พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. ราชสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  29 ส.ค. 2564
หมายเลข  36276
อ่าน  472

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 422

๓. ราชสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 422

๓. ราชสูตร

[๓๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ที่เกิดมาแล้วที่พ้นจากชราและมรณะมีอยู่บ้างหรือไม่.

[๓๓๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาบพิตร คนเกิดมาแล้วที่จะพ้นจากชรามรณะไม่มีเลย แม้กษัตริย์มหาศาลซึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมากมาย มีทรัพย์เครื่องปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์คือข้าวเปลือกมากมาย ก็ไม่พ้นจากชรามรณะ แม้พราหมณ์มหาศาลซึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง ฯลฯ ก็ไม่พ้นจากชรามรณะ แม้คฤหบดีมหาศาล ก็ไม่พ้นจากชรามรณะ ภิกษุแม้ทุกรูป ซึ่งเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กระทำกรณียะเสร็จแล้ว วางภาระหนักลงได้แล้ว ได้บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ร่างกายนี้แม้แห่งพระอรหันต์เหล่านั้น ก็เป็นสภาพแตกดับต้องทอดทิ้งเป็นธรรมดา.

[๓๓๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 423

ราชรถอันวิจิตรดีย่อมคร่ำคร่าโดยแท้ อนึ่ง แม้สรีระก็ย่อมเข้าถึงชรา แต่ว่าธรรมของสัตบุรุษหาเข้าถึงชราไม่ สัตบุรุษกับสัตบุรุษเท่านั้น ย่อมรู้กันได้.

อรรถกถาราชสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในราชสูตรที่ ๓ ต่อไป :-

บทว่า อญฺตฺร ชรามรณา ความว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามว่า คนที่พ้นจากชรามรณะมีอยู่หรือ.

บทว่า ขตฺติยมหาสาลา แปลว่า กษัตริย์มหาศาล คือ กษัตริย์ที่ถึงความเป็นผู้มีสารสมบัติมาก.

จริงอยู่ กษัตริย์เหล่าใด มีทรัพย์เก็บไว้ ๑๐๐ โกฏิเป็นอย่างต่ำ มีกหาปณะ ๓ หม้อ จัดกองไว้กลางคฤหะ (เรือน) สำหรับใช้สอย กษัตริย์เหล่านั้น ชื่อว่า กษัตริย์มหาศาล. พราหมณ์เหล่าใด มีทรัพย์เก็บไว้ ๘๐ โกฏิ มีกหาปณะหม้อครึ่ง จัดกองไว้กลางคฤหะ สำหรับใช้สอย พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า พราหมณมหาศาล. คฤหบดีเหล่าใด มีทรัพย์เก็บไว้ ๔๐ โกฏิ มีกหาปณะหม้อหนึ่ง จัดกองไว้กลางคฤหะ สำหรับใช้สอย คฤหบดีเหล่านั้น ชื่อว่า คฤหบดีมหาศาล.

บทว่า อฑฺฒา ได้แก่ เป็นใหญ่.

ชื่อว่า มีทรัพย์มาก ก็เพราะทรัพย์ที่เก็บไว้มีมาก. ชื่อว่า มีโภคะมาก ก็เพราะของใช้สอยมีภาชนะทองเงิน เป็นต้น มีมาก. ชื่อว่า มีทองและเงินมากพอ ก็เพราะทองและเงินที่ยังไม่ได้เก็บไว้มีมากพอ. ชื่อว่า มีอุปกรณ์ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมากพอ ก็เพราะมี

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 424

อุปกรณ์ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ คือ เหตุแห่งความยินดีมีมากพอ. ชื่อว่า มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากพอ ก็เพราะทรัพย์ คือ โค เป็นต้น และข้าวเปลือก ๗ อย่างมีมากพอ.

บทว่า เตสมฺปิ ชาตานํ นตฺถิ อญฺตฺร ชรามรณา ความว่าอิสรชน ดังกล่าวมาแม้เหล่านั้น เกิดมาแล้ว คือบังเกิดแล้วจะละเว้นจากชรามรณะไม่มี คือชื่อว่า พ้นจากชรามรณะ เพราะเกิดมาแล้วนั่นแลไม่มี อิสรชนเหล่านั้น ตกอยู่ภายในชรามรณะนั่นเทียว.

ในบทว่า อรหนฺโต เป็นต้น เหล่าภิกษุชื่อว่า อรหันต์ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย.

ชื่อว่า ขีณาสพ ก็เพราะภิกษุเหล่านั้น สิ้นอาสวะ ๔ แล้ว.

ชื่อว่า วุสิตวันตะ ก็เพราะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว คือ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว..

ชื่อว่า กตกรณียะ เพราะภิกษุเหล่านั้น มีกิจที่ควรทำด้วยมรรค ๔ ทำเสร็จแล้ว.

ชื่อว่า โอหิตภาระ เพราะภิกษุเหล่านั้น ปลงภาระเหล่านี้ คือ ขันธภาระ กิเลสภาระ อภิสังขารภาระ กามคุณภาระเสียแล้ว.

ชื่อว่า อนุปปัตตสทัตถะ ก็เพราะภิกษุเหล่านั้นบรรลุประโยชน์ของตน กล่าวคือ พระอรหัตแล้ว.

ชื่อว่า ภวปริกขีณสังโยชนะ เพราะภิกษุเหล่านั้นสิ้นภวสังโยชน์ทั้ง ๑๐ แล้ว.

ชื่อว่า สัมมทัญญาวิมุตตะ เพราะภิกษุเหล่านั้นหลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ คือ โดยเหตุ อธิบายว่า รู้สัจธรรม ๔ ด้วยมรรคปัญญาแล้ว หลุดพ้นโดยผลวิมุตติ.

บทว่า เภทนธมฺโม แปลว่า มีอันแตกไปเป็นสภาพ.

บทว่า นิกฺเขปนธมฺโม แปลว่า มีอันจะพึงทอดทิ้งเป็นสภาพ.

จริงอยู่ แม้ธรรมคือความไม่ชราของพระขีณาสพมีอยู่ คือพระนิพพานที่ท่านแทงตลอดโดยอารมณ์ แท้จริง พระนิพพานนั้น ย่อมไม่ชรา แต่ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรม คือความชราของพระขีณาสพนั้น จึงตรัสอย่างนี้.

ได้ยินว่าการตั้งพระสูตร มีอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง ดังนี้

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 425

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เป็นเรื่องที่นั่งพูดกันที่โรงเก็บวอ.

ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นยาน คือ รถ เป็นต้น อันงดงาม จึงทรงทำสิ่งที่ทรงเห็นนั่นแหละ ให้เป็นข้อเปรียบเทียบ ตรัสพระคาถาว่า ชีรนฺติ เวราชรถา สุจิตฺตา เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชีรนฺติ ได้แก่ เข้าถึงชรา.

บทว่า ราชรถา ได้แก่ รถอันงดงามของพระราชา.

บทว่า สุจิตฺตา ได้แก่ อันงามดีด้วยทองและเงิน เป็นต้น.

บทว่า อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ ความว่าเมื่อรถทั้งหลายอันทำด้วยไม้แก่น ไม่มีใจครองเห็นปานนี้ คร่ำคร่าไป คำอะไรๆ ที่จะพึงกล่าวในสรีระ ที่ทำด้วยเนื้อและเลือด เป็นต้น ซึ่งมีใจครองอันเป็นภายในนี้ คือ สรีระก็ถึงความชราทั้งนั้น.

บทว่า สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ ความว่า เหล่าสัตบุรุษ ย่อมรู้กันกับเหล่าสัตบุรุษอย่างนี้ว่า ธรรมของเหล่าสัตบุรุษไม่ถึงความชรา พระนิพพาน ชื่อว่า ธรรมของเหล่าสัตบุรุษ พระนิพพานนั้นไม่ชรา.

อธิบายว่า เหล่าสัตบุรุษกล่าวอย่างนี้ว่า พระนิพพานไม่แก่ ไม่ตาย.

อีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะอาศัยพระนิพพาน กิเลสทั้งหลายที่มีสภาพจมจึงแตกไป ฉะนั้น พระนิพพานนั้น ท่านจึงเรียกว่า สพฺภิ.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงเหตุ ของบทต้น จึงตรัสว่า สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ.

จริงอยู่ ท่านอธิบายไว้ดังนี้ ว่าธรรมของเหล่าสัตบุรุษ ย่อมไม่เข้าถึงชรา.

เพราะเหตุไร เพราะเหล่าสัตบุรุษ ย่อมประกาศกับเหล่าสัตบุรุษ. อธิบายว่า ย่อมบอกกันว่า พระนิพพานที่ไม่แก่ ชื่อว่า ธรรมของเหล่าสัตบุรุษ.

อีกนัยหนึ่ง คำว่า สัพภิ นี้ เป็นชื่อที่ดี อธิบายว่า เหล่าสัตบุรุษย่อมประกาศบอกพระนิพพาน ที่เป็นสัพภิธรรม สัพภิธรรมของสัตบุรุษอันใด ธรรมของเหล่าสัตบุรุษอันนั้น ย่อมไม่เข้าถึงความชรา.

จบอรรถกถาราชสูตรที่ ๓