พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. อภยาเถรีคาถา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 พ.ย. 2564
หมายเลข  40706
อ่าน  316

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 69

เถรีคาถา ทุกนิบาต

๙. อภยาเถรีคาถา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 69

๙. อภยาเถรีคาถา

    [๔๒๘] ดูก่อนอภยา ปุถุชนข้องอยู่ในกายใด กายนั้นมีสภาพแตกดับ เรามีสติรู้สึกตัว จักทอดทิ้งกายนี้ เราอันความทุกข์เป็นอันมากถูกต้องแล้ว ยินดีแล้วในความไม่ประมาท บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

    จบ อภยาเถรีคาถา

๙. อรรถกถาอภยาเถรีคาถา

    คาถาว่า อภเย ภิทุโร กาโย เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรีชื่ออภยา เป็นสหายของพระอภัยมาตุเถรี.

    แม้พระเถรีชื่ออภยานี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี เกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล รู้ความแล้วได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอรุณราช วันหนึ่งพระเจ้าอรุณราชได้ประทานดอกอุบลหอม ๗ ดอกแก่เธอ เธอรับดอกอุบลเหล่านั้นแล้วนั่งคิดว่า เราประดับ ดอกอุบลเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร อย่ากระนั้นเลย เราจักเอาดอกอุบลเหล่านี้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ในเวลาภิกขาจาร เธอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วมีใจเลื่อมใส ต้อนรับบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้เหล่านั้น แล้วถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ด้วยบุญกรรมนั้น เธอท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ใน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 70

พุทธุปปาทกาลนี้ เกิดในเรือนแห่งตระกูลในกรุงอุชเชนี รู้ความแล้ว เป็นสหายของพระอภัยมาตุเถรี เมื่อพระอภัยมาตุเถรีบวช เธอเองก็บวชด้วยความสิเนหาพระเถรีนั้น อยู่ในกรุงราชคฤห์กับพระเถรีนั้น วันหนึ่งได้ไปป่าสีตวันเพื่อดูอสุภ พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎินั้นเอง ทรงทำอารมณ์ที่เธอเคยประสบมาไว้ต่อหน้า ประกาศความเป็นศพขึ้นพองเป็นต้นแก่เธอ เธอเห็นดังนั้น ยืนสลดใจอยู่ พระศาสดาทรงแผ่รัศมีแสดงพระองค์เหมือนประทับนั่งอยู่ต่อหน้า ได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า

    ดูก่อนอภยา ปุถุชนข้องอยู่ในกายใด กายนั้นมีสภาพแตกดับ เรามีสติรู้สึกตัวจักทอดทิ้งร่างกายนี้ เราอันความทุกข์เป็นอันมากถูกต้องแล้ว ยินดีแล้วในความไม่ประมาท บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

    เวลาจบคาถา พระเถรีนั้นได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า (๑)

    ในพระนครอรุณวดีมีกษัตริย์พระนามว่าอรุณราช ข้าพเจ้าเป็นมเหสีของท้าวเธอ ข้าพเจ้าร้อยพวงมาลัยอยู่ ได้ถือดอกอุบลมีกลิ่นหอมเหมือนทิพย์ นั่งอยู่ในปราสาทอันประเสริฐ คิดขึ้นในขณะนั้นเองอย่างนี้ว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรที่เอาพวงมาลัยเหล่านี้ประดับบนศีรษะของเรา เราเอาบูชาในพระญาณของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดจะประเสริฐกว่า คนทั้งหลายเขาพากันบูชานับถือพระสัมพุทธเจ้า เรา


    ๑. ขุ. ๓๓/ข้อ ๑๔๘ สัตตอุปปลมาลิกาเถรีอปทาน.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 71

จะนั่งใกล้ประตู จักบูชาพระมหามุนีสัมพุทธเจ้าในเวลาที่เสด็จมา พระพิชิตมารงามดังต้นรกฟ้า หรือดังพญาไกรสรมฤคราช พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาตามถนน ข้าพเจ้าเห็นพระรัศมีของพระพุทธองค์แล้ว ร่าเริง สลดใจ ยังไม่ทันถึงประตู ก็บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าทำดอกอุบลบานเต็มที่ ๗ ดอกเป็นที่กันแดดในอัมพร ดอกอุบลเหล่านั้นกันแดดอยู่เหนือพระเศียรของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริงดีใจ ปลื้มใจ ประคองอัญชลี ทำจิตให้เลื่อมใสในกาลนั้น ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหมือนศีรษะของข้าพเจ้า เขากั้นเศวตฉัตรขนาดใหญ่ กลิ่นทิพย์หอมฟุ้งไป นี้เป็นผลแห่งดอกอุบล ๗ ดอก บางครั้งเมื่อหมู่ญาตินำข้าพเจ้าไป ครั้งนั้นเศวตฉัตรขนาดใหญ่ก็กันแดดไว้ตลอดไปถึงบริษัทของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เป็นมเหสีของเทวราช ๗๐ องค์ เป็นอิสระในที่ทั้งปวง ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ได้เป็นมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๖๓ องค์ ชนทั้งปวงประพฤติตามข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีวาจาน่าเชื่อถือ ผิวพรรณของข้าพเจ้าเหมือนดอกอุบล และกลิ่นหอมฟุ้งไป ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในการเจริญโพชฌงค์ บรรลุอภิญญาบารมี นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าฉลาดในสติปัฎฐาน มีสมาธิฌานเป็นโคจร

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 72

ขวนขวายสัมมัปปธาน นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ความเพียรของข้าพเจ้านำเอาธุระน้อยใหญ่ไป นำเอาธรรมที่เป็นแดนเกษมจากโยคะมาให้ ข้าพเจ้ามีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าเอาดอกไม้บูชา จึงไม่รู้จักทุคติ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเผากิเลสแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระอภยาเถรีได้เปลี่ยนคาถาเหล่านั้นแหละกล่าวเป็นอุทาน.

    บรรดาบทเหล่านั้น พระอภยาเถรีเรียกตนเองด้วยบทว่า อภเย.บทว่า ภิทุโร แปลว่า มีสภาพแตกทำลาย ความว่า ไม่เที่ยง. บทว่ายตฺถ สตฺตา ปุถุชฺชนา ความว่า อันธปุถุชนเหล่านี้ ข้อง ติด คือติดอยู่แล้วในกายใด ที่มีเวลาแตกทำลายเป็นปกติ เพราะสภาวะไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด และปฏิกูล. บทว่า นิกฺขิปิสฺสามิมํ เทหํ ความว่าเราไม่เพ่งเล็งเพราะไม่ยึดถืออีก จักซัด คือจักทิ้งร่างกาย คือกายที่เปื่อยเน่านี้.ในคาถานั้น ท่านกล่าวเหตุ ด้วยบทว่า สมฺปชนา ปติสฺสตา.

    บทว่า พหูหิ ทุกฺขธมฺเมหิ อธิบายว่า อันความทุกข์ไม่น้อยมีชาติและชราเป็นต้นถูกต้องแล้ว. บทว่า อปฺปมาทรตาย ความว่า ยินดีแล้วในความไม่ประมาท กล่าวคือความไม่อยู่ปราศจากสติ เพราะได้ความสลดใจด้วยความเป็นผู้หยั่งลงสู่ทุกข์นั้นนั่นเอง. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.ในคาถานี้มีปาฐะโดยทำนองที่พระศาสดาตรัสว่า

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 73

ท่านพึงยินดีในความไม่ประมาท จงทอดทิ้งกายนี้ จงถึงความสิ้นตัณหา จงปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้า.

ก็คาถานี้ พระสังคีติกาจารย์ยกขึ้นสู่สังคีติตามทำนองที่พระเถรีกล่าวแล้วนั่นแล.บทว่า อปฺปมาทรตาย เต ความว่า ท่านพึงเป็นผู้ยินดีแล้วในความไม่ประมาท.

จบ อรรถกถาอภยาเถรีคาถา