พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

จูฬสงคราม และ จูฬสังคามวัณณนา

  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 687

จูฬสงคราม

ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงคราม

[๑,๐๘๓] อันภิกษุผู้เข้าสงความเมื่อเข้าหาสงฆ์พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรง มีจิตเสมอด้วยผ้าเช็ดธุลี เข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง รู้จักการนั่งไม่เบียดภิกษุ ผู้เถระ ไม่ห้ามภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยอาสนะ. พึงนั่งอาสนะตามสมควร ไม่พึงพูด เรื่องต่างๆ ไม่พึงพูดเรื่องดิรัจฉานกถา พึงกล่าวธรรมเอง หรือพึงเชื้อเชิญ ภิกษุรูปอื่น ไม่พึงดูหมิ่นอริยดุษณีภาพ

อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว มีประสงค์จะวินิจฉัย อธิกรณ์ ไม่พึงถามถึงอุปัชฌาย์ ไม่พึงถามถึงอาจารย์ ไม่พึงถามถึงสัทธิวิหาริก ไม่พึงถามถึงอันเตวาสิก ไม่พึงถามถึงภิกษุปูนอุปัชฌาย์ ไม่พึงถามถึงภิกษุ ปูนอาจารย์ ไม่พึงถามถึงชาติ ไม่พึงถามถึงชื่อ ไม่พึงถามถึงโคตร ไม่พึง ถามถึงอาคม ไม่พึงถามถึงตระกูล ไม่พึงถามถึงชาติภูมิ เพราะเหตุไร เพราะ ความรักหรือความชังจะพึงมีในบุคคลนั้น เมื่อมีความรักหรือความชัง พึง ลำเอียงเพราะความชอบบ้าง พึงลำเอียงเพราะความชังบ้าง พึงลำเอียงเพราะ ความหลงบ้าง พึงลำเอียงเพราะความกลัวบ้าง

ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์

อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว มีประสงค์จะวินิจฉัยอธิ- กรณ์ พึงเป็นผู้หนักในสงฆ์ ไม่พึงเป็นผู้หนักในบุคคล พึงเป็นผู้หนักใน พระสัทธรรม ไม่พึงเป็นผู้หนักในอามิส พึงเป็นผู้ไปตามอำนาจแห่งคดี ไม่

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 688

พึงเป็นผู้เห็นแก่บริษัท พึงวินิจฉัยโดยกาลอันควร ไม่พึงวินิจฉัยโดยกาลไม่ ควร พึงวินิจฉัยด้วยคำจริง ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำไม่จริง พึงวินิจฉัยด้วยคำสุภาพ ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำหยาบ พึงวินิจฉัยด้วยคำประกอด้วยประโยชน์ ไม่พึงวินิจ- ฉัยด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พึงเป็นผู้มีเมตตาจิตวินิจฉัย ไม่พึงเป็น ผู้มุ่งร้ายวินิจฉัย ไม่พึงเป็นผู้กระซิบที่หู ไม่พึงคอยจับผิด ไม่พึงขยิบตา ไม่ พึงเลิกคิ้ว ไม่พึงชะเง้อศีรษะ ไม่พึงทำวิการแห่งมือ ไม่พึงแสดงปลายนิ้วมือ พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง พึงเป็นผู้รู้จักการนั่ง พึงนั่งบนอาสนะของตน ทอดตา ชั่วแอก เพ่งเนื้อความและไม่ลุกจากอาสนะไปข้างไหน ไม่พึงยังการวินิจฉัย ให้บกพร่อง ไม่พึงเสพทางผิด ไม่พึงพูดส่ายคำ พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วน ไม่ ผลุนผลันไม่ดุดัน เป็นผู้อดได้ต่อถ้อยคำ พงเป็นผู้มีเมตตาจิต คิดเอ็นดูเพื่อ ประโยชน์ พึงเป็นผู้มีกรุณา ขวนขวายเพื่อประโยชน์ พึงเป็นผู้ไม่พูดพล่อย เป็นผู้พูดมีที่สุด พึงเป็นผู้ไม่ผูกเวร ไม่ขัดเคือง พึงรู้จักตน พึงรู้จักผู้อื่น พึงสังเกตโจทก์ พึงสังเกตจำเลย พึงกำหนดรู้ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม พึงกำหนด รู้ผู้ถูกโจทไม่เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้โจทก์เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้ถูกโจท เป็นธรรม พึงกำหนดข้อความอันสองฝ่ายกล่าวมิให้ตกหล่น ไม่แซมข้อความ อันเขาไม่ได้กล่าว พึงจำบทพยัญชนะ อันเข้าประเด็นไว้เป็นอย่างดีสอบสวน จำเลย แล้วพึงปรับตามคำรับสารภาพ โจทก์หรือจำเลยประหม่าพึงพูดเอาใจ เป็นผู้ขลาด พึงพูดปลอบ เป็นผู้ดุ พึงห้ามเสีย เป็นผู้ไม่สะอาดพึงตัดเสีย เป็นผู้ตรง พึงประพฤติต่อด้วยความอ่อนโยน ไม่พึงถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ พึงวางตนเป็นกลาง ทั้งในธรรม ทั้งในบุคคล

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 689

ก็แล ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เมื่อวินิจฉัยอธิกรณ์ด้วยอาการ อย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา เป็นที่รักที่ชอบใจที่เคารพ ที่ สรรเสริญ แห่งสพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญู.

ว่าด้วยประโยชน์แห่งสูตรเป็นต้น

[๑,๐๘๔] สูตร เพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง ข้ออุปมา เพื่อ ประโยชน์แก่การชี้ความ เนื้อความ เพื่อประโยชน์ที่ให้เขาเข้าใจ การย้อนถาม เพื่อประโยชน์แก่ความดำรงอยู่ การขอโอกาส เพื่อประโยชน์แก่การโจท การโจท เพื่อประโยชน์แก่การให้จำเลยระลึกโทษ การให้ระลึก เพื่อประโยชน์ แก่ความเป็นผู้มีถ้อยคำอันจะพึงกล่าว ความเป็นผู้มีถ้อยคำอันจะพึงกล่าว เพื่อ ประโยชน์แก่การกังวล การกังวล เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัย การวินิจฉัย เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา การพิจารณา เพื่อประโยชน์แก่การถึงฐานะและ มิใช่ฐานะ การถึงฐานะและมิใช่ฐานะ เพื่อประโยชน์ข่มบุคคลผู้เก้อยาก เพื่อ ประโยชน์ยกย่องภิกษุมีศีลเป็นที่รัก สงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่การสอดส่องและ รับรอง บุคคลที่สงฆ์อนุมีติแล้ว ตั้งอยู่ในตำแหน่งผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ในตำแหน่ง ผู้ไม่แกล้งกล่าวให้ผิด.

ประโยชน์แห่งวินัยเป็นต้น

วินัยเพื่อประโยชน์แก่ความสำรวม ความสำรวมเพื่อประโยชน์แก่ ความไม่เดือดร้อน ความไม่เดือดร้อนเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์ ความ ปราโมทย์เพื่อประโยชน์แก่ความปีติ ความปีติเพื่อประโยชน์แก่ปัสสัทธิ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 690

ปัสสัทธิเพื่อประโยชน์แก่ความสุข ความสุขเพื่อประโยชน์แก่สมาธิ สมาธิเพื่อ ประโยชน์แก่ความรู้เห็นตามเป็นจริง ความรู้เห็นตามเป็นจริงเพื่อประโยชน์แก่ ความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายเพื่อประโยชน์แก่ความสำรอก ความสำรอก เพื่อประโยชน์แก่วิมุตติ วิมุตติเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติญาณทัสสนะ วิมุตติ- ญาณทัสสนะเพื่อประโยชน์แก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้ การกล่าววินัย มี อนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์ การปรึกษาวินัยมีอนุปาทาปรินิพพาน นั้นเป็นประโยชน์ เหตุมีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์ ความเงี่ยโสต สดับมีอนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์ คือ ความพ้นวิเศษแห่งจิต เพราะ ไม่ยึดมั่น.

อนุโยควัตร

[๑,๐๘๕] เธอจงพิจารณาวัตร คือ การซักถาม อนุโลมแก่สิกขาบท อันพระพุทธเจ้าผู้เฉียบแหลม มีพระปัญญา ทรง วางไว้ ตรัสไว้ดีแล้ว อย่าให้เสียคติที่เป็นไป ในสัมปรายภพ

ภิกษุใดไม่รู้ วัตถุ วิบัติ อาบัติ นิทาน คำต้น คำหลัง สิ่งที่ทำแล้ว และยัง ไม่ได้ทำโดยเสมอ และเป็นผู้ไม่เข้าใจอาการ ภิกษุผู้เช่นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไม่ควรเลือก

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 691

อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้กรรม อธิกรณ์ และไม่เข้าใจสมถะ เป็นผู้กำหนัดขัดเคือง และหลงย่อมลำเอียงเพราะกลัว เพราะหลง ไม่เข้าใจในสัญญัติ ไม่ฉลาดในการพินิจ เป็นผู้ได้พรรคพวก ไม่มีความละอาย มี กรรมดำ ไม่เอื้อเฟื้อ ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไม่ควรเลือก

ภิกษุใดรู้วัตถุ วิบัติ อาบัติ นิทาน คำต้น คำหลัง สิ่งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ โดยเสมอและเป็นผู้เข้าใจอาการ ภิกษุผู้เช่น นั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ควรเลือก

อนึ่ง ภิกษุใดรู้กรรม อธิกรณ์ และ เข้าใจสมถะ เป็นผู้ไม่กำหนัด ไม่ขัดเคือง และไม่หลง ไม่ลำเอียง เพราะกลัว เพราะ หลง เข้าใจในสัญญัติ ฉลาดในการพินิจ เป็นผู้ได้พรรคพวก มีความละอาย มีกรรม ขาว มีความเคารพ ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ควรเลือก

จูฬสงคราม จบ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 692

หัวข้อประจำเรื่อง

[๑,๐๘๖] มีจิตยำเกรง ๑ ถาม ๑ หนักในสงฆ์ มิใช่ในบุคคล ๑ สูตรเพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง ๑ วินัยเพื่ออนุเคราะห์ ๑ หัวข้อตามที่ กล่าวนี้มีอุเทศอย่างเดียวกัน ท่านจัดไว้ในจูฬสงครามแล.

จูฬสังคาม วัณณนา

วินิจฉัยในจูฬสงคราม

พึงทราบดังนี้:-

ประชุมสงฆ์เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยอธิกรณ์ เรียกว่าสงคราม ใน คำว่า ภิกษุผู้เข้าสงคราม. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นข้าศึกแก่ตน และเป็น ข้าศึกต่อพระศาสนา ย่อมประชุมกัน แสดงสัตถุศาสนา นอกธรรมนอกวินัย ในที่ประชุมสงฆ์นั้น เหมือนอย่างภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองไพศาลีฉะนั้น.

ภิกษุใด ย่ำยีลัทธิของภิกษุผู้เป็นข้าศึกเหล่านั้นเสีย เข้าในที่ประชุม สงฆ์นั้น เพื่อประโยชน์แก่การแสดงวาทะของตน วางอำนาจยังการวินิจฉัยให้ เป็นไป, ผู้นั้นชื่อว่าผู้เข้าสงคราม ประหนึ่งพระยสเถระฉะนั้น. ภิกษุผู้เข้า สงครามนั้น เมื่อเข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรงเข้าหาสงฆ์.

บทว่า นีจจิตฺเตน ได้แก่ ผู้ลดธงคือมานะลงเสีย มีจิตมีมานะอัน กำจัดเสียแล้ว.

บทว่า รโชหรณสเมน ได้แก่ มีจิตเสมอด้วยผ้าเช็ดเท้า, อธิบายว่า เมื่อเท้าเปื้อนหรือไม่เปื้อนอันบุคคลเช็ดอยู่ ความยินดีความยินร้าย ย่อมไม่มี

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 693

แก่ผ้าเช็ดเท้าฉันใด, พึงเป็นผู้มีจิตไม่ยินดีไม่ยินร้ายในอิฏฐารมณ์และ อนิฏฐารมณ์ฉันนั้น.

สองบทว่า ยถาปฏิรูเป อาสเน มีความว่า พึงรู้อาสนะตามที่สมควร นั่งในที่ซึ่งถึงแก่ตน ไม่หันหลังให้ภิกษุทั้งหลายผู้เถระ.

บทว่า อนานากถิเกน ได้แก่ ไม่กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีประโยชน์นั้นๆ ซึ่งมีประการต่างๆ.

บทว่า อติรจฺฉานกถิเกน ได้แก่ ไม่กล่าวติรัจฉานกถา มีเรื่อง พระราชาเป็นต้น ที่ได้เห็นก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้ทราบก็ดี.

หลายบทว่า สามํ วา ธมฺโม ภาสิตพฺโพ มีความว่า ถ้อยคำที่อิง เรื่องที่ควรและไม่ควร หรือที่อิงรูปารูปปริเฉท และลำดับแห่งสมถะ ลำดับ แห่งวิปัสสนา วัตรในการยืนและนั่งเป็นต้น ในที่ประชุมสงฆ์ ชื่อว่าธรรม. ธรรมเห็นปานนี้ พึงกล่าวเองก็ได้ เชิญภิกษุอื่นกล่าวก็ได้. ภิกษุใด สามารถ เพื่อกล่าวถ้อยคำเห็นปานนั้น ภิกษุนั้น อันตนพึงเชิญว่า ผู้มีอายุ ปัญหา เกิดขึ้นแล้วในท่ามกลางสงฆ์ ท่านพึงกล่าว.

หลายบทว่า อริโย วา ตุณฺหีภาโว นาติมญฺิตพฺโพ มีความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเมื่อนั่งนิ่ง หาได้นั่งอย่างพาลปุถุชนไม่ ย่อมฉวยกัมมัฏฐาน อย่างใดอย่างหนึ่งนั่ง, พระอริยเจ้าผู้มีการนิ่งเป็นปกติ ด้วยอำนาจทำกัมมัฏฐาน ไว้ในใจอย่างนี้ ชื่อว่ามีความนิ่งเป็นปกติ. พระอริยเจ้านั้น อันภิกษุผู้เข้า สงครามไม่พึงดูถูกว่า มีประโยชน์อะไรด้วยการร่ำเพียรในกัมมัฏฐาน. อธิบายว่า คนพึงฉวยกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่ตนนั่ง.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 694

สองบทว่า น อุปชฺฌาโย ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า ไม่ควรถามว่า อุปัชฌาย์ของท่านชื่อไร?. ในบททั้งปวง ก็นัยนี้แล.

บทว่า น ชาติ มีความว่า ไม่ควรถามถึงชาติอย่างนี้ว่า ท่านเป็น ชาติกษัตริย์หรือ? ท่านเป็นชาติพราหมณ์หรือ?

บทว่า น อาคโม มีความว่า ไม่ควรถามถึงปริยัติที่เรียน อย่างนี้ว่า ท่านกล่าวทีฆนิกายหรือ? ท่านกล่าวมัชฌิมนิกายหรือ?

สกุลและประเทศ พึงทราบด้วยอำนาจสกุลกษัตริย์เป็นต้น.

หลายบทว่า อาตฺรสฺส เปมํ วา โทโส วา มีความว่า ความรัก หรือความชังในบุคคลนั้น พึงมีด้วยอำนาจแห่งเหตุเหล่านั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.

สองบทว่า โน ปริสกปฺปิเยน มีความว่า ไม่พึงเป็นผู้เห็นแก่บริษัท คือคล้อยตามบริษัท; อธิบายว่า สิ่งใดชอบใจบริษัท สิ่งนั้นแลไม่พึงจงใจ คือหมายใจกล่าว.

สองบทว่า น หตฺถมุทฺธา ทสฺเสตพฺพา มีความว่า ไม่พึงทำวิการ แห่งมือ เพื่อหมายรู้ในข้อที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าว.

สองบทว่า อตฺถํ อนฺวิธิยนฺเตน มีความว่า พึงคอยกำหนดให้รู้ ตลอดซึ่งกาลวินิจฉัยเท่านั้น คือ พึงนั่งพิจารณาโดยรอบคอบอย่างนี้ สูตรนี้ อ้างได้ เราจักกล่าวสูตรนี้ ในวินิจฉัยนี้.

หลายบทว่า น จ อาสนา วุฏฺาตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงลุกจาก ที่นั่งเที่ยวไปในบริเวณที่ชุมนุม. เพราะว่า เมื่อพระวินัยธรลุก บริษัททั้งปวง ย่อมลุก.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 695

บทว่า น วีติหาตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงให้วินิจฉัยบกพร่อง.

สองบทว่า น กุมฺมคฺโค เสวิตพฺโพ มีความว่า ไม่พึงชี้อาบัติ.

สองบทว่า อสาหสิเกน ภวิตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงเป็นผู้ทำโดย ผลุนผลัน. อธิบายว่า ไม่พึงกล่าวถ้อยคำให้ผิดพลาดโดยความผลุนผลัน.

บทว่า วจนกฺขเมน มีความว่า พึงเป็นผู้มีปกติอดได้ซึ่งถ้อยคำที่ หยาบคาย.

บทว่า หิตปริสกฺกินา มีความว่า พึงเป็นผู้แสวงหาประโยชน์ คือ ขวนขวายเพื่อประโยชน์. ในบททั้ง ๒ มีอธิบายดังนี้ ว่า กรุณาและธรรมเป็น ส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา อันภิกษุผู้เข้าสงครามพึงให้เข้าไปตั้งไว้.

บทว่า อนุรุตเตน ได้แก่ ไม่พึงเป็นผู้กล่าวถ้อยคำหยาบคาย. อธิบายว่า ถ้อยคำที่ไม่ดี กล่าวคือถ้อยคำชวนวิวาท เรียกว่าถ้อยคำที่หยาบคาย, คำหยาบคายนั้น อันภิกษุผู้เข้าสงครามไม่ควรกล่าว.

สองบทว่า อตฺตา ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูตน อย่างนี้ว่า เราสามารถจะวินิจฉัย คือระงับอธิกรณ์หรือไม่หนอ? อธิบายว่า พึงรู้ประมาณตน.

สองบทว่า ปโร ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูผู้อื่นอย่างนี้ว่า บริษัทนี้ เป็นลัชชีหรือหนอ? อัน เราอาจจะให้ยินยอมหรือไม่?

สองบทว่า โจทโก ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูโจทก์ อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นโจทก์โดยธรรมหรือไม่หนอ?

สองบทว่า จุทิตโก ปริคฺคเทตพฺโพ มีความว่า พึงตรวจดูจำเลย อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นจำเลยโดยธรรมหรือไม่?

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 696

สองบทว่า อธมฺมโจทโก ปริคฺคเหตพฺโพ มีความว่า พึงรู้ ประมาณโจทก์นั้น. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้แล.

สองบทว่า วตฺตํ อหาเปนฺเตน มีความว่า ไม่พึงยังถ้อยคำอัน โจทก์และจำเลยกล่าวให้ตกหล่น.

สองบทว่า อวุตฺตํ อปฺปกาเสนฺเตน มีความว่า ไม่พึงแซมข้อ ความซึ่งมิได้เข้าประเด็น.

สองบทว่า เวโป ปหาเสตพฺโพ มีความว่า โจทก์หรือจำเลยเป็น ผู้อ่อน คือเป็นผู้โง่เขลา พึงช่วยเหลือ คือพึงปลุกใจให้อาจหาญว่า ท่านเป็น บุตรของสกุลมิใช่หรือ? แล้วชี้แจงธรรมเนียมในการซักถามแล้ว จับการซัก ถามแก่ผู้โง่เขลานั้น.

สองบทว่า ภิรุ อสฺสาเสตพฺโพ มีความว่า โจทก์หรือจำเลยใด เกิดความสะทกสะท้านขึ้น เพราะไม่เคยเข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์หรือท่ามกลางคณะ, ภิกษุเช่นนั้น อันภิกษุผู้ว่าอรรถคดีพึงพูดปลอบว่า ท่านอย่ากลัวเลย จงวางใจ ให้การเถิด, พวกเราจักเป็นผู้สนับสนุนท่าน ดังนี้ก็ได้ แล้วชี้แจงธรรมเนียม ในการซักถาม.

สองบทว่า จณฺโฑ นิเสเธตพฺโพ มีความว่า เป็นผู้ดุร้ายพึงรุก รานเสีย คือพึงกำหราบเสีย.

สองบทว่า อสุจิ วิภาเวตพฺโพ มีความว่า เป็นอลัชชี พึงประกาศ แล้วให้แสดงอาบัติเสีย.

สองบทว่า อุชุ มทฺทเวน มีความว่า ภิกษุใดเป็นผู้ตรง มีศีล เว้นจากความโกงทางกายเป็นต้น, ภิกษุนั้น อันผู้ว่าอรรถคดีพึงประพฤติต่อ ด้วยความอ่อนโยนเท่านั้น.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 697

ในคำว่า ธมฺเมสุ จ ปุคฺคเลสุ จ นี้ ภิกษุใด เป็นผู้หนักใน ธรรม มิได้เป็นผู้หนักในบุคคล, ภิกษุนี้แล พึงทราบว่า ผู้วางตนเป็นกลาง ทั้งในธรรมทั้งในบุคคล.

[ว่าด้วยประโยชน์แห่งสูตรเป็นอาทิ]

วินิจฉัยในคำว่า สุตฺตํ สํสนฺทนตฺถาย เป็นต้น พึงทราบดังนี้:-

ก็แต่ว่า ภิกษุผู้ว่าอรรถคดี ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจที่เคารพและที่นับถือ ของเพื่อนพรหมจารีอย่างนี้นั้น พึงทราบว่า ในบรรดาสูตรเป็นต้น ที่อ้างมา สูตรเพื่อประโยชน์แก่การเทียบเคียง คือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนอาบัติ และอนาบัติ.

สองบทว่า โอปมฺมํ นิทสฺสนตฺถาย มีความว่า ข้ออุปมาเพื่อ ประโยชน์แก่การชี้เนื้อความ.

สองบทว่า อตฺโถ วิญฺาปนตฺถาย มีความว่า เนื้อความเพื่อ ประโยชน์แก่การที่จะให้เข้าใจ. สองบทว่า ปฏิปุจฉา ปนตฺถาย มีความว่า การย้อนถามเพื่อ ประโยชน์แก่ความมั่นคงของบุคคล.

สองบทว่า โอกาสกมฺมํ โจทนตฺถาย มีความว่า (การขอโอกาส) เพื่อประโยชน์แก่การโจทด้วยวัตถุหรือด้วยอาบัติ.

สองบทว่า โจทนา สารณตฺถาย มีความว่า (การโจท) เพื่อ ประโยชน์แก่การที่จะให้จำเลยระลึกถึงโทษน้อยใหญ่.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 698

สองบทว่า สารณา สวจนียตฺถาย มีความว่า การที่ให้จำเลย ระลึกถึงโทษน้อยโทษใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นผู้มีถ้อยคำอันตนจะพึง ให้การ.

สองบทว่า สวจนียํ ปลิโพธตฺถาย มีความว่า ความเป็นผู้มีถ้อย คำอันตนจะพึงให้การ เพื่อประโยชน์แก่การกักไว้อย่างนี้ว่า ท่านอย่าก้าวออก ไปแม้ก้าวเดียวจากอาวาสนี้.

สองบทว่า ปลิโพโธ วินิจฺฉยตฺถาย มีความว่า (การกักไว้) เพื่อ ประโยชน์แก่การให้ตั้งวินิจฉัย.

สองบทว่า วินิจฺฉโย สนฺตีรณตฺถาย มีความว่า การวินิจฉัย เพื่อประโยชน์แก่การไตร่ตรอง คือ พิจารณาโทษและมิใช่โทษ.

การไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ที่จะหยั่งฐานะและอฐานะ คือ เพื่อ ประโยชน์ที่จะรู้อาบัติ อนาบัติ ครุกาบัติ ลหุกาบัติ.

สองบทว่า สงฺโฆ สมฺปริคฺคหสมฺปฏิจฺฉนตฺถาย มีความว่า สงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่การรับรองวินิจฉัย และเพื่อประโยชน์ที่จะรู้ว่าอธิกรณ์นั้นอัน ผู้ว่าอรรถคดี วินิจฉัยชอบหรือไม่ชอบ.

สองบทว่า ปจฺเจกฏฺายิโน อวิสํวาทกฏฺายิโน มีความว่า บุคคลเหล่านั้น ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งผู้เป็นใหญ่ โดยความเป็นอิสริยาธิบดี และในฐานะแห่งผู้ไม่แกล้งกล่าวให้ผิด อันสงฆ์ไม่พึงรุกราน.

[ว่าด้วยประโยชน์แห่งวินัยเป็นอาทิ]

บัดนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวคำว่า วินัยเพื่อประโยชน์แก่สังวร เป็น ต้น เพื่อแสดงเนื้อความ เพื่อปิดโอกาสแห่งถ้อยคำของชนทั้งหลาย ผู้มีปัญญา อ่อน ซึ่งจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ชื่อว่าวินัยจะมีประโยชน์อะไร.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 699

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วินโย สํวรตฺถาย มีความว่าวินัย บัญญัติแม้ทั้งสิ้น เพื่อประโยชน์แก่ความสำรวมกายทวารและวจีทวาร คือ เป็นอุปนิสัย อธิบายว่า เป็นปัจจัยแก่ศีล มีอาชีวปาริสุทธิศีลเป็นที่สุด. ใน บททั้งปวง ก็นัยนี้แล.

อีกอย่างหนึ่ง ในธรรมทั้งหลายมีความไม่เดือดร้อนเป็นต้น นี้ มีคำ อธิบายว่า ความไม่มีความเดือดร้อนแห่งจิต ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ได้กระทำ ไว้ และบาปที่มิได้กระทำไว้ ชื่อว่า ความไม่เดือดร้อน.

ปีติอย่างอ่อน ไม่รุนแรง ชื่อว่าปราโมทย์.

ปีติอย่างแรง มีกำลัง ชื่อว่าปีติ.

ความระงับความกระวนกระวายในกายและจิต ชื่อว่าปัสสัทธิ.

สุขทางกายทางจิต ชื่อว่าสุข.

จริงอยู่ สุขทั้ง ๒ อย่างนั้น. ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแห่งสมาธิ.

ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ชื่อว่าสมาธิ.

วิปัสสนาอย่างอ่อน ชื่อว่ายถาภูตญาณทัสสนะ. ยถาภูตญาณทัสสนะนี้ เป็นชื่อของญาณที่รู้ความเกิดและความเสื่อม.

จริงอยู่ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแห่งวิปัสสนา อย่างอ่อน.

วิปัสสนาอย่างแรง ซึ่งจัดเป็นชั้นยอด เป็นเหตุให้ถึงความปลีกตัวเสีย ชื่อว่านิพพิทา.

อริยมรรค ชื่อว่าวิราคะ

อรหัตผล ชื่อว่าวิมุตติ.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 700

จริงอยู่ อริยมรรคแม้ทั้ง ๔ อย่าง ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแห่งอรหัต.

ปัจจเวกขณญาณ ชื่อว่าวิมุตติญาณทัสสนะ.

สองบทว่า วิมุตฺติาณทสฺสนํ อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถาย มี ความว่า วิมุตติญาณทัสสนะ เพื่อประโยชน์แก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้. จริงอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะนั้น ชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้ เพราะเมื่อวิมุตติญาณทัสสนะอันโยคาพจรบรรลุโดยลำดับแล้ว กิเลสและกอง ทุกข์พึงดับสนิทแน่แท้ ฉะนี้แล.

สองบทว่า เอตทตฺถา กถา มีความว่า ธรรมดาว่าวินัยกถานี้ มี อนุปาทาปรินิพพานนั้นเป็นประโยชน์. ความพิจารณาวินัยนั่นแล ชื่อว่า มันตนา.

บทว่า อุปนิสา มีความว่า แม้ความเป็นธรรมเป็นปัจจัยสืบต่อกัน ไป เป็นต้นว่า วินัยเพื่อประโยชน์แก่สังวร นี้ ก็เพื่อประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพานนั้น. ความเงี่ยโสตลงพึงถ้อยคำที่เป็นปัจจัยสืบต่อกันไปนี้ ชื่อว่า ความเงี่ยโสตสดับ. ญาณใดเกิดขึ้นเพราะได้ฟังเนื้อความนี้ ญาณแม้นั้นก็เพื่อ ประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพานนั้น.

หลายบทว่า ยทิทํ อนุปาทา จิตฺตสฺส วิโมกฺโข มีความว่า ความพ้นพิเศษแห่งจิต เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ๔ กล่าวคืออรหัตผลนี้ ใด, ความพ้นพิเศษแห่งจิตแม้นั้น ก็เพื่อประโยชน์นี้ คือเพื่อประโยชน์แก่ อปัจจัยปรินิพพานนั่นแล.

[อนุโยควัตตคาถา]

บรรดาอนุโยควัตตคาถาทั้งหลาย คาถาต้นมีเนื้อความดังกล่าวแล้ว นั่นแล.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 701

ในคำว่า วตฺถุํ วิปตฺตึ อาปตฺตึ นิทานํ อาการอโกวิโท ปุพฺพาปรํ น ชานาติ พึงทำการเชื่อมบทว่า วตฺถํ เป็นต้น ด้วยบทว่า น ชานาติ. พึงทำการเชื่อมบทว่า อโกวิโท ด้วยบทว่า ส เวตาทิสโก นี้.

เพราะเหตุนั้น พึงทราบวาจาเครื่องประกอบในคำว่า วตฺถุํ เป็นต้น นี้ ดังต่อไปนี้:-

ภิกษุใด ไม่รู้จักวัตถุแห่งวิติกกมะมีปาราชิกเป็นต้น, ไม่รู้วิบัติ ๔ อย่าง, ไม่รู้อาบัติ ๗ อย่าง, ไม่รู้นิทานอย่างนี้ว่า สิกขาบทนี้ ทรงบัญญัติ แล้ว ในนครชื่อโน้น, ไม่รู้จักเบื้องต้นและเบื้องปลายว่า นี้เป็นคำต้น นี้เป็น คำหลัง, ไม่รู้จักกรรมที่ทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำว่า นี้ทำแล้ว นี้ยังมิได้ทำ.

ในบทว่า สเมน จ มีคำอธิบายว่า ไม่รู้จักกรรมที่ทำแล้วหรือยัง ได้ทำ ด้วยความไม่รู้เสมอ ของภิกษุไม่รู้เบื้องต้นและเบื้องปลายนั้นนั่นเอง. พึงทราบการเชื่อมกับบทว่า น ชานาติ อย่างนี้ก่อน.

ก็แลวินิจฉัยในคำว่า อาการอโกวิโท ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ พึงทราบดังนี้:-

บทว่า อาการอโกวิโท ได้แก่ ผู้ไม่เข้าใจเหตุและมิใช่เหตุ. ภิกษุ นี้ใด ไม่รู้วัตถุเป็นต้น และไม่เข้าใจอาการ, ภิกษุผู้เช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่ควรเลือก ด้วยประการฉะนี้.

พึงทำการเชื่อมบทแม้เหล่านี้ว่า กมฺมญฺจ อธิกรณญฺจ ด้วยบทว่า น ชานาติ นั่นแล.

ก็แลวาจาสำหรับประกอบ ในคำว่า กมฺมญฺจ เป็นต้นนั้น ดังต่อ ไปนี้:-

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 702

ภิกษุนี้ใด ไม่รู้จักกรรม และไม่รู้จักอธิกรณ์ เหมือนอย่างนั้นแล, ทั้งไม่เข้าใจสมถะ ๗ ประการด้วย. อนึ่ง ผู้กำหนัดแล้ว ขัดเคืองแล้ว และ หลงแล้ว เพราะกิเลสมีราคะเป็นต้น ย่อมลำเอียงเพราะกลัวด้วยความกลัว ย่อมลำเอียงเพราะเขลา ด้วยความงมงาย, อนึ่ง เพราะเหตุที่ตนเป็นผู้กำหนัด และเพราะเหตุที่ตนเบาผู้ขัดเคือง จึงลำเอียงเพราะความชอบ เพราะความชัง.

อนึ่ง หาเป็นผู้ฉลาดในบัญญัติไม่ เพราะไม่เป็นผู้สามารถที่จะยังผู้อื่น ให้ยินยอม. อนึ่ง ไม่ฉลาดในการชี้ขาด เพราะเป็นผู้ไม่สามารถในการชี้เหตุ และมิใช่เหตุ.

ชื่อว่าผู้ได้พรรคพวก เพราะได้บริษัทที่แม้นกับตน, ชื่อว่าผู้ไม่มี ความละอาย เพราะเป็นผู้ห่างจากหิริ, ชื่อว่าผู้มีกรรมดำ เพราะเป็นผู้พร้อม เพรียงด้วยกรรมดำทั้งหลาย, ชื่อว่าผู้ไม่เอื้อเฟื้อ เพราะไม่มีความเอื้อเฟื้อใน ธรรมและความเอื้อเฟื้อในบุคคล. ภิกษุเช่นนั้นๆ แล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ผู้ไม่ควรเลือก. คือ อันสงฆ์ไม่ควรพิจารณาได้แก่ ไม่ควรแลดู, อธิบายว่า ไม่ควรสมมติตั้ง ไว้ในตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่ โดยความเป็นอิสริยาธิบดี.

โยชนานัย แม้แห่งคาถาฝ่ายขาว ก็พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่น แล.

จูฬสังคาม วัณณนา จบ