พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. สานุสูตร ว่าด้วยสามเณรถูกยักษ์สิง

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ส.ค. 2564
หมายเลข  36439
อ่าน  367

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 397

๕. สานุสูตร

ว่าด้วยสามเณรถูกยักษ์สิง


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 397

๕. สานุสูตร

ว่าด้วยสามเณรถูกยักษ์สิง

[๘๑๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี.

สมัยนั้นแล บุตรของอุบาสิกาคนหนึ่งชื่อสานุ ถูกยักษ์เข้าสิง.

[๘๑๕] ครั้งนั้นแล อุบาสิกานั้นได้ปริเวทนาการกล่าวคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า

ฉันได้สดับต่อพระอรหันต์ทั้งหลายว่า ชนเหล่าใดเข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการด้วยดี ตลอดดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์ ทั้งตลอดปาริหาริกปักษ์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ยักษ์ทั้งหลายย่อมไม่เล่นกับชนเหล่านั้น บัดนี้ฉันเห็นในวันนี้ ยักษ์เล่นกับสามเณรสานุ.

[๘๑๖] ยักษ์กล่าวว่า

ท่านได้สดับต่อพระอรหันต์ทั้งหลายว่า ชนเหล่าใดเข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการด้วยดี ตลอดดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์ ทั้งตลอดปาริหาริกปักษ์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ยักษ์ทั้งหลายย่อมไม่เล่นกับชนเหล่านั้น เป็นการชอบ ท่านพึงบอกสานุผู้ฟื้นขึ้นแล้ว

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 398

ว่า ยักษ์สั่งคำนี้ไว้ว่า ท่านอย่าได้กระทำกรรมอันลามกทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ถ้าท่านจักกระทำกรรมอันลามกไซร้ ถึงท่านจะเหาะหนีไปก็ไม่พ้นจากทุกข์.

[๘๑๗] สามเณรสานุฟื้นขึ้นแล้วกล่าวว่า

โยม ญาติ และมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้วหรือยังเป็นอยู่แต่หายไป โยมยังเห็นฉันเป็นอยู่ ไฉนโยมจึงร้องไห้ถึงฉัน.

[๘๑๘] อุบาสิกากล่าวว่า

ลูกเอ๋ย ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้วหรือยังเป็นอยู่แต่หายไป แต่คนใดละกามทั้งหลายแล้วจะกลับมาในกามนี้อีก ลูกรัก ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนนั้น เพราะเขาเป็นอยู่ต่อไปอีกก็เหมือนตายแล้ว แน่พ่อเรายกท่านขึ้นจากเถ้ารึงที่ยังร้อนระอุแล้ว ท่านอยากจะตกลงไปสู่เถ้ารึงอีก แน่พ่อเรายกท่านขึ้นจากเหวแล้ว ท่านอยากจะตกลงไปสู่เหวอีก เราจะโพนทะนาแก่

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 399

ใครเล่าว่า ขอท่านจงช่วยกัน ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ประดุจสิ่งของที่ขนออกแล้วจากเรือนที่ไฟไหม้ แก่ท่านอยากจะเผามันเสียอีก.

อรรถกถาสานุสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในสานุสูตรที่ ๕ ต่อไปนี้ :-

บทว่า ยกฺเขน คหิโต โหติ ความว่า เล่ากันว่า บุตรนั้นเป็นบุตรคนเดียวของอุบาสิกานั้น. ครั้งนั้น นางให้บุตรนั้นบรรพชาในเวลาเป็นหนุ่มแล. สานุสามเณรนั้น ตั้งแต่เวลาบรรพชาแล้ว มีศีลถึงพร้อมด้วยวัตร. สามเณรได้ทำวัตรแก่อาจารย์ อุปัชฌายะและพระอาคันตุกะเป็นต้น เดือนละแปดวัน ลุกแต่เช้าเข้าไปตั้งน้ำไว้ ในโรงน้ำ กวาดโรงฟังธรรม ตามประทีป ประกาศฟังธรรมด้วยเสียงไพเราะ. พวกภิกษุทราบกำลังของสามเณรนั้น จึงเชื้อเชิญว่า พ่อเณร จงกล่าวบทสรภัญญะเถิด. สามเณรนั้น ไม่นำอะไรมาอ้างว่า ลมเสียดแทงหัวใจของผม หรือโรคไอรบกวน ขึ้นธรรมาสน์ กล่าวบทสรภัญญะเหมือนยังแม่น้ำคงคาในอากาศให้ตกลงอยู่ฉะนั้น ลงมากล่าวว่า ขอส่วนบุญในสรภัญญะนี้ จงมีแก่มารดาบิดาของข้าพเจ้าเถิด. ส่วนมารดาบิดาของสามเณรนั้นไม่รู้ว่าส่วนบุญสามเณรนั้นให้แล้ว. ก็มารดาของสามเณรในอัตภาพก่อนนั้นเกิดเป็นนางยักษิณี นางมากับพวกเทวดาฟังธรรมแล้ว จึงกล่าวว่าลูก ข้าพเจ้าขออนุโมทนาส่วนบุญอันสามเณรให้แล้ว. ก็ธรรมดาพวกภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นที่รักของโลกพร้อมทั้งเทวโลกด้วยประการฉะนี้. เหล่า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 400

เทวดามีความละอาย มีความเคารพในสามเณรนั้น ย่อมสำคัญสามเณรนั้นเหมือนท้าวมหาพรหม และเหมือนกองไฟ ยกนางยักษิณีนั้นขึ้นเป็นที่เคารพดูแล ด้วยความเคารพในสามเณร ได้ให้อาสนะ น้ำ ก้อนข้าวอันล้ำเลิศแก่นางยักษิณีด้วยสำคัญว่า มารดาของสานุ ดังนี้ ในสถานที่ฟังธรรมและยักขสมาคม เป็นต้น พวกยักษ์ ผู้มีศักดิ์ใหญ่ พบนางยักษิณีนั้นหลีกทางให้ลุกจากอาสนะ.

ครั้งนั้น สามเณรนั้น ถึงความเจริญ มีอินทรีย์แก่กล้า ถูกความไม่ยินดีบีบคั้น เมื่อไม่อาจจะบรรเทาความไม่ยินดีได้ จึงปล่อยให้ผมและเล็บยาวรกรุงรัง ทั้งสบงและจีวรสกปรกเหลือเกิน ไม่บอกแก่ใคร ถือบาตรและจีวรไปยังประตูเรือนของมารดาแต่ผู้เดียวเท่านั้น. อุบาสิกาเห็นสามเณรไหว้แล้วได้กล่าวว่า ลูก เมื่อก่อน เจ้ามาในที่นี้กับอาจารย์อุปัชฌายะ หรือภิกษุหนุ่มและสามเณร เพราะเหตุไร ในวันนี้ เจ้ามาแล้ว แต่ผู้เดียวเล่า. สามเณรนั้นบอกความเป็นผู้กระสัน. อุบาสิกาเป็นคนมีศรัทธา แสดงโทษในการอยู่ครองเรือนโดยประการต่างๆ กล่าวสอนสามเณร เมื่อไม่อาจจะให้สามเณรนั้นยินยอมได้ คิดว่า กระไรเสีย สามเณรจักกำหนด แม้ตามธรรมดาของตนได้ จึงชักชวนกล่าวว่า ลูก เจ้าจงหยุดอยู่จนกว่าแม่จะให้จัดข้าวยาคูและภัตพร้อมแก่เจ้า แม่จักถวายผ้าที่พอใจแก่เจ้าผู้ดื่มข้าวยาคูทำภัตกิจเสร็จแล้วดังนี้ แล้วจึงจัดอาสนะถวาย. สามเณรนั่งแล้ว. อุบาสิกาให้จัดข้าวยาคูและของขบเคี้ยวถวายเสร็จแล้วโดยครู่เดียวเท่านั้น. ต่อมา นางคิดว่า จักให้จัดภัตให้พร้อมนั่งซาวข้าวอยู่ในที่ไม่ไกล. สมัยนั้น นางยักษิณีนั้น รำพึงอยู่ว่า สามเณรได้อาหารอะไร ในที่ไหนหนอแล หรือไม่ได้ รู้ว่า สามเณรนั้นนั่งแล้วเพราะจะสึก คิดว่า สามเณรอย่าพึงให้ความละอายเกิดขึ้นระหว่างเทวดาของเรา เราจะไปทำอันตราย ในการสึกของสามเณรนั้น มาแล้วสิงที่ร่างบิดคอให้ล้มลงที่

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 401

พื้น. สามเณรนั้น มีนัยตาเหลือก น้ำลายไหล ดิ้นอยู่ที่พื้น. เพราะเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า บุตรชื่อว่าสานุของอุบาสิกาถูกยักษ์สิงแล้ว.

บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า อุบาสิกา เห็นอาการแปลกนั้น ของบุตรมาแล้วโดยเร็ว กอดบุตรให้นอนบนขา. ชาวบ้านทั้งสิ้นมาทำพิธีมีพลีกรรมเป็นต้น. อุบาสิกา เมื่อคร่ำคราญ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้. บทว่า ปาริหาริกปกฺขญฺจ ความว่า พวกมนุษย์คิดว่า เราจักทำการรับและการส่งอุโบสถดิถีที่ ๘ จึงสมาทานองค์อุโบสถในดิถีที่ ๗ บ้าง ดิถีที่ ๙ บ้าง. เมื่อทำการรับและการส่งดิถีที่ ๑๔ และ ๑๕ สมาทานในดิถีที่ ๑๓ บ้าง ในวันปาฏิบทบ้าง. มนุษย์คิดว่า พวกเราจักทำการส่งการอยู่จำพรรษา เป็นผู้รักษาอุโบสถเป็นนิตย์ กึ่งเดือนระหว่างปวารณาทั้งสอง. อุบาสิกา หมายเอาข้อนี้ จึงกล่าวว่า ปาริหาริกปกฺขญฺจ. บทว่า อฏฺงฺคสุสมาคตํ ความว่า ประกอบด้วย คือประกอบดีแล้วด้วยองค์ ๘. บทว่า พฺรหฺมจริยํ แปลว่า ประพฤติประเสริฐ. บทว่า น เตหิ ยกฺขา กีฬนฺติ ความว่า พวกยักษ์ ย่อมไม่สิงชนเหล่านั้นเล่น. นางยักษิณี สิงที่ร่างของสามเณรแล้ว จึงกล่าว คาถาเหล่านี้ว่า จาตุทฺทสึ ดังนี้อีก. บทว่า อาวิ วา ยทิ วา รโห ความว่า ในที่ต่อหน้า หรือในที่ลับหลังใครๆ. บทว่า ปมุตฺยตฺถิ ตัดบทว่า ปมุตฺติ อตฺถิ แปลว่า ความพ้น มีอยู่.

บทว่า อุปฺปจฺจาปิ แปลว่า แม้เหาะไป. นางยักษิณีกล่าวว่า ถ้าเจ้าจะเหาะหนีไป เหมือนนก แม้อย่างนั้นเจ้าก็พ้นไปไม่ได้. ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงปล่อยสามเณร. สามเณรลืมตา. มารดา สยายผม ร้องไห้สะอึกสะอื้น. สามเณรนั้นไม่รู้ว่า เราถูกอมนุษย์สิงแล้ว. ก็สามเณร แลดูอยู่คิดว่า ในก่อน เรานั่งบนตั่งแล้ว มารดานั่งซาวข้าวอยู่ในที่ไม่ไกลเรา แต่เดี๋ยวนี้ เรานั่งแล้วบนพื้น ส่วนมารดาของเรา ร้องให้สะอึกสะอื้นอยู่ แม้ชาว

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 402

บ้านทั้งสิ้นก็ประชุมกันแล้ว นั่นอะไรกันหนอแลดังนี้ ทั้งที่นอนนั่นแหละกล่าวคาถาว่า มตํ วา อมฺม เป็นต้น.

บทว่า กาเม จชิตฺวาน ความว่า ละกามแม้สองอย่าง. บทว่า ปุน อาคจฺฉเต ได้แก่ ย่อมมาด้วยอำนาจการสึก. บทว่า ปุน ชีวํ มโต หิ โส ความว่า คนใดสึกแล้ว แม้จะเป็นอยู่ต่อไปอีก ก็เหมือนตายแล้ว เพราะฉะนั้นญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงบุคคลนั้น. บัดนี้ นางเมื่อแสดงโทษในการอยู่ครองเรือนแก่สามเณรนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า กุกฺกุฬา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุกฺกุฬา ความว่า ได้ยินว่า การอยู่ครองเรือนชื่อว่า เถ้ารึง เพราะอรรถว่าร้อนระอุ. บทว่า กสฺส อุชฺฌาปยามเส ความว่า มารดา กล่าวอย่างนี้ว่า ขอท่านจงช่วยกัน ขอความเจริญ จงมีแก่ท่านดังนี้แล้วกล่าวอยู่ว่า เจ้าอยากสึกถูกยักษ์สิง เราจะยกโทษบอกอาการอันแปลกนี้แก่ใครเล่า. บทว่า ปุน ฑยฺหิตุมิจฺฉติ ความว่า เจ้าออกจากเรือนบวช ในพระพุทธศาสนาแล้ว เหมือนสิ่งของที่เขาขนออกแล้วจากเรือนที่ไฟไหม้ แต่ท่านยังปรารถนาจะถูกเผาในการอยู่ครองเรือน เช่นถูกเผาใหญ่อีกหรือ. เมื่อมารดากล่าวอยู่ สามเณรนั้น กำหนดแล้ว กลับได้หิริและโอตตัปปะ จึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการเป็นคฤหัสถ์. ครั้งนั้น มารดาของสามเณรนั้น ยินดีว่า ดีละลูกดังนี้ ถวายโภชนะอันประณีตให้ฉันแล้ว จึงถามว่า ลูก เจ้าอายุกี่ปี. สามเณรตอบว่า แม่ ยี่สิบปีบริบูรณ์. อุบาสิกากล่าวว่า ลูก ถ้าเช่นนั้น ขอเจ้า จงทำการอุปสมบทเถิด ได้ถวายผ้าจีวรแล้ว. สามเณรนั้น ให้ทำจีวรแล้วอุปสมบท เรียนพระพุทธพจน์อยู่ ทรงพระไตรปิฎก ยังพระพุทธพจน์นั้นให้บริบูรณ์ ในอาคตสถานแห่งศีลเป็นต้น ไม่นาน บรรลุความเป็นพระอรหันต์

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 403

เป็นพระธรรมกถึกผู้ใหญ่ ดำรงอยู่ได้ ๑๒๐ ปี ให้ชมพูทวีปทั้งสิ้นสั่นสะเทือน แล้วก็ปรินิพพาน.

จบ อรรถกถาสานุสูตรที่ ๕