม (ถ้าไม่ฟังเรื่อยๆ และเจริญความเข้าใจขั้นฟังเรื่อยๆ ก็ไม่มีวันรู้จริง)

- นี่คือการศึกษาเห็นซึ่งเป็นธรรมไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องอื่นเลย เพราะเหตุว่า กำลังเห็น เริ่มเข้าใจเห็น รู้ว่าเห็นเป็นอย่างนี้เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น

- เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมที่สามารถเกิดขึ้นรู้ว่า เป็นสิ่งที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็น เราใช้คำว่า “จิต” เพราะเหตุว่า เป็นสภาพธรรมที่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างแท้จริง

- เห็นเกิดขึ้นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) นี่คือกิจหน้าที่ของธาตุที่เกิดขึ้นแล้วทำกิจเห็น

- ก่อนเห็นมีเห็นไหม เห็นเกิดแล้วต้องดับไปใช่ไหม เห็นจะอยู่ต่อไปทำกิจอื่นๆ ได้ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นกิจหนึ่งเท่านั้นของธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น

- ฟังเรื่องเห็นบ่อยๆ อย่างนี้ เบื่อเรื่องเห็นรึยัง (ไม่เคยเบื่อเพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงอยู่ตลอด) เพราะเหตุว่า เห็นอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เคยรู้จักเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ลักษณะจริงๆ ของเห็นแสดงให้คนอื่นสามารถรู้ตามได้แต่ต้องเข้าใจทีละหนึ่งธรรม

- กำลังนอนหลับจิตที่หลับเห็นได้ไหม (ไม่ได้) นี่เป็นการเข้าใจว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไม่เหลือเลย “สุญญตา” ไม่กลับมาอีกเลย

- เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้เป็นเราเห็นรึเปล่า (ไม่) ไม่แต่ตราบใดที่ไม่รู้เห็นที่เกิดแล้วดับก็ยังเป็นเราเห็นใช่ไหม (ใช่)

- เพราะฉะนั้นขณะที่เห็น ไม่รู้ว่าเห็นเกิดดับจึงเป็นเราเห็น ขณะนั้นไม่รู้ความจริงใช่ไหม สภาพธรรมที่ไม่รู้ความจริงเป็นคุณอาช่ารึเปล่า (นั่นก็ไม่ใช่เป็นอาช่า) แล้วเป็นอะไร (ท่านอาจารย์ถามถึงสภาพที่ไม่รู้ใช่ไหม)

- ถูกต้องเราต้องพูดถึงทีละหนึ่งเกิดแล้วดับ ไม่รู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ ไม่รู้มีจริงๆ เป็นคุณอาช่าไม่รู้รึเปล่า (การไม่รู้เป็นสิ่งที่มีจริง)

- คุณอาช่ารู้ไหมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งนั้นว่าอะไรที่จะให้ทุกคนรู้ความหมายว่า“ไม่รู้” มีจริงๆ เป็นอะไร (อวิชชา)

- อวิชชาถูกต้อง เพราะฉะนั้นอวิชชามีมากไหม (จากธรรมทุกอย่างเยอะที่สุดคือ อวิชชา ในชีวิตประจำวันเยอะมาก เยอะที่สุด)

- นานเท่าไหร่ที่มีอวิชชามากๆ อย่างนี้ มีอวิชชามากๆ ๆ นี่เป็นเหตุที่เราต้องรู้ความจริง อวิชชาเกิดขึ้นทำกิจของอวิชชารึเปล่า ทำกิจอะไร (อวิชชาทำกิจไม่รู้สิ่งที่มีจริงตอนนั้น) อวิชชาเกิดขึ้นทำกิจไม่รู้

- จิตทำกิจไม่รู้ได้ไหม (ไม่ได้) เรากำลังฟังเรื่องธรรมคือสิ่งที่มีจริงทำกิจทั้งหมด

- สภาพรู้ที่เกิดขึ้นทุกอย่างต้องทำกิจของสภาพนั้นๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะเรียนเฉพาะเรื่องกิจของจิตเท่านั้น

- โมหะ “ความไม่รู้” อวิชชาทำกิจของจิตได้ไหม โลภะทำกิจของจิตได้ไหม โทสะทำกิจของอวิชชาได้ไหม นี่คือธรรมไม่ใช่เราแต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัพพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง เพราะไม่รู้ทุกอย่างเป็นเราหมด

- เพราะฉะนั้นก่อนจิตเห็นมีจิตอะไรไหม (มี) จำได้ไหม ชื่ออะไร ทำกิจอะไร (จำได้ คือ จักขุทวาราวัชชนจิต)

- โลภะทำกิจอาวัชชนะได้ไหม (ไม่ได้) เริ่มเข้าใจธรรมละเอียดขึ้นใช่ไหม

- จิตที่ทำอาวัชชนกิจมีกี่ดวงหรือกี่ประเภท (มี ๕ กับ ๑) ดีมากเลย เพราะฉะนั้นปัญจทวาราวัชชนะเป็น ๑ จิตที่เกิดขึ้นทำอาวัชชนะทางตาเป็นจักขุทวาราวัชชนะ ถ้าทางหูเป็นโสตทวาราวัชชนะแต่เป็นจิตเดียวที่ทำกิจได้ ๕ ทาง

- จักขุวิญญาณเป็นชาติอะไร (วิบาก) มีกี่ดวง (๒ ดวง) รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เป็นวิบากประเภทไหนที่เห็น (กุศล) รู้ได้อย่างไรว่าเป็นกุศลวิบาก (เราประมาทเพราะเป็นการคิดคาดคะเนเอง) ทั้งหมดประมาท

- ต้องเป็นความเข้าใจของเขาเอง ไม่ใช่ความเข้าใจของเราให้เขาคิดตามไม่ใช่ แต่ต้องให้คิดไตร่ตรอง ที่ว่าประมาททั้งหมดก็เพราะเหตุว่าเป็นความคิดของเรา เพราะฉะนั้นประมาทคือ“เป็นความคิดของเราเอง” คิดยังไงก็ยังเป็นความประมาทเพราะคิดว่า สามารถคิดเองได้

- ต้องเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง จิตเกิดขึ้นเห็น ๑ ขณะเป็นผลของกรรม จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศลกรรม จิตเกิดขึ้นเป็นผลของอกุศลเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ

- จักขุวิญญาณกุศลวิบากเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ๑ ขณะแล้วดับ และกำลังเห็นรู้ได้ไหมว่าเป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นไม่สามารถจะรู้ได้เลย ๑ ขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก

- สิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดคือ เป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น

- ขณะยังไม่เห็นยังไม่รู้ว่า จะเห็นอะไรแต่กรรมทำให้เห็นเกิดขึ้นแล้ว เห็นสิ่งที่น่าพอใจเพียง ๑ขณะจิตที่เป็นผลของกรรมที่ทำให้เห็น

- กรรมเป็นสภาพที่ปกปิดไม่รู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้เป็นผลของกรรมอะไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 4 ก.พ. 2566

- แต่ว่าเราต้องพูดถึงความลึกซึ้งของสภาพธรรมทีละคำ มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงความลึกซึ้งที่จะละความเป็นตัวตนได้

- เราจะให้เขาเข้าใจต้องถามเขาให้เขาคิด ต้องอดทน ถ้าทุกคนชวนกันมาฟังธรรมแล้วก็ฟังแล้วเข้าใจเรื่องราวแต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เช่น เห็น ก็ไม่มีประโยชน์อะไร (ถ้าไม่มีท่านอาจารย์ก็เป็นอย่างนี้)

- เพราะฉะนั้นเราต้องกลับมาหาความลึกซึ้งเพื่อที่จะรู้ความจริงว่าลึกซึ้งจนกระทั่งสามารถละความหวังและความต้องการได้

- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นผลของกรรมซึ่งไม่รู้ว่ากรรมอะไร ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด ไม่รู้จะให้ผลเมื่อไหร่ ไม่รู้จะให้ผลเป็นอะไรก็แล้วแต่ว่าเป็นผลของกรรมอะไร

- การฟังธรรม การเข้าใจคำที่ได้ฟังเป็นกุศลแน่นอน เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นกุศลนี้จะให้ผลเมื่อไหร่รู้ไหม จะให้ผลเป็นอะไรรู้ไหม เพราะว่าการฟังธรรมเข้าใจเป็นผลของกรรม แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้สามารถสะสมเป็นอุปนิสัยที่จะทำให้ฟังอีกเข้าใจอีกได้ คนละกรรม คนละปัจจัย

- พูดถึงธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดสามารถทำให้เข้าใจธรรมอย่างอื่นได้ด้วย พูดเรื่องกิจของจิตทำให้เข้าใจจิตต่างๆ ซึ่งเกิดเพราะปัจจัยต่างๆ จึงทำกิจต่างๆ

- ถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้จะเข้าใจอะไร แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เข้าใจสามารถเข้าใจสิ่งอื่นด้วย แสดงให้เห็นว่า ฟังเท่านี้สามารถเข้าใจได้ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้ต่างกันไปแต่ละขณะตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ละความเห็นผิดว่าเป็นเราได้ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น

- มีหนทางอื่นไหมที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีและค่อยๆ ละความไม่รู้ (ไม่) เพราะฉะนั้นนี่เป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ถ้าไม่มีกรรมจะมีเห็น จะมีได้ยิน จะมีได้กลิ่น จะมีลิ้มรส จะมีรู้สิ่งที่กระทบปรากฏทางกายไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเกิดมาจะต้องเป็นไปตามกรรมส่วนหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นเกิดมาต้องรู้ว่าเป็นผลของกรรม ๑ เพราะฉะนั้นกรรมทำให้เกิดเป็นกิจหนึ่งของจิตซึ่งเป็นผลของกรรม

- กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดดับแล้ว กรรมก็ทำให้จิตเกิดสืบต่อดำรงความเป็นบุคคลนั้นจนหมดสิ้นกรรม เมื่อกรรมทำให้เกิดและกรรมทำให้ดำรงอยู่เพื่อที่จะเห็นเห็นแล้วจบผลของกรรมที่จะต้องเป็นภวังค์ยังจุติไม่ได้ (ขอทวนใหม่) หมายความว่า กรรมทำให้เกิด เกิดแล้วยังทำให้ดำรงความเป็นบุคคลนั้น แล้วก็เห็นเห็นแล้วก็ไม่เห็นเป็นภวังค์ต่อไปดำรงภพต่อไป

- เห็นแล้วเกิดกิเลสไหม (เกิด) เพราะฉะนั้นกิเลสเป็นเหตุให้เกิดกรรม กรรมนั้นจะให้ผลเมื่อไหร่ใครจะรู้ กรรมในชาตินี้ให้ผลในชาตินี้ก็ได้ กรรมที่ทำในชาตินี้ไม่ให้ผลในชาตินี้ให้ผลในชาติต่อไปก็ได้กรรมที่ทำแล้วไม่ให้ผลในชาตินี้ในชาติต่อไปแต่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปจากชาติหน้าก็ได้

- มีใครรู้บ้างว่า กรรมที่ทำให้เกิดเป็นคนนี้จะหมดสิ้นเมื่อไหร่ ถ้ากรรมยังไม่หมดสิ้นก็ต้องเห็นต่อไปได้ยินต่อไป เกิดกิเลสต่อไป ทำกรรมต่อไป

- กรรมที่ทำให้เป็นคนนี้จะจบหมดสิ้นเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ได้) เย็นนี้ได้ไหม (ได้) พรุ่งนีัได้ไหม (ได้) ใครรู้กรรมเป็นสภาพที่ปกปิดแล้วผลของกรรมที่จะเกิดก็เป็นสภาพที่ปกปิด จากคนนี้ไม่เหลือความเป็นคุณอาคิลเลยเป็นอะไรต่อไปใครรู้

- เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเป็นคนอื่นต่อไป คนนี้ทำอะไรไม่สูญหายเลยจะติดตามไปแม้แต่ไม่ใช่คนนี้อีกต่อไปเป็นคนอื่นก็มาจากคนนี้ในชาตินี้

- เพราะฉะนั้นกรรมทำกิจให้เกิด “วิบาก” คือผลของกรรม ถ้าไม่มีกรรมจะมีผลของกรรมได้ไหม เพราะฉะนั้นชาตินี้กึ่งหนึ่งเป็นผลของกรรมอีกกึ่งหนึ่งเป็นกรรมที่จะให้ผลต่อไป

- ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่า ไม่มีใครเลยนอกจากมีธรรมที่เป็นเหตุและเป็นผล

- สภาพรู้เกิดขึ้นรู้และทำกิจของตนๆ สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจเห็น สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจได้ยิน สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจติดข้อง สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจไม่พอใจ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์แต่เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด

- เพราะถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ก็รู้ว่า อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ ซึ่งจะทำให้ละคลายความไม่ดีมากขึ้นเพราะเห็นโทษของความไม่ดี เพราะฉะนั้นก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เตรียมพร้อมสำหรับเป็นคนในชาติต่อไป ถ้ามีอะไรสงสัยตอนนี้ขอเชิญ

- (เข้าใจว่ากรรมที่ทำตอนนี้กุศลหรืออกุศล เราไม่ทราบว่าจะให้ผลในชาตินี้ ในชาติต่อไป หรือในอนาคตชาติไหนไม่มีใครทราบได้ ตรงนี้พระพุทธองค์ไม่ทราบหรือ ไม่ใช่หมายถึงเฉพาะพระพุทธองค์แต่หมายรวมถึงพระอริยบุคคลรู้ได้ไหม) ถ้าไม่พูดถึงคนแต่เป็นปัญญาได้ไหม (ได้)

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของพระองค์หรือแม้ผลในชาตินี้ได้รับมาจากกรรมที่ได้กระทำไว้ในครั้งไหน

- กำลังเห็นไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ควรรู้หรือควรรู้ว่าชาติก่อนเป็นใคร เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ กรรมเป็นสภาพที่ปกปิดไม่มีใครรู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ ให้ผลอย่างไร เป็นผลของกรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นผลของกรรมอะไรในชาติไหน

- สภาพจำมีจริงๆ สภาพจำเกิดขึ้นต้องจำ ไม่จำไม่ได้แต่ต้องไม่ลืมสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้เป็นธรรม สภาพจำทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากจำ

- สภาพคิดมีจริงไหม บังคับให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ไหม สภาพคิดคิดถึงเมื่อวานนี้ได้ไหม สภาพคิดคิดถึงเมื่อปีก่อนได้ไหม สภาพคิดคิดถึงตอนเป็นเด็กได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นบังคับให้คิดได้ไหม (ไม่ได้) ต้องตามเหตุตามปัจจัยซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกอย่างไว้โดยละเอียดซึ่งต้องมั่นคงในความจริงว่า ไม่ใช่เรา

- คุณอาช่าอยากลืมอะไรบ้างไหมที่ไม่ดีๆ (อยากแต่รู้ว่าทำไม่ได้) เพราะจำ ห้ามจำไม่ให้จำไม่ได้ ถ้าลืมก็ห้ามลืมไม่ได้ เป็นธรรมแต่ละ ๑

- เพราะฉะนั้นอะไรเป็นประโยชน์ที่สุดกว่าอย่างอื่นทั้งหมด (เข้าใจความจริง) เพราะฉะนั้นจำสิ่งที่มีจริงรู้สิ่งที่มีจริงเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นจำทำไม แต่บังคับความจริงไม่ได้เลย เป็นอนัตตา อยากลืมก็ไม่ลืม อยากจำก็ไม่จำ

- แต่ถ้าเข้าใจความจริงไม่ต้องเดือดร้อนเลย จะลืมหรือจะจำก็เป็นธรรมเพราะฉะนั้นเข้าใจความจริงละเอียดขึ้นชัดขึ้นจะทำให้เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์จริงๆ และสิ่งใดไม่มีประโยชน์เลย

- ถ้ารู้ความจริงก็จะมีแต่ประโยชน์เพิ่มขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 4 ก.พ. 2566

- เข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างไม่ใช่เราเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยจะไม่เดือดร้อนเลย

- บังคับไม่ได้แต่เริ่มค่อยๆ สะสมความเห็นที่ถูกต้องได้เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นประโยชน์ของความเข้าใจและค่อยๆ เข้าใจเป็นประโยชน์สูงสุด

- แต่ทุกอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่ประมาทที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เบื่อที่จะเข้าใจธรรมหรือยัง (ไม่เบื่อ) เพราะฉะนั้นเวลายังมีถ้ามีอะไรยังสงสัยที่จะทำให้เข้าใจขึ้นขอเชิญได้ทุกเรื่องทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด

- (เห็นเป็นผลของกรรม เห็นดับแล้วก็มีสัมปฏิจฉันนะเป็นผลของกรรมเดียวกันหรือ) สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับเพราะรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

- เพียงเห็นเกิดขึ้นขณะเดียวไม่เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะโทสะ ต้องมีขณะอื่นสืบต่อจากนั้นเพราะจิตเกิดดับเร็วมากต้องมีขณะต่อรู้อารมณ์เดียวเพราะกิจหน้าที่ของเขาคือ รับรู้อารมณ์ต่อจากจิตเห็น

- เพราะฉะนั้นกรรมเดียวกันนั้นทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะยังไม่พอต้องมีการรู้อารมณ์นั้นอีกเป็นผลของกรรมเดียวกันเพราะอารมณ์นั้นยังไม่ดับ

- เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจะรู้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมเป็นสภาพที่ปกปิดและผลของกรรมเป็นสภาพที่ปกปิด สัมปฏิจฉันนะเป็นผลของกรรมเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากจิตเห็นเป็นสภาพที่ปกปิด

- เพราะฉะนั้นอารมณ์นั้นเกิดตั้งแต่เริ่มกระทบภวังค์จนกระทั่งสิ้นสุดกระแสภวังค์แล้วก็อาวัชชนะแล้วจิตเห็น สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ต่อไปจนกว่าอารมณ์นั้นดับ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อรู้อารมณ์เดียวกับอารมณ์ที่เกิดต่อที่อารมณ์ที่ยังไม่ดับจนกว่าอารมณ์นั้นจะดับ

- เมื่อสัมปฏิจฉันนะดับแล้วยังไม่พอที่จะทำให้เกิดกุศลและอกุศลเพราะว่า ยังมีอีก ๑ ขณะต่อจากสัมปฏิจฉันนะที่จะรู้อารมณ์นั้นขึ้นอีก ๑ ขณะเป็นสันตีรณ

- กรรมทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นดับ กรรมทำให้สัมปฏิจฉันนะรับรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับต่อดับ กรรมทำให้สันตีรณะรู้อารมณ์นั้นอีก อารมณ์นั้นยังไม่ดับ หมดหน้าที่- ของกรรมที่จะให้จิต ๓ ขณะนี้เกิดขึ้นที่จะทำหน้าที่ของกรรม

- ต่อไปไม่ใช่หน้าที่ของกรรมแต่จิตที่ดับแล้วเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดขึ้น ไม่มีสักขณะเดียวที่จิตที่ดับแล้วจะไม่เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นต่อไปนอกจากจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น

- จิตที่เกิดต่อจากสันตีรณไม่ใช่ผลของกรรมแต่รู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับ เมื่อจิตนี้ไม่ใช่ผลของกรรมไม่ใช่วิบากจิต ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต จึงเป็นกิริยาจิตเพราะสามารถรู้อารมณ์ที่เป็นอารมณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจได้

- เมื่อจิตนี้ไม่ใช่ผลของกรรม ไม่ใช่กุศล อกุศล จิตนี้ซึ่งรู้อารมณ์นั้น “เปิดทาง” ให้กุศลหรืออกุศลที่สะสมอยุ่ในใจพร้อมที่จะเกิด

- กุศลอกุศลที่สะสมมาในใจพร้อมที่จะเกิดทันทีที่มีการรู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิและภวังค์ เพราะฉะนั้น โวฏฐัพพนกิจคือมโนทวาราวัชชนจิต หรือเราจะใช้ว่า จิตที่เกิดก่อนกุศลหรืออกุศลกระทำทางให้เป็นกุศลหรืออกุศลได้เพราะหมดหน้าที่ของวิบากแล้ว จิตนั้นทำทางปัญจทวารใช้คำว่า “โวฏฐัพพนกิจ” แต่หมายความว่าเป็น “ชวนปฏิปาทกมนสิการ” เปิดทางเป็นทางให้กุศลและอกุศลซึ่งเป็นชวนเกิดได้

- จิตนี้ต้องเกิดก่อนกุศลหรืออกุศลที่ทำชวนกิจทุกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่า “ชวนปฏิปาทกมนสิการ” ทุกครั้งที่จิตนี้ดับกุศลจิตหรืออกุศลจิตของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็เกิด แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่มีกุศลจิตและอกุศลจิตก็เป็นกิริยาจิต

- เพราะฉะนั้นคราวต่อไปเราจะทบทวนและพูดถึงจิตตอนนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันให้รู้ได้ แต่ต้องเข้าใจความละเอียด เดี๋ยวนี้มีภวังค์ไหม ถ้าฟังด้วยความเข้าใจไม่ลืมแต่ถ้าฟังด้วยความไม่เข้าใจคิดไม่ถึง

- เพราะฉะนั้นทบทวนเดี๋ยวนี้มีภวังค์ไหม (มี) ถูกต้องเพราะว่าเป็นภวังค์ตลอดเวลาจนกว่าจะมีอารมณ์กระทบทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางขณะนั้นไม่ใช่ภวังค์แต่เมื่อหมดวิถีของ ๖ ทางนั้นแล้วก็ต้องเป็นภวังค์ต่อไป

- เพราะฉะนั้นชีวิตก็คือธรรมซึ่งเป็นกระแสของชีวิตเป็นภวังค์จนกว่าจะมีอารมณ์กระทบทางหนึ่งทางใด เห็นบ้างแล้วก็ภวังค์ ได้ยินบ้างแล้วก็ภวังค์ คิดนึกแล้วก็ภวังค์ ส่วนใหญ่ก็จะมีภวังค์เวลาที่หลับสนิทนานที่จะปรากฏให้รู้ได้ แต่ทุกขณะที่เห็นดับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ดับก็ต้องเป็นภวังค์ดำรงภพชาติไว้จนกว่าจะสิ้นสุด

- เริ่มรู้จักชีวิตรึยัง เพราะฉะนั้นชีวิตก็คือ ธรรมทั้งหมดทุกขณะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเป็นอนัตตา มีความทุกข์น้อยลงไหม เฉพาะทุกข์ที่เกิดจากความไม่รู้จะน้อยลง แต่ความไม่รู้มากเหลือเกินจนกว่าจะรู้ทุกข์จริงๆ ซึ่งเป็นอริยสัจธรรม ฟังแค่นี้แต่ถ้าไตร่ตรองต่อไปจะรู้จักว่าอริยสัจธรรมคืออะไร

- เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอ่านจากตำราพระไตรปิฎกจะมีความเข้าใจขึ้นใช่ไหม

- แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมทุกคำในพระไตรปิฎกก็เป็นแต่เพียงคำและเข้าใจว่าทุกคำจริงแต่ไม่รู้จักตัวธรรมที่เป็นธรรมจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะมีประโยชน์ไหม (ไม่)

- เพราะฉะนั้นก็รู้ประโยชน์ที่แท้จริงคือความเห็นที่ถูกต้อง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 4 ก.พ. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยินดีในกุศลของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 4 ก.พ. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และยินดีในความดีคุณprinwut ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Junya
วันที่ 4 ก.พ. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และยินดีในกุศลของคุณตู่มากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 4 ก.พ. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ฃยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ครับ

ได้เห็นพี่ตู่ขณะถอดเทปในวันนี้ ซาบซึ้งในการทำประโยชน์ของพี่ตู่มากๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 5 ก.พ. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 11 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ