ฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอ_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  16 เม.ย. 2565
หมายเลข  43005
อ่าน  853

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



" ฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอ "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕



~
ความจริง ต้องมีแต่ละขณะเดี๋ยวนี้แน่นอน มิฉะนั้น ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ยาก ทุกคำที่ฟังแล้ว ต้องหมายความถึง เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ถ้าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อนุเคราะห์ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง จะมีประโยชน์อะไร? ฟังคำของใครก็ได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจถูก จะรู้ว่า คำนั้นมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จะมีประโยชน์อะไร

~
จะรู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสามารถเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี

~
ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้และตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตคืออะไร? ไม่มีอะไรเหลือเลย จากเกิดแล้วก็เห็นแล้วก็ได้ยินและทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ตาย ไม่เหลืออะไรเลยทั้งสิ้น แล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน?

~
ประโยชน์ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนและสามารถที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติในโลกมนุษย์ ตรัสรู้ธรรมในโลกมนุษย์ ทรงแสดงธรรมให้คนที่อยู่ ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังตามที่เขาได้สะสมมา ที่จะรู้ว่าประโยชน์สูงสุดในชีวิต ไม่ว่าจะจากโลกนี้ไปในวันไหน ก็คือ มีโอกาสได้รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

~
ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร ถ้าเป็นคำที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ก็จะรู้ได้ว่าคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าไม่มีการรู้ความจริง ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้

~
การนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ต้องเป็นขณะที่เริ่มเข้าใจธรรม และเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะนับถือในพระคุณที่สูงสุดได้

~
ต้องไม่ลืมว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจ และแสดงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วเพื่อประโยชน์ที่จะให้คนอื่นๆ ได้เข้าใจธรรมถูกต้องด้วย

~
การเข้าใจพระธรรม เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่พระธรรมลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ต้องไตร่ตรอง ต้องเข้าใจถูก ทุกคำต้องสอดคล้องกัน เพราะเป็นความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ นี่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ที่ได้ฟังเข้าใจและสำหรับคนที่มีโอกาสได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~
ทุกคนเกิดแล้วต้องจากโลกนี้ไป แต่ความเข้าใจที่มีก่อนจะจากโลกนี้ สามารถที่จะช่วยคนอื่นให้เขาได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดในชีวิตของเขาในสังสารวัฏฏ์ด้วย

~
ถ้ามีการเห็นประโยชน์จริงๆ เข้าใจประโยชน์จริงๆ จะศึกษาด้วยความลึกซึ้ง ด้วยความละเอียด เพื่อที่จะดำรงความจริงนี้ไว้ ให้คนอื่นได้รู้จักด้วย ต่อๆ ไป

~ คว
ามลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริงๆ คือ แม้มีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้

~
ธรรม มีอยู่ทุกขณะจิตที่จะต้องเข้าใจได้ เมื่อได้ไตร่ตรองแล้ว และมีความอดทน มีความเห็นประโยชน์ มีความตรงต่อความจริง ทั้งหมดเป็นบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ถ้าปราศจากบารมี ไม่มีทางที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้เลย

~
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่างเปล่าจากประโยชน์ ไม่ใช่ไร้ประโยชน์ แต่ตั้งแต่เริ่มฟัง เข้าใจความจริงระดับขั้นฟัง เป็นปริยัติ

ความเข้าใจอย่างมั่นคงในคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ จะสามารถทำให้ละความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังมี และค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามที่ได้เข้าใจเพิ่มขึ้น นั่นคือ ปฏิปัตติ

ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงที่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ได้ตามลำดับ

~
ขณะนี้ เป็นธรรมที่ยังไม่รู้ แต่จะค่อยๆ รู้ขึ้นได้ เมื่อมีความเข้าใจในขั้นฟังแล้วเท่านั้น

~
ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในการที่ได้ฟังคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็จะไม่มีอะไรที่จะทำให้สามารถเข้าถึงความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามปกติเดี๋ยวนี้ได้

~
เมื่อเริ่มเข้าใจมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่มีจริง ก็จะทำให้เริ่มคิดถึง ระลึกถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ

~
ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงที่ได้ฟังแล้ว จะสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร?

~
ขณะนี้ก็ทำให้เข้าใจมั่นคงว่า ถ้าไม่มีการฟังและไม่มีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละขณะเดี๋ยวนี้ได้

~
ไม่มีใครไปทำให้เห็นเดี๋ยวนี้เกิด เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น เห็นจะเป็นใครได้ในเมื่อไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้น จะรู้จักความจริงของเห็น เมื่อได้ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคง ว่า สิ่งที่จะรู้ได้ ก็คือ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แม้แต่เห็น ก็สามารถที่จะรู้ได้ เพราะได้ฟังเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

~
ถ้าไม่เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น และทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ได้ยิน คิดนึก โกรธ ชัง ชอบต่างๆ เหล่านี้ ถ้าไม่เข้าใจเลย จะชื่อว่าเข้าใจธรรมหรือ?

~
รู้เหตุที่ทำให้สามารถเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ เดี๋ยวนี้ ว่า ต้องมีการฟังและเข้าใจมาก่อน การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จึงสามารถที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นได้ นี่คือ ความหมายของคำว่า ปฏิปัตติ เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เพียงเข้าใจเรื่องของสิ่งที่มี แต่เข้าใจลักษณะจริงๆ ตามที่ได้ฟังว่าไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย

~
ความเข้าใจ ไม่ใช่เรา ต้องมั่นคง เป็นธรรม พอได้ยินคำว่าธรรมก็รู้ว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นี่คือ การเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

~
เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว รู้ว่า ทุกคำของพระองค์เมื่อไตร่ตรองแล้วสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงได้ เมื่อเข้าใจความจริงแล้วก็รู้ว่า ความจริงนี้ เมื่อคนอื่นได้มีโอกาสฟัง ไตร่ตรอง ย่อมสามารถเข้าใจได้

~
การศึกษาให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมไม่ทำให้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนและเลือนหายไป และการที่จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์

~
ธรรม มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แต่ลึกซึ้งมาก ฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าจะค่อยๆ ละความไม่รู้ และจะละได้ ก็ด้วยการเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามลำดับขั้น

~
สิ่งที่ต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ คือ ทุกอย่างที่มีจริง ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นอนัตตา

~
ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะจริงๆ ของธรรม ก็ฟังต่อไปพิจารณาต่อไป ความเข้าใจนั้นเองจะค่อยๆ นำไปสู่การรู้ลักษณะของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่า ขณะที่เข้าใจ ไม่ใช่คุณอาคิล ไม่ใช่คุณอาช่า ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เข้าใจสิ่งที่มี ได้

~
การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ต้องรู้ทั้งหมด ไม่ใช่รู้บางอย่าง ทั้งหมดที่ปรากฏ ขณะนี้ที่เห็น ขณะนี้ที่ได้ยิน ขณะนี้ที่คิด ขณะนี้ที่จำ ขณะนี้ที่เข้าใจ ทั้งหมด ไม่ใช่เลือกจะรู้บางอย่างหรือมีตัวตนที่จะไปทำเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่มีความเข้าใจมั่นคงว่าสิ่งใดๆ ที่เกิดขณะนี้ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ทั้งวิชชา (ความรู้) และอวิชชา (ความไม่รู้)

~ ความไม่รู้ มีมาก ความเข้าใจผิด มีมาก เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทที่จะต้องฟังแล้วตรงต่อความจริงว่า ไม่มีเรา แต่ทั้งหมดเป็นธรรม

~
เดี๋ยวนี้ ธรรมมีจริงๆ กำลังปรากฏ ศึกษาหรือฟัง เพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

~ ถ้าเข้าใจผิดนิดเดียว ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นคำของตัวเองที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ต้องศึกษาทุกคำ ด้วยความเคารพ คือ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความลึกซึ้ง

~ ทุกๆ ครั้งที่เริ่มเข้าใจละเอียดขึ้น ขณะนั้น เป็นการค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้อง

~
รู้จักทุกอย่าง เพราะว่ามีการปรากฏให้เห็น มีเสียงที่ปรากฏให้ได้ยิน มีชอบปรากฏ มีไม่ชอบปรากฏ มีทุกอย่างปรากฏ แต่ถ้าไม่มีจิตที่เป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ไหม?

~
ต้องไตร่ตรองทุกคำ จิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์

~ ต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่ปรากฏทั้งหมด จิตเป็นใหญ่เป็นประธานเกิดขึ้นรู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่ปรากฏที่เป็นอารมณ์เท่านั้น

~ ต้องเข้าใจจริงๆ กว่าจะไถ่ถอนความเป็นเราได้ ต้องเข้าใจทุกคำ
"ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา" เป็นอนัตตาอย่างไร? เกิดเพราะมีปัจจัย แล้วอย่างไร ทำไมเป็นอนัตตา? เกิดแล้ว ปัจจัยทำให้เกิดแล้ว หมดหน้าที่ของปัจจัย สิ่งนั้นดับ ใครจะไปทำอะไรได้ เพราะฉะนั้น ที่ว่าเป็นอนัตตา เพราะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ใครจะไปเปลี่ยนได้ ต้องมีความเข้าใจมั่นคงละเอียดขึ้น

~ ให้เริ่มเข้าใจอย่างมั่นคง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ละขณะ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนั้นๆ ใคร ก็เปลี่ยนไม่ได้ ใครก็บังคับไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เป็นธรรมทั้งหมด

~
ความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรม มีมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะเข้าใจรู้ความจริงทุกอย่าง และทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรม

~ ตอนนี้ เข้าใจมั่นคงหรือยัง? ไม่ใช่คุณอาคิล ไม่ใช่คุณอาช่า ไม่ใช่คุณมธุ แต่เป็นสัญญา สภาพจำที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ว่า ไม่มีเรา จึงสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทีละเล็กทีละน้อยได้


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 16 เม.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 16 เม.ย. 2565

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนาจากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี ยินดีความความดีของ อ.คําปั่น และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 16 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 16 เม.ย. 2565

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เข้าใจ
วันที่ 16 เม.ย. 2565

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 16 เม.ย. 2565

ขอบพระคุณ และยินดีในความดี อ.คำปั่น ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sea
วันที่ 16 เม.ย. 2565

ให้เริ่มเข้าใจอย่างมั่นคง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ละขณะ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนั้นๆ ใคร ก็เปลี่ยนไม่ได้ ใครก็บังคับไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เป็นธรรมทั้งหมด


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Lai
วันที่ 16 เม.ย. 2565

กราบเท้า ท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพ และกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Naiyadee
วันที่ 17 เม.ย. 2565

สาธุ ค่ะ

~ อ่านแล้ว อ่านอีก บันทึกบ้าง ค่อยๆ เข้าใจบ้าง แต่ก็ตื้นเขินอย่าง อ.สุจินต์กล่าวไว้เสมอ เพราะคำสอนลึกซึ้งยากต่อควาทเข้าใจ จึงต้องใช้ความอดทน ติดตามฟัง อ.สุจินต์บรรยายพระธรรมเรื่อยๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 17 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
tim7755tim
วันที่ 17 เม.ย. 2565

ขอบพระคุณ กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 18 เม.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
tim7755tim
วันที่ 19 เม.ย. 2565

ขอนอบน้อมด้วยจิตที่บริสุทธิ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ