๑. นันทาเถรีคาถา
[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 43
เถรีคาถา ทุกนิบาต
๑. นันทาเถรีคาถา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 43
เถรีคาถา ทุกนิบาต
ว่าด้วยคาถาต่างๆ ในทุกนิบาต
๑. นันทาเถรีคาถา
[๔๒๐] ดูก่อนนันทา เธอจงเห็นร่างกายอันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาดเปื่อยเน่า จงอบรมจิตให้ตั้งมั่น มีอารมณ์เดียว ด้วยอสุภภาวนา
อนึ่ง เธอจงอบรมจิตให้หานิมิตมิได้ ละเสียซึ่งอนุสัยคือมานะ เพราะการละมานะได้นั้น เธอจักอยู่อย่างสงบ.
จบ นันทาเถรีคาถา
อรรถกถาทุกนิบาต
๑. อรรถกถาอภิรูปนันทาเถรีคาถา
ใน ทุกนิบาต มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. คาถาว่า อาตุรํ อสุจึ ปูตึ เป็นต้น เป็นคาถาสำหรับนางสิกขมานาชื่อ อภิรูปนันทา.
เล่ากันว่า นางสิกขมานาชื่อ อภิรูปนันทา นี้ เป็นธิดาของคฤหบดีมหาศาล ในพันธุมตีนคร ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ตั้งอยู่ในสรณะและศีลห้า เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 44
ได้บูชาพระธาตุเจดีย์ด้วยฉัตรทองที่ประดับด้วยรัตนะแล้วตายไปบังเกิดในสวรรค์ ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในสุคติภูมินั่นเอง ในพุทธุปปาทกาลนี้ บังเกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของ เจ้าศากยเขมกะ ในกรุงกบิลพัสดุ์ เธอมีชื่อว่า นันทา พระนางนันทานั้น มีรูปงามน่าทัศนาน่าเลื่อมใส จึงได้รู้กันทั่วไปว่า ชื่อว่า อภิรูปนันทา เพราะอัตภาพร่างกายถึงความงามเลิศของรูปอย่างเหลือเกิน เมื่อเธอเจริญวัย ศากยกุมารผู้สูงศักดิ์ได้สิ้นพระชนม์ลงในวันหมั้นนั่นเอง คราวนั้น พระชนกชนนีจึงให้บวชทั้งๆ ที่พระนางไม่ต้องการบวช.
ภิกษุณีอภิรูปนันทานั้นแม้บวชแล้วก็ยังมีความเมาเพราะอาศัยรูป ไม่ไปปฏิบัติบำรุงพระพุทธเจ้าด้วยเข้าใจว่า พระศาสดาทรงตำหนิติเตียนรูป ทรงแสดงโทษโดยอเนกปริยาย พระศาสดาทรงทราบว่าเธอมีญาณแก่กล้าแล้ว ทรงสั่งพระมหาปชาบดีว่า ภิกษุณีทั้งหมดจงมารับโอวาทตามลำดับ.
เมื่อถึงวาระของตน เธอส่งภิกษุณีรูปอื่นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เมื่อถึงวาระ ภิกษุณีพึงไปด้วยตนเอง ไม่พึงส่งภิกษุณีรูปอื่นไป เธอไม่อาจละเมิดคำสั่งของพระศาสดาได้จึงได้ไปสู่ที่เฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเนรมิตรูปหญิงงามคนหนึ่งด้วยฤทธิ์ แล้วทรงแสดงรูปให้เป็นคนแก่หง่อมให้เธอเกิดความสังเวช ได้ภาษิต ๒ พระคาถานี้ว่า
ดูก่อนนันทา เธอจงเห็นร่างกายอันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาดเปื่อยเน่า จงอบรมจิตให้ตั้งมั่นมีอารมณ์เดียวด้วยอสุภภาวนา
อนึ่งเธอจงอบรมจิตให้หานิมิตมิได้ ละเสียซึ่งอนุสัยคือมานะ เพราะการละมานะได้นั้น เธอจักอยู่อย่างสงบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 45
เนื้อความของคาถาเหล่านั้น มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.ในเวลาจบคาถา ภิกษุณีอภิรูปนั้นทาบรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า (๑)
ในพระนครอรุณวดี มีกษัตริย์พระนามว่าอรุณราช หม่อมฉันเป็นมเหสีของท้าวเธอ ประพฤติธรรม (ทำบุญ) ร่วมกัน ในกาลนั้น หม่อนฉันอยู่ในที่ลับนั่งคิดอย่างนี้ว่า บุญกุศลที่พอจะถือเอาไปได้ เราไม่ได้ทำไว้เลย เราจะต้องตกนรกที่มีความเร่าร้อนมาก ทั้งเผ็ดร้อนร้ายแรงแสนทารุณเป็นแน่ เราไม่สงสัยในเรื่องนี้
ครั้นคิดอย่างนี้แล้วหม่อมฉันทำใจให้ร่าเริงเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ หม่อนฉันเป็นหญิงย่อมคล้อยตามชายทุกเมื่อ ขอพระองค์โปรดประทานสมณะองค์หนึ่งแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันจักนิมนต์ท่านให้ฉัน.
พระราชาผู้ใหญ่ได้ประทานสมณะผู้อบรมอินทรีย์แล้วแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันรับบาตรของท่านมา เอาภัตตาหารอย่างประณีตใส่จนเต็ม
ครั้นเอาภัตตาหารอย่างประณีตใส่จนเต็มแล้ว ดีใจ ได้ถวายผ้าคู่หนึ่งซึ่งมีราคา ๑,๐๐๐ ให้ท่านครอง
ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยความตั้งใจที่ตั้งมั่น หม่อมฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ได้เป็นมเหสีของเทวราช ๑,๐๐๐ ครั้ง ได้เป็นมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ๑,๐๐๐ ครั้ง และได้เป็นมเหสีของพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับครั้งไม่ถ้วน แต่นั้น ยังได้ผลอื่นอีกมากมายหลายอย่างต่างๆ เป็นอันมาก ซึ่งเกิดแต่ผลกรรมที่
๑. ขุ. ๓๓/ข้อ ๑๗๓ และ ๑๗๖ อปปลทายิกาเถรีอปทาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 46
ถวายบิณฑบาตนั้น
หม่อนฉันมีผิวพรรณเหมือนดอกบัว เป็นหญิงงามน่าดู น่าชม สมบูรณ์ด้วยอวัยวะทั้งปวงเป็นอภิชาติทรงไว้ซึ่งความเปล่งปลั่ง เมื่อมาถึงภพสุดท้ายหม่อนฉันได้เกิดในศากยตระกูล เป็นราชธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นประมุขของนารี ๑,๐๐๐ คน
เบื่อหน่ายต่อการครองเรือนจึงออกบวชเป็นภิกษุณี ครั้นถึงราตรีที่ ๗ ได้บรรลุอริยสัจ ๔ หม่อมฉันไม่อาจจะประมาณจีวร บิณฑบาต ปัจจัย และเสนาสนะ (ที่ทายกทายิกาถวาย) นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต
ข้าแต่พระมุนี กุศลกรรมก่อนๆ ของหม่อมฉันอันใดที่พระองค์ทรงทราบ ข้าแต่พระมหาวีระ กุศลกรรมนั้นเป็นอันมาก หม่อมฉันได้สั่งสมเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ หม่อมฉันได้ถวายทานใดในกาลนั้น ไม่รู้จักทุคติ นี้เป็นผลแห่งทานนั้นคือบิณฑบาตทาน.
หม่อมฉันรู้จักคติ ๒ คือเทวดาและมนุษย์ ไม่รู้จักคติอื่น นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต หม่อมฉันรู้จักตระกูลสูงซึ่งเป็นตระกูลมหาศาลมีทรัพย์มาก ไม่รู้จักตระกูลอื่น นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต
หม่อมฉันท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว ไม่เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ นี้เป็นผลแห่งโสมนัส
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์และในทิพโสตธาตุ เป็นผู้มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 47
รู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี
ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันมีญาณในอรรถ ในธรรมในนิรุตติและปฏิภาณ เกิดขึ้นในสำนักของพระองค์
หม่อมฉันเผากิเลสแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าหม่อมฉันทำเสร็จแล้ว.
และพระเถรีนั้น ครั้งบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้กล่าวพระคาถานั้นเองซ้ำอีกเป็นคำอุทาน อนึ่ง คำอุทานนั่นแล เป็นการพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถรีด้วย
จบ อรรถกถาอภิรูปนันทาเถรีคาถา

