พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. นิทานสูตร ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ต.ค. 2564
หมายเลข  38656
อ่าน  472

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 118

ปฐมปัณณาสก์

เทวทูตวรรคที่ ๔

๔. นิทานสูตร

ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม

อรรถกถา นิทานสูตร 120

อธิบายทิฏฐธรรมเวทนียกรรม 122

อุปมาด้วยนายพรานเน้อื 122

อธิบายอุปปัชชเวทนียกรรม 122

อธิบายอปรปริยายเวทนียกรรม 123

อธิบายครุกกรรม 123

อธิบายพหุลกรรม 124

เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย 124

อธิบายยทาสันนกรรม 127

เรื่องคนเฝ้าประตูชาวทมิฬ 127

เรื่องมหาวาตกาลอุบาสก 129

อธิบายกฏัตตาวาปนกรรม 129

อธิบายชนกกรรม 129

อธิบายอุปัตถัมภกกรรม 130

อธิบายอุปปีฬกกรรม 130

เรื่องเพชฌฆาต ชื่อตาวกาฬกะ 131

อธิบายอุปฆาตกกรรม 132

อธิบายอุปัจเฉทกกรรม 132

กรรม ๑๖ อย่างตามพระอภิธรรม 133

กรรม ๑๒ อย่างตามปฏิสัมภิทามรรค 136


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 118

๔. นิทานสูตร

ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม

[๔๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมต้นเหตุ ๓ นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม ต้นเหตุ ๓ คืออะไร คือ โลภะ ... โทสะ ... โมหะ ... เป็นต้นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม

กรรมที่บุคคลทำเพราะโลภะ ... โทสะ ... โมหะ เกิดแต่โลภะ ... โทสะ ... โมหะ ... มีโลภะ ... โทสะ ... โมหะเป็นต้นเหตุ มีโลภะ ... โทสะ ... โมหะเป็นแดนเกิดอันใด กรรมอันนั้นย่อมให้ผลในที่ที่อัตภาพของบุคคลนั้นเกิด กรรมนั้นให้ผลในอัตภาพใด บุคคลนั้นย่อมได้เสวยผลของกรรมนั้นในอัตภาพนั้น เป็นทิฏฐิธรรม (คือ อัตภาพปัจจุบัน) บ้าง เป็นอุปปัชชะ (คือ อัตภาพหน้า) บ้าง เป็นอปรปริยาย (คือ อัตภาพต่อๆ ไป) บ้าง เปรียบเหมือนพืชทั้งหลายอันไม่ขาด ไม่เน่า ไม่เฉา ให้แก่นได้ มีรากฝังอยู่ดี บุคคลปลูกไว้ในแผ่นดินที่ทำไว้ดีแล้ว ในไร่นาที่ดี ฝนเล่าก็หลั่งดี เมื่อเป็นเช่นนี้ พืชเหล่านั้นก็พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฉันใด กรรมที่บุคคลทำเพราะโลภะ ... โทสะ ... โมหะ ฯลฯ เป็นอปรปริยาย (คือ อัตภาพต่อๆ ไป) บ้าง ฉันนั้นเหมือนกัน นี้แล ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม ต้นเหตุ ๓ คืออะไร คือ อโลภะ ... อโทสะ ... อโมหะ ... เป็นต้นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 119

กรรมที่บุคคลทำเพราะอโลภะ ... อโทสะ ... อโมหะ มีอโลภะ ... อโทสะ ... อโมหะเป็นต้นเหตุ มีอโลภะ ... อโทสะ ... อโมหะเป็นแดนเกิดอันใด เมื่อโลภะ ... โทสะ ... โมหะสิ้นไปแล้ว กรรมนั้นก็เป็นอันเขาละแล้ว มีมูลขาดแล้ว ถูกทำให้เหมือนตอตาล (คือ ตาลยอดด้วน) แล้ว ถูกทำให้ไม่มีในภายหลังแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนพืชทั้งหลายอันไม่ขาด ไม่เน่า ไม่เฉา ให้แก่นได้ มีรากฝังอยู่ดี บุรุษเอาไฟเผาพืชเหล่านั้นเสียจนเป็นผุยผงแล้ว พึงโปรยเสียในลมแรง หรือสาดเสียในกระแสอันเชี่ยวในแม่น้ำ เมื่อเป็นอย่างนี้ พืชเหล่านั้นก็เป็นอันรากขาดแล้ว ถูกทำให้เหมือนตอตาลแล้ว ถูกทำให้ไม่มีในภายหลังแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ฉันใด กรรมที่บุคคลทำเพราะอโลภะ ... อโทสะ ... อโมหะ ฯลฯ มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

นี้แล ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม

(นิคมคาถา)

คนเขลา (ย่อมทำ) กรรมที่เกิดเพราะโลภะ โทสะ และโมหะ กรรมใดที่คนเขลานั้นทำแล้ว น้อยหรือมากก็ตาม กรรมนั้นให้ผลในอัตภาพ (ของผู้ทำ) นี้แหละ วัตถุอื่น (ซึ่งจะเป็นที่รับผลของกรรมนั้น) ไม่มี เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้รู้ (ละ) โลภะ โทสะ โมหะเสีย แล้วยังวิชชาให้เกิดขึ้น ก็พึงละทุคติทั้งปวงได้.

จบนิทานสูตรที่ ๔

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 120

อรรถกถานิทานสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในนิทานสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า นิทานานิ ได้แก่ เหตุทั้งหลาย. บทว่า กมฺมานํ ได้แก่ กรรมที่ให้สัตว์ถึงวัฏฏะ. บทว่า โลโภ นิทานํ กมฺมานํ สมุทยาย ความว่า ความโลภที่มีความอยากได้และความละโมบเป็นสภาพ เป็นต้นเหตุ คือ เป็นเหตุ อธิบายว่า เป็นปัจจัยเพื่อการเกิดขึ้นแห่งกรรมที่ทำให้ถึงวัฏฏะ คือ ทำการประมวลกรรมที่จะให้ถึงวัฏฏะมา. โทสะที่มีความดุร้ายและความประทุษร้ายเป็นสภาพ ชื่อว่าโทสะ. โมหะที่มีความหลงและความงมงายเป็นสภาพ ชื่อว่าโมหะ.

บทว่า โลภปกตํ แปลว่า กรรมที่บุคคลทำแล้วด้วยโลภจิต อธิบายว่า ได้แก่ กรรมที่บุคคลผู้ถูกความโลภครอบงำ เกิดละโมบแล้วทำ. กรรมชื่อว่า โลภชํ เพราะเกิดจากความโลภ. กรรมชื่อว่า โลภนิทานํ เพราะมีความโลภเป็นต้นเหตุ. กรรมชื่อว่า โลภสมุทยํ เพราะมีความโลภเป็นสมุทัย. ปัจจัยชื่อว่าสมุทัย อธิบายว่า มีโลภะเป็นปัจจัย. บทว่า ยตฺถสฺส อตฺตภาโว นิพฺพตฺตติ ความว่า ในที่ใดอัตภาพของบุคคลนั้นผู้มีกรรมเกิดแต่ความโลภเกิดขึ้น คือ ขันธ์ทั้งหลายย่อมปรากฏขึ้น.

บทว่า ตตฺถ ตํ กมฺมํ วิปจฺจติ ความว่า กรรมนั้นย่อมเผล็ดผลในขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้น. บทว่า ทิฏเ วา ธมฺเม เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อทรงแสดงถึงประเภทกรรมนั้น เพราะกรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรม

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 121

เวทนียกรรม (ให้ผลในชาตินี้) ก็มี เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม (ให้ผลในชาติหน้า) ก็มี หรือเป็นอปรปริยายเวทนียกรรม (ให้ผลในภพต่อๆ ไป) ก็มี แม้ในบททั้งสองที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า อขณฺฑานิ แปลว่า ไม่ถูกทำลาย. บทว่า อปูตีนิ ความว่า ไม่ถึงความเป็นของไม่ใช่พืชพันธ์ เพราะไม่เสีย. บทว่า อวาตาตปหตานิ ความว่า ทั้งไม่ถูกลมโกรกและแดดเผา. บทว่า สาราทานิ ความว่า มีสาระที่ถือเอาได้ คือ มีสาระ ไม่ใช่ไม่มีสาระ. บทว่า สุขสยิตานิ ความว่า อยู่อย่างปลอดภัย เพราะเก็บไว้ดี.

บทว่า สุกฺเขตฺเต ได้แก่ ในนาเตียน. บทว่า สุปริกมฺมกตาย ภูมิยา ได้แก่ พื้นที่นาที่บริกรรมแล้วด้วยดี ด้วยการไถด้วยไถและด้วยคราด. บทว่า นิกฺขิตฺตานิ ได้แก่ ปลูกไว้แล้ว. บทว่า อนุปฺปเวจฺเฉยฺย ได้แก่ ตกเนืองๆ. ในบทว่า วุฑฺฒึ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่าเจริญ เพราะสูงขึ้นไป. ชื่อว่างอกงาม เพราะมีรากยึดมั่นอยู่เบื้องล่าง. ชื่อว่าไพบูลย์ เพราะขยายออกไปโดยรอบ.

ก็ในสูตรนี้ คำใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ มีอาทิว่า ทิฏเ วา ธมฺเม เพื่อไม่ให้ฟั่นเฟือนในคำนั้น ในที่นี้ ควรกล่าวจำแนกกรรม (ออกไป). อธิบายว่า โดยปริยายแห่งพระสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกกรรมไว้ ๑๑ อย่าง. คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ ครุกกรรม ๑ พหุลกรรม ๑ ยทาสันนกรรม ๑ กฏัตตาวาปนกรรม ๑ ชนกกรรม ๑ อุปัตถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม ๑ อุปฆาตกกรรม ๑.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 122

อธิบายทิฏฐธรรมเวทนียกรรม

บรรดากรรม ๑๑ อย่างนั้น ในบรรดา (ชวนะ) จิต ๗ ชวนะ ชวนเจตนาดวงแรกที่เป็นกุศลหรืออกุศลในชวนวิถีแรก ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม.

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ให้วิบากในอัตภาพนี้เท่านั้น ที่เป็นกุศลอำนวยวิบากในอัตภาพนี้ เหมือนกรรมของกากวฬิยเศรษฐีและปุณณกเศรษฐี เป็นต้น ส่วนที่เป็นอกุศล (อำนวยผลในอัตภาพนี้) เหมือนกรรมของนันทยักษ์ นันทมาณพ นันทโคฆาต ภิกษุโกกาลิกะ พระเจ้าสุปปพุทธะ พระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา เป็นต้น. แต่เมื่อไม่สามารถให้ผลอย่างนั้น จะเป็นอโหสิกรรมไป คือ ถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผล กรรมนั้นพึงสาธกด้วยข้อเปรียบกับพรานเนื้อ.

อุปมาด้วยนายพรานเนื้อ

เปรียบเหมือนลูกศรที่นายพรานเนื้อ เห็นเนื้อแล้วโก่งธนูยิงไป ถ้าไม่พลาด ก็จะทำให้เนื้อนั้นล้มลงในที่นั้นเอง ลำดับนั้น นายพรานเนื้อก็จะถลกหนังเนื้อนั้นออก เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ถือเอาเนื้อไปเลี้ยงลูกเมีย แต่ถ้าพลาด เนื้อจะหนีไป ไม่หันกลับมาดูทิศนั้นอีก ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็พึงทราบฉันนั้น. อธิบายว่า การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฏฐิธรรมเวทนียกรรม เหมือนกับลูกศรที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาด การกลับกลายเป็นกรรมที่ไม่มีผล เหมือนลูกศรที่ยิงพลาดฉะนั้น ฉะนี้แล.

อธิบายอุปปัชชเวทนียกรรม

ส่วนชวนเจตนาดวงที่ ๗ ที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม. อุปปัชชเวทนียกรรม นั้น อำนวยผลในอัตภาพต่อไป แต่

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 123

ในบรรดากุศลอกุศลทั้งสองฝ่ายนี้ อุปปัชชเวทนียกรรมในฝ่ายที่เป็นกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งสมาบัติ ๘ ในฝ่ายที่เป็นอกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งอนันตริยกรรม ๕. บรรดากรรมทั้งสองฝ่ายนั้น ผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ จะเกิดในพรหมโลกด้วยสมาบัติอย่างหนึ่ง. ฝ่ายผู้กระทำอนันตริยกรรม ๕ จะบังเกิดในนรกด้วยกรรมอย่างหนึ่ง. สมาบัติที่เหลือ และกรรม (ที่เหลือ) จะถึงความเป็นอโหสิกรรมไปหมด คือ เป็นกรรมที่ไม่มีวิบาก. แม้ความข้อนี้ พึงทราบตามข้อเปรียบเทียบข้อแรกเทอญ.

อธิบายอปรปริยายเวทนียกรรม

ก็ชวนเจตนา ๕ ดวง ที่เกิดขึ้นในระหว่างแห่งชวนะ ๒ ดวง (ชวนเจตนาดวงที่ ๑ และชวนเจตนาดวงที่ ๗) ชื่อว่า อปรปริยายเวทนียกรรม. อปรปริยายเวทนียกรรมนั้น ได้โอกาสเมื่อใดในอนาคตกาล เมื่อนั้นจะให้ผล เมื่อความเป็นไปแห่งสังสารวัฏฏ์ฏะยังมีอยู่ กรรมนั้นจะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มี. กรรมทั้งหมดนั้นควรแสดงด้วย (เรื่อง) พรานสุนัข. เปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไป เพราะเห็นเนื้อ จึงวิ่งตามเนื้อไป ทันเข้าในที่ใด ก็จะกัดเอาในที่นั้นแหละ ฉันใด กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้โอกาสในที่ใด ก็จะอำนวยผลในที่นั้นทันที. ขึ้นชื่อว่าสัตว์ จะรอดพ้นไปจากกรรมนั้น เป็นไม่มี.

อธิบายครุกกรรม

ส่วนในบรรดากรรมหนักและกรรมไม่หนัก ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมใดหนัก กรรมนั้นชื่อว่า ครุกกรรม. ครุกกรรมนี้นั้น ในฝ่ายกุศลพึงทราบว่า ได้แก่ มหัคคตกรรม ในฝ่ายอกุศล พึงทราบว่า ได้แก่ อนันตริย-

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 124

กรรม ๕. เมื่อครุกรรมนั้นมีอยู่ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่เหลือจะไม่สามารถให้ผลได้. ครุกรรมแม้ทั้งสองอย่างนั้นแหละ จะให้ปฏิสนธิ. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ก้อนกรวดหรือก้อนเหล็ก แม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงห้วงน้ำ ย่อมไม่สามารถจะลอยขึ้นเหนือน้ำได้ จะจมลงใต้น้ำอย่างเดียว ฉันใด ในกุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนัก เขาจะถือเอากรรมฝ่ายนั้นแหละไป.

อธิบายพหุลกรรม

ส่วนในกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดมาก กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม. พหุลกรรมนั้น พึงทราบด้วยอำนาจอาเสวนะที่ได้แล้วตลอดกาลนาน อีกอย่างหนึ่ง ในฝ่ายกุศลกรรม กรรมใดที่มีกำลังสร้างโสมนัสให้ ในฝ่ายอกุศลกรรม สร้างความเดือดร้อนให้ กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เมื่อนักมวยปล้ำ ๒ คนขึ้นเวที คนใดมีกำลังมาก คนนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม (แพ้) ไป ฉันใด พหุลกรรมนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทับถมกรรมพวกนี้ที่มีกำลังน้อย (ชนะ) ไป. กรรมใดมากโดยการเสพจนคุ้น หรือมีกำลังโดยอำนาจทำให้เดือดร้อนมาก กรรมนั้นจะให้ผล เหมือนกรรมของพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ฉะนั้น.

เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย

เล่ากันมาว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น รบพ่ายแพ้ในจูฬังคณิยยุทธ์ ทรงควบม้าหนีไป. มหาดเล็กชื่อว่าติสสอมาตย์ของพระองค์ (๑) ตามเสด็จไปได้คนเดียวเท่านั้น. ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ดงแห่งหนึ่ง ประทับนั่งแล้ว เมื่อถูกความหิวเบียดเบียน จึงรับสั่งว่า พี่ติสสะ เราสองคนหิวเหลือเกิน จะทำอย่างไร? มีอาหารพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้นำพระกระยาหารใส่ขันทอง


(๑) ปาฐะว่า ตตฺถ ฉบับพม่าเป็น ตสฺส แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 125

ใบหนึ่ง ซ่อนไว้ในระหว่างผ้าสาฎกมาด้วยพระเจ้าข้า. ถ้าอย่างนั้น จงนำมา. เขาจึงนำพระกระยาหารออกมาวางตรงพระพักตร์พระราชา. ท้าวเธอทรงเห็นแล้วตรัสสั่งว่า จงแบ่งออกเป็น ๔ ส่วนซิพ่อคุณ. เขาทูลถามว่า พวกเรามี ๓ คน เหตุไฉนพระองค์จึงให้จัดเป็น ๔ ส่วน. พี่ติสสะ เวลาที่เรานึกถึง ตัวเราไม่เคยบริโภคอาหารที่ยังไม่ได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก่อนเลย ถึงวันนี้ เราก็จักไม่ยอมบริโภคโดยยังไม่ได้ถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้า. เขาจึงจัดแบ่งอาหารออกเป็น ๔ ส่วน. พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านจงประกาศเวลา. ในป่าร้าง เราจักได้พระคุณเจ้าที่ไหน พระพุทธเจ้าข้า. ข้อนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน ถ้าศรัทธาของเรายังมี เราจักได้พระคุณเจ้าเอง ท่านจงวางใจ แล้วประกาศเวลาเถิด. เขาจึงประกาศถึง ๓ ครั้งว่า ได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้า ได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้า.

ลำดับนั้น พระโพธิยมาลกมหาติสสเถระ ได้ยินเสียงนั้นด้วยทิพยโสตธาตุ รำพึงว่า เสียงนี้ที่ไหน? จึงรู้ว่า วันนี้พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยแพ้สงคราม เสด็จเข้าสู่ดงดิบ ประทับนั่งแล้ว ให้แบ่งข้าวขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน ทรงรำพึงว่า เราจักบริโภคเพียงส่วนเดียว จึงให้ประกาศเวลา (ภัตร) คิดว่า วันนี้เราควรทำการสงเคราะห์พระราชา แล้วมาโดยมโนคติ ได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใส รับสั่งว่า เห็นไหมเล่า พี่ติสสะ ดังนี้ ไหว้พระเถระแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้บาตร. พระเถระนำบาตรออกแล้ว พระราชาทรงเทอาหารส่วนของพระเถระ พร้อมกับส่วนของพระองค์ลงในบาตร แล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าความลำบากด้วยอาหาร จงอย่ามีในกาลไหนๆ ทรงไหว้ แล้วประทับ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 126

ยืนอยู่. ฝ่ายติสสอมาตย์คิดว่า เมื่อพระลูกเจ้าของเราทอดพระเนตรอยู่ เราจักไม่สามารถบริโภคได้ จึงได้เทส่วนของตนลงไปในบาตรพระเถระเหมือนกัน. ถึงม้าก็คิดว่า ถึงเราก็ควรถวายส่วนของเราแก่พระเถระ. พระราชาทอดพระเนตรดูม้าแล้วทรงทราบว่า ถึงม้านี้ ก็ประสงค์จะใส่ส่วนของตนลงในบาตรของพระเถระเหมือนกัน จึงได้เทส่วนแม้นั้นลงในบาตรนั้นเหมือนกัน ไหว้แล้วส่งพระเถระไป พระเถระถือเอาภัตรนั้นไป แล้วได้ถวายแด่ภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ต้น โดยแบ่งปั้นเป็นคำๆ.

แม้พระราชาทรงพระดำริว่า พวกเราหิวเหลือเกินแล้ว จะพึงเป็นการดีมาก ถ้าหากพระเถระจะส่งอาหารที่เหลือมาให้. พระเถระรู้พระราชดำริของพระราชาแล้ว จึงทำภัตรที่เหลือให้พอเพียงแก่คนเหล่านั้นจะดำรงชีวิตอยู่ได้ จึงโยนบาตรไปในอากาศ. บาตรมาวางอยู่ที่พระหัตถ์ของพระราชาแล้ว. แม้อาหารก็พอที่คนทั้ง ๓ จะดำรงชีพอยู่ได้. ลำดับนั้น พระราชาทรงล้างบาตรแล้วทรงดำริว่า เราจักไม่ส่งบาตรเปล่าไป จึงทรงเปลื้องพระภูษา ชุบน้ำแล้ววางผ้าไว้ในบาตร ทรงอธิษฐานว่า ขอบาตรจงประดิษฐานอยู่ในมือแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา แล้วทรงโยนบาตรไปในอากาศ. บาตรไปประดิษฐานอยู่ในมือของพระเถระแล้ว.

ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชาให้ทรงสร้างมหาเจดีย์สูง ๑๒๐ ศอก บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่ ๘ แห่งพระตถาคตเจ้าไว้ เมื่อพระเจดีย์ยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้เวลาใกล้สวรรคต. ลำดับนั้น เมื่อพระภิกษุสงฆ์สาธยายโดยนิกายทั้ง ๕ ถวายพระองค์ผู้บรรทมอยู่ข้างด้านทิศใต้แห่งมหาเจดีย์ รถ ๖ คัน จากเทวโลก ๖ ชั้น จอดเรียงรายอยู่ในอากาศ เบื้องพระพักตร์ของพระราชา พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย จงนำสมุดบันทึกการทำบุญมา

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 127

แล้วรับสั่งให้อ่านสมุดนั้นมาแต่ต้น. ครั้นไม่มีกรรมอะไรที่จะให้พระองค์ประทับพระทัย จึงตรัสสั่งว่า จงอ่านต่อไปอีก. คนอ่าน อ่านต่อไปว่า ข้าแต่สมมติเทพ (๑) พระองค์ผู้ปราชัยในจุลลังคณิยยุทธสงความ เสด็จเข้าดงประทับนั่ง ถวายภิกษาแก่ท่านพระโพธิมาลกมหาติสสเถระ โดยทรงแบ่งพระกระยาหารขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน. พระราชารับสั่งให้หยุดอ่าน แล้วซักถามภิกษุสงฆ์ว่า พระคุณเจ้าข้า เทวโลกชั้นไหนเป็นรมณียสถาน. ภิกษุสงฆ์ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ดุสิตพิภพเป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์. พระราชาสวรรคตแล้ว ประทับนั่งบนราชรถที่มาแล้วจากดุสิตพิภพนั่นแหละ ได้เสด็จถึงดุสิตพิภพแล้ว. นี้เป็นเรื่อง (แสดงให้เห็น) ในการให้วิบากของกรรมที่มีกำลัง.

อธิบายยทาสันนกรรม

ส่วนในบรรดากุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดสามารถเพื่อจะให้ระลึกถึงในเวลาใกล้ตาย กรรมนั้นชื่อว่า ยทาสันนกรรม (๒). ยทาสันนกรรมนั่นแหละ เมื่อกุศลกรรมและอกุศลกรรมเหล่าอื่นถึงจะมีอยู่ ก็ให้ผล (ก่อน) เพราะอยู่ใกล้มรณกาล เหมือนเมื่อเปิดประตูคอกที่มีฝูงโคเต็มคอก บรรดาโคฝึกและโคมีกำลังถึงจะอยู่ในส่วนอื่น (ไกลปากคอก) โคตัวใดอยู่ใกล้ประตูคอก โดยที่สุดจะเป็นโคแก่ถอยกำลังก็ตาม โคตัวนั้นก็ย่อมออกได้ก่อนอยู่นั่นเอง ฉะนั้น. ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง

เรื่องคนเฝ้าประตูชาวทมิฬ

เล่ากันมาว่า ในบ้านมธุอังคณะ. มีนายประตูชาวทมิฬคนหนึ่งถือเอาเบ็ดไปแต่เช้า ตกปลาได้แล้วแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งเอาแลกข้าวสาร


(๑) ปาฐะว่า ตเทว ฉบับพม่าเป็น เต เทว แปลตามฉบับพม่า

(๒) คำว่า ยทาสันนกรรม ก็คือ อาสันนกรรม

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 128

ส่วนหนึ่งแลกนม ส่วนหนึ่งต้มแกงกิน. โดยทำนองนี้ เขาทำปาณาติบาตอยู่ถึง ๕๐ ปี ต่อมาแก่ตัวลง ล้มหมอนนอนเสื่อ ในขณะนั้น พระจุลลปิณฑปาติกติสสเถระ ชาวคิรีวิหาร รำพึงว่า คนผู้นี้เมื่อเรายังเห็นอยู่ อย่าพินาศเสียเลย แล้วไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเขา. ขณะนั้นภริยาของเขาจึงบอกว่า นี่! พระเถระมาโปรดแล้ว เขาตอบว่า ตลอดเวลา ๕๐ ปี เราไม่เคยไปสำนักของพระเถระเลย ด้วยคุณความดีอะไรของเรา ท่านจึงต้องมา เธอจงไปนิมนต์ให้ท่านไปเสียเถิด. นางบอกพระเถระว่า นิมนต์ไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด เจ้าข้า พระเถระถามว่า อุบาสกมีพฤติการณ์ทางร่างกายอย่างไร. นางตอบว่า อ่อนแรงแล้ว เจ้าข้า. พระเถระเข้าไปยังเรือน ให้สติ แล้วกล่าวว่า โยมรับศีล (ไหม). เขาตอบว่า รับ ขอรับพระคุณเจ้า นิมนต์ให้ศีลเถิด. พระเถระให้สรณะ ๓ แล้วเริ่มจะให้ศีล ๕. ในขณะที่อุบาสกนั้นว่า ปญฺจ สีลานิ นั่นแหละ ลิ้นแข็งเสียแล้ว. พระเถระคิดว่า เท่านี้ก็พอควร แล้วออกไป. ส่วนเขาตายแล้วไปเกิดในภพจาตุมหาราชิกะ. ก็ในขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ รำลึกว่า เราทำกรรมอะไรหนอจึงได้สมบัตินี้ รู้ว่าได้เพราะอาศัยพระเถระ จึงมาจากเทวโลก ไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อพระเถระถามว่า นั่นใคร ตอบว่า กระผม (คือ) คนเฝ้าประตูชาวทมิฬครับ พระคุณเจ้า. พระเถระถามว่า ท่านไปเกิดที่ไหน ตอบว่า ผมเกิดที่ชั้นจาตุมหาราชิกภพครับ พระคุณเจ้า ถ้าหากพระคุณเจ้าได้ให้ศีล ๕ แล้วไซร้ ผมคงได้เกิดในชั้นสูงขึ้นไป ผมจักทำอย่างไร พระเถระตอบว่า ดูก่อน (เทพ) บุตร ท่านไม่สามารถจะรับเอาได้เอง เทพบุตรไหว้พระเถระแล้วกลับไปยังเทวโลก. นี้เป็นเรื่อง (ตัวอย่าง) ในกุศลกรรมก่อน.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 129

เรื่องมหาวาตกาลอุบาสก

ก็ในระหว่างแม่น้ำคงคา ได้มีอุบาสกชื่อว่ามหาวาตกาละ. เขาสาธยายอาการ ๓๒ เพื่อมุ่งโสดาปัตติมรรคถึง ๓๐ ปี ถึงทิฏฐิวิปลาสว่า เราสาธยายอาการ ๓๒ อยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้เกิดแม้เพียงโอภาสได้ ชะรอยพระพุทธศาสนาจักไม่เป็นศาสนาเครื่องนำสัตว์ออกจากภพ (เป็นแน่) กระทำกาลกิริยาแล้ว ได้ไปเกิดเป็นลูกจรเข้ยาว ๙ อุสภะ ที่แม่น้ำมหาคงคา. คราวหนึ่ง เกวียนบรรทุกเสาหิน ๖๐ เล่ม เดินทางไปตามท่ากัจฉปะ. จรเข้นั้นฮุบกินทั้งโคทั้งหินเหล่านั้นจนหมดสิ้น. นี้เป็นเรื่อง (ตัวอย่าง) ในอกุศลกรรม.

อธิบายกฏัตตาวาปนกรรม

ส่วนกรรมนอกเหนือจากกรรม ๓ ดังกล่าวมาแล้วนี้ ทำไปโดยไม่รู้ ชื่อว่า กฏัตตาวาปนกรรม. กฏัตตาวาปนกรรมนั้น อำนวยวิบากได้ในกาลบางครั้ง เพราะไม่มีกรรม ๓ อย่างเหล่านั้น เหมือนท่อนไม้ (๑) ที่คนบ้าขว้างไป จะตกไปในที่ๆ ไม่มีจุดหมายฉะนั้น.

อธิบายชนกกรรม

กรรมที่ให้เกิดปฏิสนธิอย่างเดียว ไม่ให้เกิดปวัตติกาล (๒) กรรมอื่นย่อมให้เกิดวิบากในปวัตติกาล ชื่อว่า ชนกกรรม. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า มารดาให้กำเนิดอย่างเดียว ส่วนพี่เลี้ยง นางนม ประคบประหงมฉันใด ชนกกรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน ให้เกิดปฏิสนธิเหมือนมารดา (ส่วน) กรรมที่มาประจวบเข้าในปวัตติกาล (๓) เหมือนพี่เลี้ยงนางนม.


(๑) ปาฐะว่า ขิตฺตํ กณฺฑํ ฉบับพม่าเป็น ขิตตทณฺฑํ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า ปวตฺตํ ชเนติ ฉบับพม่าเป็น ปวตฺตึ น ชเนติ แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า ปวตฺเต ปวตฺติกํ ฉบับพม่าเป็น ปวตเต สปฺปตฺกมฺมํ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 130

อธิบายอุปัตถัมภกกรรม

ธรรมดาอุปัตถัมภกกรรม มีได้ทั้งในกุศล ทั้งในอกุศล เพราะว่าลางคนกระทำกุศลกรรมแล้วเกิดในสุคติภพ เขาดำรงอยู่ในสุคติภพนั้น แล้วบำเพ็ญกุศลบ่อยๆ สนับสนุนกรรมนั้น ย่อมท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั่นแหละตลอดเวลาหลายพันปี. ลางคนกระทำอกุศลกรรมแล้วเกิดในทุคติภพ เขาดำรงอยู่ในทุคตินั้น กระทำอกุศลกรรมบ่อยๆ สนับสนุนกรรมนั้นแล้ว จะท่องเที่ยวไปในทุคติภพนั้นแหละสิ้นเวลาหลายพันปี.

อีกนัยหนึ่ง ควรทราบดังนี้ ทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม ชื่อว่าเป็นชนกกรรม. ชนกกรรมนั้นให้เกิดวิบากขันธ์ทั้งที่เป็นรูปและอรูป ทั้งในปฏิสนธิกาล ทั้งในปวัตติกาล. ส่วนอุปัตถัมภกกรรม ไม่สามารถให้เกิดวิบากได้ แต่จะสนับสนุนสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว ย่อมเป็นไปตลอดกาลนาน.

อธิบายอุปปีฬกกรรม

กรรมที่เบียดเบียน บีบคั้นสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว จะไม่ให้ (สุขหรือทุกข์นั้น) เป็นไปตลอดกาลนาน ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม.

ในอุปปีฬกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้. เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผล อกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส) กุศลกรรมนั้นให้ผล. แม้เมื่ออกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่ กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส) อกุศลกรรมนั้นให้ผล. ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์ที่กำลังเจริญงอกงาม ใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบ หรือเอาศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้น (๑)


(๑) ปาฐะว่า อถโข ฉบับพม่าเป็น อถ โส แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 131

ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์นั้นจะต้องไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใด กุศลกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อกำลังให้ผล (แต่ถูก) อกุศลกรรมเบียดเบียน หรือว่าอกุศลกรรมกำลังให้ผล (แต่ถูก) กุศลกรรมบีบคั้น จะไม่สามารถให้ผลได้. ในสองอย่างนั้น สำหรับนายสุนักขัตตะ อกุศลกรรม (ชื่อว่า) เบียดเบียนกุศลกรรม สำหรับนายโจรฆาตกะ กุศลกรรม (ชื่อว่า) เบียดเบียนอกุศลกรรม.

เรื่องเพชฌฆาต ชื่อตาวกาฬกะ

เล่ากันว่า ในกรุงราชคฤห์ นายตาวกาฬกะ กระทำโจรฆาตกรรม (ประหารชีวิตโจร) มาเป็นเวลา ๕๐ ปี. ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายได้กราบทูลเขาต่อพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายตาวกาฬกะแก่แล้ว ไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรได้ พระราชารับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้น. อำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้ว แต่งตั้งคนอื่นแทน. ฝ่ายนายตาวกาฬกะ ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น (เป็นเพชฌฆาต) ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่ ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้ ไม่ได้บริโภคข้าวปายาส ไม่ได้รับการอบอาบ. เขาคิดว่า เราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำ ดำเกล้า และนุ่งผ้าใหม่ ลูบไล้ของหอม ทัดดอกไม้ กำลังเดินมาบ้าน เห็นพระสารีบุตรเถระ ดีใจว่า เราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมอง และได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย จึงนำพระเถระไปยังเรือน แล้วอังคาสด้วยข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส เนยข้น และผงน้ำตาลกรวด. พระเถระได้อนุโมทนาทานของเขา. เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ ตามส่งพระเถระแล้วเดินกลับ ในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดในดาว-

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 132

ดึงสพิภพ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่า พระพุทธเจ้าข้า วันนี้เอง นายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมอง ถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้เหมือนกัน เขาเกิดในที่ไหนหนอ.

พ. ในดาวดึงสพิภพ ภิกษุทั้งหลาย.

ภิ. พระพุทธเจ้าข้า นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานาน และพระองค์ก็ตรัสสอนไว้ อย่างนี้ บาปกรรมไม่มีผลหรืออย่างไรหนอ.

พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดี ฟังอนุโมทนากถาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ จึงได้บังเกิดในที่นั้น.

นายโจรฆาต ได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้ว ได้อนุโลมขันติบันเทิงใจ ไปเกิดในไตรเทพ.

อธิบายอุปฆาตกกรรม

ส่วนอุปฆาตกกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง ที่เป็นอกุศลบ้าง มีอยู่เอง จะตัดรอนกรรมอื่นที่มีกำลังเพลากว่า ห้ามวิบากของกรรมนั้นไว้ แล้วทำโอกาสแก่วิบากของตน. ก็เมื่อกรรมทำ (ให้) โอกาสอย่างนี้แล้ว กรรมนั้นเรียกว่า เผล็ดผลแล้ว. อุปฆาตกกรรม นี้นั่นแหละ มีซึ่งว่า อุปัจเฉทกกรรม บ้าง.

อธิบายอุปัจเฉทกกรรม

ในอุปัจเฉทกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล กุศลกรรมอย่างหนึ่งก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป. นี้ชื่อว่า อุปัจเฉทกกรรม. บรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 133

ทั้งสองอย่างนั้น กรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้เป็นกรรมที่ตัดรอนกุศล ส่วนกรรมของพระองคุลิมาลเถระ ได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล. ด้วยประการดังกล่าวมานี้ เป็นอันท่านจำแนกกรรม ๑๑ อย่าง ตามสุตตันติกปริยาย.

กรรม ๑๖ อย่างตามแนวพระอภิธรรม

ส่วนพระอภิธรรมปริยาย ท่านจำแนกกรรมไว้ ๑๖ อย่าง. คือ

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อันคติสมบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อันอุปธิสมบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อันกาลสมบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อันปโยคสมบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อาศัยคติวิบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อาศัยอุปธิวิบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อาศัยกาลวิบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานชั่ว ลางอย่าง อาศัยปโยควิบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อันคติวิบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อันอุปธิวิบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อันกาลวิบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อันปโยควิบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อาศัยคติสมบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อาศัยอุปธิสมบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อาศัยกาลสมบัติ ให้ผล ๑

กรรมสมาทานดี ลางอย่าง อาศัยปโยคสมบัติ ให้ผล ๑.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 134

อธิบายกรรม ๑๖ อย่าง ตามแนวพระอภิธรรม

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปกานิ แปลว่า ลามก. บทว่า กมฺมสมาทานานิ ได้แก่ การยึดถือกรรม. คำว่า กมฺมสมาทานานิ นี้ เป็นชื่อของกรรมทั้งหลายที่บุคคลสมาทานถือเอาแล้ว. พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า คติสมฺปตฺตึ ปฏิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติ เป็นต้น ดังต่อไปนี้

เมื่อกรรมที่มีการเสวยอนิฏฐารมณ์เป็นกิจยังมีอยู่นั่นแหละ กรรมนั้นของสัตว์ผู้เกิดในสุคติภพ ชื่อว่าอันคติสมบัติห้ามไว้ จึงยังไม่ให้ผล. อธิบายว่า เป็นกรรมถูกคติสมบัติห้ามไว้ ยังไม่ให้ผล.

ก็ผู้ใดเกิดในท้องของหญิงทาสีหรือหญิงกรรมกรเพราะบาปกรรม (แต่) เป็นผู้มีอุปธิสมบัติ ตั้งอยู่ในความสำเร็จ คือ ความงดงามแห่งอัตภาพ. ครั้นนายของเขาเห็นรูปสมบัติของเขาแล้ว เกิดความคิดว่า ผู้นี้ไม่สมควรทำงานที่ต่ำต้อย แต่งตั้งเขาไว้ในตำแหน่งภัณฑาคาริกเป็นต้น มอบสมบัติให้ แล้วเลี้ยงดูอย่างลูกของตน. กรรมของคนเห็นปานนี้ ชื่อว่าห้ามอุปธิสมบัติให้ผลก็หามิได้.

ส่วนผู้ใดเกิดในเวลาที่มีโภชนาหารหาได้ง่ายและมีรสอร่อยเช่นกับกาลของคนในปฐมกัป บาปกรรมของเขาถึงมีอยู่ จะชื่อว่าห้ามกาลสมบัติให้ผลก็หามิได้.

ส่วนผู้ใดอาศัยการประกอบโดยชอบเลี้ยงชีพอยู่ แต่เข้าหาในเวลาที่ควรจะต้องเข้าหา ถอยกลับในเวลาที่ควรจะต้องถอยกลับ หนีในเวลาที่ควรจะต้องหนี ให้สินบนในเวลาที่ควรให้สินบน ทำโจรกรรมในเวลาที่ควรทำโจรกรรม บาปกรรมของคนเช่นนี้ ชื่อว่าห้ามปโยคสมบัติให้ผลก็หามิได้.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 135

ส่วนบาปกรรมของบุคคลผู้เกิดในทุคติภพ ชื่อว่าอาศัยคติวิบัติให้ผลอยู่.

ส่วนผู้ใดเกิดในท้องของหญิงทาสี หรือหญิงกรรมกร มีผิวพรรณไม่งดงาม รูปร่างไม่สวย ชวนให้เกิดสงสัยว่า เป็นยักษ์หรือเป็นมนุษย์ ถ้าเขาเป็นชาย คนทั้งหลายจะคิดว่า คนผู้นี้ไม่สมควรแก่งานอย่างอื่น แล้วจะให้เขาเลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า เลี้ยงโค หรือให้หาหญ้าหาฟืน ให้เทกระโถน ถ้าเป็นหญิง คนทั้งหลายจะใช้ให้ต้มข้าว ต้มถั่ว (๑) ให้ช้าง ให้ม้าเป็นต้น ให้เทหยากเยื่อ หรือใช้ให้ทำงานที่น่ารังเกียจอย่างอื่น. บาปกรรมของผู้เห็นปานนี้ ชื่อว่าอาศัยอุปธิวิบัติให้ผล.

ส่วนผู้ใดเกิดในเวลาข้าวยากหมากแพง ในเวลาตระกูลเสื่อมสิ้นสมบัติ หรือในอันตรกัป บาปกรรมของผู้นั้น ชื่อว่าอาศัยกาลวิบัติให้ผล.

ส่วนผู้ใดไม่รู้จักประกอบความเพียร ไม่รู้เพื่อจะเข้าไปหาในเวลาที่ควรเข้าไปหา ฯลฯ ไม่รู้เพื่อจะทำโจรกรรม ในเวลาที่ควรทำโจรกรรม บาปกรรมของผู้นั้น ชื่อว่าอาศัยปโยควิบัติให้ผล.

ส่วนผู้ใดเมื่อกรรมที่สมควรแก่การเสวยอิฏฐารมณ์เป็นกิจยังมีอยู่นั่นแล ไปเกิดในทุคติภพ กรรมของเขานั้น ชื่อว่าห้ามคติวิบัติให้ผลก็หามิได้.

ส่วนผู้ใดเกิดในพระราชวัง หรือในเรือนของราชมหาอำมาตย์เป็นต้น ด้วยอานุภาพแห่งบุญกรรมเป็นคนบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือว่าเป็นคนเปลี้ย คนทั้งหลายไม่ยอมให้ตำแหน่งแก่เขา เพราะเห็นว่า เขาไม่เหมาะสมแก่ตำแหน่งอุปราชเสนาบดี และขุนคลังเป็นต้น บุญของเขาตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าห้ามอุปธิวิบัติให้ผลก็หามิได้.


(๑) ปาฐะว่า ภตฺตมํสาทีนิ ฉบับพม่าเป็น ภตฺตมาสาทีนิ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 136

ส่วนผู้ใดเกิดในหมู่มนุษย์ ในเวลาข้าวยากหมากแพง ในเวลาที่ (ตระกูล) เสื่อมสิ้นสมบัติแล้ว หรือในอันตรกัป กรรมดีของเขานั้น ชื่อว่าห้ามกาลวิบัติให้ผลก็หามิได้.

ส่วนผู้ใดไม่รู้เพื่อจะยังความเพียรให้เกิดขึ้น ตามนัยที่ได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ กรรมดีของเขานั้น ชื่อว่าห้ามปโยควิบัติให้ผลก็หามิได้.

แต่กรรมของผู้เกิดในสุคติภพด้วยกัลยาณกรรมนั้น ชื่อว่าอาศัยคติสมบัติให้ผล. คนทั้งหลายเห็นอัตภาพของผู้ที่เกิดในราชตระกูล หรือตระกูลของราชมหาอำมาตย์เป็นต้น ถึงอุปธิสมบัติ คือ ดำรงอยู่ในความเพรียบพร้อมแห่งอัตภาพ เช่นเดียวกับรัตนโดรณ (เสาระเนียดแก้ว) ที่เขาตั้งไว้ที่เทพนคร เห็นว่า คนผู้นี้เหมาะสมกับตำแหน่งอุปราช เสนาบดี หรือตำแหน่งขุนคลังเป็นต้น ถึงเขาจะยังหนุ่ม ก็ยอมให้ตำแหน่งเหล่านั้น. กัลยาณธรรมของคนเห็นปานนี้ ชื่อว่าอาศัยอุปธิสมบัติให้ผล.

ผู้ใดเกิดในปฐมกัปก็ดี ในเวลาที่ข้าวน้ำหาได้ง่ายก็ดี กัลยาณกรรมของเขา ชื่อว่าอาศัยกาลสมบัติให้ผล.

ผู้ใดรู้เพื่อการประกอบความเพียร โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ กรรมของผู้นั้น ชื่อว่าอาศัยปโยคสมบัติให้ผล.

ท่านจำแนกกรรม ๑๖ อย่าง ตามปริยายแห่งพระอภิธรรม ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.

กรรม ๑๒ อย่าง ตามแนวแห่งปฏิสัมภิทามรรค

โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านจำแนกกรรม ๑๒ อย่างไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 137

กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ได้มีมาแล้ว ๑

กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ไม่ได้มีมาแล้ว ๑

กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ยังมีอยู่ ๑

กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ไม่มีอยู่ ๑

กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม จักมีมา ๑

กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม จักไม่มีมา ๑

กรรมมีอยู่ กรรมวิบากก็มีอยู่ ๑

กรรมมีอยู่ แต่กรรมวิบากไม่มี ๑

กรรมมีอยู่ กรรมวิบากก็จักมีมา ๑

กรรมมีอยู่ แต่กรรมวิบากจักไม่มีมา ๑

กรรมก็จักมี กรรมวิบากก็จักมี ๑

กรรมจักมีมา แต่วิบากกรรมจักไม่มี ๑.

อธิบายกรรม ๑๒ อย่าง ตามแนวแห่งปฏิสัมภิทามรรค

บรรดากรรม ๑๒ อย่างนั้น กรรมที่บ่ระมวลมาในอดีต ได้วาระแห่งผลในอดีตนั่นเองที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็ให้เกิดปฏิสนธิแล้ว ส่วนที่จะให้เกิดรูป ก็สามารถให้เกิดรูปขึ้น ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ได้มีมาแล้ว.

ส่วนกรรมที่ไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้ปฏิสนธิ ก็ไม่สามารถจะให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็ไม่สามารถจะให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ไม่ได้มีมาแล้ว.

ส่วนกรรมที่ประมวลมาแล้วในอดีต ได้วาระแห่งผลในปัจจุบันแล้วที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็ให้เกิดปฏิสนธิแล้ว หรือที่จะให้เกิดรูป ก็ให้เกิดรูปแล้วตั้งอยู่ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ยังมีอยู่.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 138

ส่วนกรรมที่ไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็ไม่สามารถจะให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็ไม่สามารถให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ไม่มีอยู่.

ส่วนกรรมที่ประมวลมาในอดีตกาล จักได้วาระแห่งวิบากในอนาคตที่ให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักสามารถให้ปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักสามารถให้เกิดรูป ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม จักมีมา.

ส่วนกรรมที่จักไม่ได้วาระแห่งวิบากในอนาคตที่ให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักไม่สามารถให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักไม่สามารถให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม จักไม่มีมา.

ส่วนกรรมที่ประมวลมาในปัจจุบัน และจะได้วาระแห่งวิบากในปัจจุบันเหมือนกัน ท่านกล่าวว่า กรรมมีอยู่ กรรมวิบากก็มีอยู่.

ส่วนกรรมที่ไม่ได้วาระแห่งวิบากในปัจจุบัน ท่านกล่าวว่า กรรมมี แต่กรรมวิบากไม่มี.

ส่วนกรรมที่ประมวลมาในปัจจุบัน แต่จักได้วาระแห่งวิบากในอนาคตที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักสามารถให้เกิดปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักให้เกิดรูป (ในอนาคต) ได้ ท่านกล่าวว่า กรรมมีอยู่ กรรมวิบากก็จักมีมา.

ส่วนกรรมที่จักไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักไม่สามารถให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักไม่สามารถให้เกิดรูป (ในอนาคต) ได้ ท่านกล่าวว่า กรรมมีอยู่ แต่ผลกรรมจักไม่มีมา.

ส่วนกรรมที่จักประมวลมาในอนาคต จักได้วาระแห่งวิบากในอนาคตเหมือนกันที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักให้เกิดปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักให้เกิดรูป ท่านกล่าวว่า กรรมก็จักมี กรรมวิบากก็จักมี.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 139

ส่วนกรรมที่จักไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักไม่สามารถให้เกิดปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักไม่สามารถให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมจักมีมา แต่กรรมวิบากจักไม่มี.

ตามปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านจำแนกกรรมไว้ ๑๒ อย่าง ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.

กรรม ๑๒ อย่างเหล่านี้ก็ดี กรรม ๑๖ อย่างข้างต้นก็ดี ที่จำแนกไว้แล้ว ย่อจากฐานะของตนลงมา กล่าวโดยปริยายแห่งสุตตันตะ จะมี ๑๑ อย่างเท่านั้น. ถึงกรรมเหล่านั้น ย่อจากกรรม ๑๑ อย่างนั้นแล้ว จะเหลือเพียง ๓ อย่างเท่านั้น คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ กรรมเหล่านี้ไม่มีการก้าวก่ายกัน ย่อมตั้งอยู่ในฐานะของตนอย่างเดียว.

เพราะว่า ถ้าหาก ทิฏฐรรมเวทนียกรรม กลายเป็น อุปปัชชเวทนียกรรม หรือ อปรปริยายเวทนียกรรม ไปไซร้ พระศาสดาคงไม่ตรัสว่า ทิฏฺเว ธมฺเม (ในปัจจุบันนี้เท่านั้น). แม้ถ้าว่า อุปปัชชเวทนียกรรม จักกลายเป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หรือ อปรปริยายเวทนียกรรม ไปไซร้ พระศาสดาคงไม่ตรัสว่า อุปปชฺเช วา (ในภพที่จะเกิดขึ้น). อนึ่ง หาก อปรปริยายเวทนียกรรม จะกลายเป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หรือ อุปปัชชเวทนียกรรมไป พระศาสดาก็คงไม่ตรัสว่า อปเร วา ปริยาเย (หรือในปริยายภพต่อไป). แม้ในสุกปักษ์ (กุศลกรรม) พึงทราบความโดยนัยนี้เหมือนกัน.

และพึงทราบวินิจฉัยในธรรมที่เป็นสุกปักษ์ ดังต่อไปนี้ บทว่า โลเภ วิคเต ความว่า เมื่อความโลภปราศไปแล้ว คือ ดับแล้ว. บทว่า ตาลวตฺถุกตํ

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 140

ความว่า ทำให้เป็นเหมือนต้นตาล. อธิบายว่า ทำให้ไม่งอกขึ้นมาอีก เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดยอดแล้ว. บทว่า อนภาวํ กตํ ความว่า กระทำไม่ให้มีในภายหลัง อธิบายว่า กระทำโดยไม่ให้เกิดขึ้นอีก. บทว่า เอวสฺสุ ความว่า พึงเป็นอย่างนั้น.

พึงทราบข้อเปรียบเทียบ ในบทว่า เอวเมว โข ดังต่อไปนี้ กุศลกรรมและอกุศลกรรม พึงเห็นเหมือนพืช พระโยคาวจร พึงเห็นเหมือนบุรุษเอาไฟเผาพืชเหล่านั้น. มัคคญาณ พึงเห็นเหมือนไฟ. เวลาที่กิเลสถูกมัคคญาณเผาไหม้ พึงเห็นเหมือนเวลาที่จุดไฟเผาพืช. เวลาที่พระโยคาวจรทำรากของขันธ์ ๕ ให้ขาดแล้วดำรงอยู่ พึงเห็นเหมือนเวลาที่บุรุษเผาพืชให้เป็นเขม่า. เวลาที่พระขีณาสพไม่ถือปฏิสนธิในภพใหม่ เพราะดับขันธ์ โดยที่ขันธ์ ๕ ซึ่งมีรากขาดแล้ว ไม่ปฏิสนธิต่อไป เพราะดับความสืบต่อแห่งอุปาทินนกสังขารได้แล้ว พึงทราบเหมือนเวลาที่พืชถูกเขาโปรยไปที่ลมแรง หรือลอยไปในแม่น้ำ ทำให้ไม่หวนกลับมาได้อีก.

บทว่า โมหชํ วาปิ วิทฺทสุ (๑) ความว่า ผู้ไม่รู้ (ทำกรรม) แม้ที่เกิดแต่โมหะ. มีคำอธิบายที่ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า เขาไม่รู้ คือ เป็นอันธพาล ทำกรรมที่เกิดแต่โลภะบ้าง เกิดแต่โทสะบ้าง เกิดแต่โมหะบ้าง กรรมใดที่เขากระทำอยู่เช่นนี้ กระทำแล้วน้อยก็ตาม มากก็ตาม. บทว่า อิเธว ตํ เวทนียํ ความว่า กรรมนั้นเป็นกรรมที่คนพาลนั้นจะพึงได้เสวยในโลกนี้ คือ ในอัตภาพของตนนี้แหละ อธิบายว่า กรรมนั้นจะให้ผลในอัตภาพของเขานั่นแหละ (๒).


(๑) ปาฐะว่า โมหชํ วาปิ วิทฺทสุ ในบาลีและฉบับพม่าเป็น โมหชญฺจาปิวิทฺทสุ.

(๒) ปาฐะว่า ตสฺเสว อตฺตภาเว จ วิปจฺจติ ฉบับพม่าเป็น ตสฺเสว ตํ อตฺตภาเว วิปจฺจติ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 141

บทว่า วตฺถุํ อญฺํ น วิชฺชติ ความว่า ไม่มีสิ่งอื่นเพื่อประโยชน์แก่การรับผลของกรรมนั้น. เพราะกรรมที่คนหนึ่งทำไว้ จะให้ผลในอัตภาพของอีกคนหนึ่งไม่ได้ (๑).

บทว่า ตสฺมา โลภญฺจ โทสญฺจ โมหญฺจาปิ วิทฺทสุ ความว่า เพราะฉะนั้น ภิกษุใดเป็นผู้รู้ คือ เป็นผู้มีปัญญา ได้แก่ เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ทำกรรมนั้น แยกประเภทมีกรรมเกิดแต่ความโลภเป็นต้น ภิกษุนั้นผู้ยังวิชชาให้เกิดขึ้นอยู่ พึงละทุคติทุกอย่างได้ คือ เมื่อทำวิชชาคือพระอรหัตมรรคให้เกิดขึ้น จะละทุคติทุกอย่างได้. นี้เป็นหัวข้อ (ตัวอย่าง) แห่งเทศนาเท่านั้น. ส่วนพระขีณาสพนั้น แม้สุคติก็ละได้ทั้งนั้น. แม้ในคำที่ตรัสไว้ว่า ตสฺมา โลภญฺจ โทสญฺจ ดังนี้ พึงทราบว่า ทรงแสดงถึงกรรมที่เกิดแต่โลภะ และเกิดแต่โทสะเหมือนกัน โดยหัวข้อ คือ โลภะ และโทสะ. ทั้งในพระสูตร ทั้งในพระคาถา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสทั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะไว้ โดยประการดังกล่าวมาแล้วนี้แล.

จบอรรถกถานิทานสูตรที่ ๔


(๑) ปาฐะว่า น หิ อญฺเน กตํ กมฺมํ น อญฺสฺส อตฺตภาเว วิปจฺจติ ฉบับพม่าเป็น น หิ อญฺเน กตํ กมฺมํ อญฺสฺส อตฺตภาเว วิปจฺจติ.