พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. ทหรสูตร ว่าด้วยของ ๔ อย่างไม่ควรดูหมิ่น

 
บ้านธัมมะ
วันที่  29 ส.ค. 2564
หมายเลข  36274
อ่าน  682

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 406

โกสลสังยุต

ปฐมวรรคที่ ๑

๑. ทหรสูตร

ว่าด้วยของ ๔ อย่างไม่ควรดูหมิ่น


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 406

โกสลสังยุต

ปฐมวรรค

๑. ทหรสูตร

ว่าด้วยของ ๔ อย่างไม่ควรดูหมิ่น

[๓๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วจึงได้ทรงปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

[๓๒๓] พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า แม้ท่านพระโคดมทรงปฏิญาณหรือไม่ว่า ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยม.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาบพิตร ก็พระองค์เมื่อจะตรัสโดยชอบก็พึงตรัสถึงอาตมภาพว่า ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยม ดูก่อนมหาบพิตร เพราะว่าอาตมาภาพได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยมแล้ว.

[๓๒๔] พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้สมณพราหมณ์บางพวก เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็น

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 407

คณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสป มักขลิโคศาล นิครนถนาฏบุตร สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุธกัจจายนะ อชิตเกสกัมพล.

สมณพราหมณ์แม้เหล่านั้น เมื่อถูกข้าพระองค์ถามว่า ท่านทั้งหลายย่อมปฏิญาณได้หรือว่า เราได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณดังนี้ ก็ยังไม่ปฏิญาณตนได้ว่า ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ส่วนพระโคดมผู้เจริญยังทรงเป็นหนุ่มโดยกำเนิดและยังทรงเป็นผู้ใหม่โดยบรรพชา ไฉนจึงปฏิญาณได้เล่า.

[๓๒๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาบพิตร ของ ๔ อย่างเหล่านี้ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย ๔ อย่างเป็นไฉน ของ ๔ อย่างคือ

๑. กษัตริย์ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่ายังทรงพระเยาว์

๒. งู ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าตัวเล็ก

๓. ไฟ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย

๔. ภิกษุ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่ายังหนุ่ม

ดูก่อนมหาบพิตร ของ ๔ อย่างเหล่านี้ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย.

[๓๒๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า

นรชนไม่พึงดูถูกดูหมิ่น กษัตริย์ผู้ถึงพร้อมด้วยพระชาติ มีพระชาติสูง ผู้ทรงพระยศว่ายังทรงพระเยาว์ เพราะเหตุว่า พระองค์เป็นจอมมนุษย์ ได้เสวยราช-

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 408

สมบัติแล้ว ทรงพระพิโรธขึ้น ย่อมทรงลงพระราชอาญาอย่างหนักแก่เขาได้ เพราะฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์นั้นเสีย.

นรชนเห็นงูที่บ้านหรือที่ป่าก็ตาม ไม่พึงดูถูกดูหมิ่นว่าตัวเล็ก (เพราะเหตุว่า) งูเป็นสัตว์มีพิษ (เดช) ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไรๆ งูนั้นพึงฉกกัดชายหญิงผู้เขลาในบางคราว เพราะฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้นการดูหมิ่นงูนั้นเสีย.

นรชนไม่พึงดูถูกดูหมิ่นไฟที่กินเชื้อมาก ลุกเป็นเปลว มีทางดำ (ที่ๆ ไฟไหม้ไปดำ) ว่าเล็กน้อย เพราะว่าไฟนั้นได้เชื้อแล้วก็เป็นกองไฟใหญ่ พึงลามไหม้ชายหญิงผู้เขลาในบางคราว เพราะฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้นการดูหมิ่นไฟนั้นเสีย.

(แต่ว่า) ป่าใดที่ถูกไฟไหม้จนดำไปแล้ว เมื่อวันคืนล่วงไปๆ พันธุ์หญ้าหรือต้นไม้ยังงอกขึ้นที่ป่านั้นได้ ส่วนผู้ใดถูกภิกษุผู้มีศีลแผดเผา ด้วยเดช บุตรธิดาและปศุสัตว์ของผู้นั้นย่อมพินาศ ทายาทของ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 409

เขาก็ย่อมไม่ได้รับทรัพย์มรดก เขาเป็นผู้ไม่มีพันธุ์ ย่อมเป็นเหมือนตาลยอดด้วน.

เพราะฉะนั้นบุคคลผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาเห็นงู ไฟ กษัตริย์ผู้ทรงยศ และภิกษุผู้มีศีล ว่าเป็นภัยแก่ตน พึงประพฤติต่อโดยชอบทีเดียว.

[๓๒๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจบลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะได้เห็นรูป ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณคมน์จนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 410

โกสลสังยุต

อรรถกถาทหรสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในทหรสูตรที่ ๑ ต่อไป :-

บทว่า ภควตา สทฺธิํ สมฺโมทิ ความว่า แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงมีความยินดีร่วมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยอาการอย่างเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามถึงขันธปัญจกพอทนได้ เป็นต้น ยินดีกับท้าวเธอ คือ ทรงนำความยินดีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนน้ำเย็นกับน้ำร้อน ฉะนั้น.

อนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยินดี [บันเทิง] ด้วยถ้อยคำอันใดเป็นต้นว่า ท่านพระโคดม พอทนหรือ พอเป็นไปได้หรือ ท่านพระโคดมและเหล่าสาวกของพระโคดมมีอาพาธน้อย มีโรคน้อย คล่องแคล่ว มีเรี่ยวแรง อยู่เป็นสุขอยู่หรือ ทรงนำถ้อยคำนั้น ที่น่ายินดี น่าให้ระลึกถึงกันล่วงไป ให้ถึงที่สุด คือ จบลงด้วยปริยายเป็นอันมากอย่างนี้ คือ ชื่อว่า สัมโมทนียะ เพราะให้เกิดความยินดี กล่าวคือ ปีติปราโมทย์ และควรที่จะยินดี ชื่อว่า สาราณียะ เพราะมีอรรถพยัญชนะไพเราะ และเพราะเป็นถ้อยคำที่ควรระลึก โดยควรที่จะให้ระลึกถึงตลอดกาลนานๆ คือ เป็นไปเป็นนิตย์ ไม่ทรงทราบความลึก หรือความตื้น โดยคุณและโทษ เพราะไม่เคยพบพระตถาคต จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

เมื่อประทับนั่งแล้ว ก็ตรัสว่า ภวํปิ โน เป็นต้น เพื่อจะทูลถามปัญหาเรื่องการสลัดออกจากโลกและการลงสู่ภพ คือ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธะของศาสดา ที่ท้าวเธอเสด็จมาทำเป็นโอวัฏฏิกสารปัญหา คือ ปัญหาที่มีสาระวกวน.

ศัพท์ว่า ภวมฺปิ ในคำทูลถามนั้น เป็นนิบาตลงในอรรถว่าประมวล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประมวลศาสดาทั้ง ๖ ด้วยศัพท์นั้น.

อธิบายว่า ท่านพระโคดมก็ปฏิญาณ เหมือนศาสดาทั้ง ๖ มีปูรณกัสสป เป็นต้น ที่

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 411

ปฏิญญาว่าเราเป็นสัมมาสัมพุทธะหรือ แต่พระราชามิได้ทูลถามปัญหานี้ โดยลัทธิของพระองค์เอง ตรัสถามโดยอำนาจปฏิญญาที่มหาชนในโลกถือกัน.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงบันลือพุทธสีหนาท จึงตรัสว่า ยํ หิ ตํ มหาราช ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหํ หิ มหาราช ความว่า เราตถาคตตรัสรู้ยิ่งซึ่งสัมมาสัมโพธิ กล่าวคือ พระสัพพัญญุตญาณ อันยอดเยี่ยม ประเสริฐสุดแห่งญาณทั้งหมด.

บทว่า สมณพฺราหฺมณา ได้แก่ ชื่อว่าสมณะ เพราะเข้าบวช ชื่อว่าพราหมณ์ โดยกำเนิด.

ในบทว่า สงฺฆิโน เป็นต้น ที่ชื่อว่า สังฆี เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น มีสงฆ์ กล่าวคือชุมนุมนักบวช.

ที่ชื่อว่า คณี ก็เพราะสมณพราหมณ์ มีคณะนั้นนั่นแหละ.

ที่ชื่อว่า คณาจารย์ ก็เพราะเป็นอาจารย์ของคณะนั้น โดยให้ศึกษาอาจาระ.

บทว่า าตา แปลว่า ที่เขารู้จักกันทั่ว คือ ปรากฏแล้ว.

ที่ชื่อว่า ยสฺสฺสิ [มียศ] ก็เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น มียศ [เกียรติยศ] ฟุ้งขจรอย่างนี้ว่า ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ไม่นุ่งแม้แต่ผ้า เพราะเป็นผู้มักน้อย.

บทว่า ติตฺถกรา แปลว่า เจ้าลัทธิ.

บทว่า สาธุสมฺมตา ได้แก่ ที่เขาสมมติอย่างนี้ว่าเป็นคนสงบเป็นคนดี.

บทว่า พหุชนสฺส ได้แก่ ปุถุชนคนอันธพาล ผู้มิได้สดับฟัง [ศึกษา].

คำว่า ปูรณะ เป็นต้น เป็นชื่อตัวและโคตร [สกุล] ของเจ้าลัทธิเหล่านั้น. จริงอยู่ คำว่า ปูรณะ เป็นชื่อตัวเท่านั้น.

คำว่า มักขลิ ก็เหมือนกัน. ก็มักขลินั้น เรียกกันว่า โคสาล ก็เพราะเกิดในโรง [คอก] โค.

บทว่า นาฏปุตฺโต แปลว่า บุตรของนักรำ.

บทว่า เวลฏฺปุตฺโต แปลว่า บุตรของช่างสานเสื่อลำแพน.

บทว่า กจฺจายโน เป็นโคตร [สกุล] ของเดียรถีย์ชื่อ ปกุทธะ.

เรียกกันว่า อชิต เกสกัมพล ก็เพราะครองผ้ากัมพลทำด้วยผมคน.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 412

บทว่า เตปิ มยา ความว่า หลาหล (๑) มี ๓ คือ กัปปหลาหล พุทธหลาหล จักกวัตติหลาหล.

บรรดาหลาหลทั้ง ๓ นั้น หลาหลที่ว่า กัปจักปรากฏที่สุดแสนปี ชื่อว่า กัปปหลาหล.

เหล่าเทวดาเที่ยวป่าวร้องในถิ่นมนุษย์ว่า ในที่สุดแสนปีแต่นี้ไป โลกจักพินาศ ผู้นิรทุกข์ทั้งหลายจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากันเถิด.

ส่วนหลาหลที่ว่า พระพุทธเจ้าจักอุบัติในที่สุดพันปี ชื่อว่า พุทธหลาหล. เหล่าเทวดาป่าวร้องว่า ในที่สุดพันปีแต่นี้ไป พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้น อันพระสังฆรัตนะผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแวดล้อมแล้ว จักเสด็จจาริกแสดงธรรมโปรด.

ส่วนหลาหลที่ว่า ในที่สุดร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติ ชื่อว่า จักกวัตติหลาหล. เหล่าเทวดาป่าวร้องว่า ในที่สุดร้อยปีแต่นี้ไป พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ มีพระราชโอรสกว่าพันองค์เป็นบริวารเสด็จไปทางอากาศได้ [เหาะได้] จักทรงอุบัติ ดังนี้.

ก็ในหลาหลทั้ง ๓ นี้ ศาสดาทั้ง ๖ เหล่านี้ ได้ยินเรื่องพุทธหลาหล ก็เข้าไปหาอาจารย์เล่าเรียนวิชาว่าด้วยแก้วสารพัดนึก เป็นต้น แล้วก็ปฏิญญาว่า เราเป็นพุทธะ มหาชนห้อมล้อมจาริกไปตลอดชนบท มาถึงกรุงสาวัตถีตามลำดับ. เหล่าอุปัฏฐากคนบำรุง ของศาสดาเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ได้ยินว่า ท่านปูรณกัสสป ฯลฯ อชิตเกสกัมพล เป็นพุทธะ เป็นสัพพัญญู.

พระราชาตรัสสั่งว่า พวกท่านจงนิมนต์ศาสดาเหล่านั้นเข้ามา ศาสดาทั้ง ๖ นั้น อันอุปัฏฐากเหล่านั้นบอกว่า พระราชานิมนต์พวกท่าน โปรดไปรับอาหารในพระราชวังเถิด ดังนี้ ก็ไม่กล้าไป เมื่อถูกรบเร้าบ่อยๆ เข้า ก็รับเพื่อต้องการรักษาน้ำใจของเหล่าอุปัฏฐาก ก็ไปพร้อมกันทั้งหมด พระราชา


(๑) คำว่า หลาหล มี ๓ คือ กัปปหลาหล พุทธหลาหล จักกวัตติหลาหลนี้ อรรถกถาของพม่าใช้คำว่า โกลาหล ๓ คือ กัปปโกลาหล พุทธโกลาหล จักกวัตติโกลาหล...

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 413

โปรดให้จัดปูอาสนะ รับสั่งให้นั่ง. พระราชอำนาจแผ่สร้านไปทั่วตัวเหล่านิครนถ์. นิครนถ์เหล่านั้น ไม่อาจนั่งเหนืออาสนะที่สมควรอย่างใหญ่ได้ ก็นั่งบนแผ่นกระดานและพื้นดิน.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้นี่แล พระราชาก็ตรัสว่าธรรมอันสะอาดภายในของนิครนถ์เหล่านั้นไม่มี จึงไม่พระราชทานอาหาร ตรัสถามว่า พวกท่านเป็นพุทธะ หรือไม่ใช่พุทธะ ประหนึ่งทรงเอาค้อนตีผลตาลหล่นจากต้นตาล ฉะนั้น นิครนถ์เหล่านั้นคิดว่า ถ้าทูลว่า เราเป็นพุทธะ พระราชาตรัสถามในพุทธวิสัย เราก็ไม่อาจทูลตอบได้ ท้าวเธอก็จะตรัสว่าพวกท่านเที่ยวลวงมหาชนว่าเราเป็นพุทธะ ก็จะพึงโปรดให้ตัดลิ้นเสีย พึงทำความพินาศแม้อย่างอื่น ดังนี้แล้ว จึงกล่าวปฏิญญาของตนอย่างเดียวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพุทธะ ดังนั้น พระราชาจึงให้ลากตัวนิครนถ์เหล่านั้น ไปเสียจากพระราชวัง.

พวกนิครนถ์เหล่านั้น ออกจากพระราชวังแล้ว เหล่าอุปัฏฐากก็พากันถามว่า ท่านอาจารย์ พระราชาตรัสถามปัญหาแล้ว ได้ทรงกระทำสักการะและสัมมานะอะไร. เหล่านิครนถ์กล่าวว่า พระราชาตรัสถามว่า พวกท่านเป็นพุทธะ หรือไม่ใช่พุทธะ ต่อนั้น พวกเราคิดว่า ถ้าพระราชาพระองค์นี้ไม่ทรงทราบปัญหาที่ตรัสถามในพุทธวิสัย ก็จักขัดพระทัยในพวกเรา จักทรงประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก เพราะความเอ็นดูพระราชา พวกเราจึงไม่ทูลว่า พวกเราเป็นพุทธะ แต่ความจริงพวกเราก็เป็นพุทธะนั่นแหละ ความเป็นพุทธะของพวกเรา ใครๆ ก็ไม่อาจเอาน้ำล้างออกไปได้ ดังนั้น พวกเราจึงเป็นพุทธะภายนอก.

พวกนิครนถ์ไม่ทูลในสำนักของพระราชาว่า พวกเราเป็นพุทธะ พระราชาทรงถือเอาข้อนี้ จึงตรัสอย่างนี้.

ในข้อนั้น พระราชาทรงถือปฏิญญาของพระองค์ จึงตรัสคำนี้ว่า ท่านพระโคดม ยังหนุ่มโดยกำเนิดและยังใหม่ โดยการบวช ทำไมจึงทรงปฏิญาณว่า ตรัสรู้ยิ่งพระอนุตตระสัมมาสัมโพธิเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิํ เป็นคำปฏิเสธ.

นิครนถ์

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 414

เหล่านั้น โดยกำเนิดก็เป็นคนแก่ และบวชมานาน ยังไม่ปฏิญาณว่าเราเป็นพุทธะ ท่านพระโคดม โดยกำเนิดก็ยังหนุ่ม และโดยบรรพชาก็ยังใหม่ ทำไมจึงปฏิญญาณ อธิบายว่า ก็อย่าปฏิญาณสิ.

บทว่า น อุญฺาตพฺพา ได้แก่ ไม่พึงดูหมิ่น.

บทว่า น ปริโภตพฺพา ได้แก่ ไม่พึงดูแคลน.

บทว่า กตเม จตฺตาโร เป็น กเถตุกมฺยตาปุจฉา ถามเองตอบเอง.

บทว่า ขตฺติโย ได้แก่ พระราชกุมาร.

บทว่า อุรโค แปลว่า งูพิษ.

บทว่า อคฺคิ ก็แปลว่า ไฟนั่นแหละ.

ก็ในบทว่า ภิกฺขุ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงบรรพชิตผู้มีศีล ยกพระองค์เป็นภายใน [ตัวอย่าง] เพราะทรงฉลาดในเทศนาวิธี.

ในสภาวะ ๔ อย่างนั้น บุคคลพบพระราชกุมารหนุ่มทรงดำเนินสวนทาง ไม่ถวายทาง ไม่ลดผ้าห่ม ไม่ลุกจากที่นั่งที่นั่งอยู่ ไม่ลงจากหลังช้าง เป็นต้น กระทำความประพฤติที่ไม่สมควรเห็นปานนั้นแม้อย่างอื่นโดยดูหมิ่นว่าอยู่ในที่ต่ำ ชื่อว่า ดูหมิ่นกษัตริย์.

เมื่อกล่าวว่า พระราชกุมารผู้น่ารักพระองค์นี้ พระปรางยุ้ยอุทรพลุ้ย จักทรงสามารถระงับโจรผู้ร้าย ทรงปกครองราชกิจในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งได้หรือ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า ดูแคลน.

เอาลูกงูพิษแม้ขนาดเท่าไม้ป้ายยาตา มาประดับหูเป็นต้น ให้มันกัดนิ้วมือก็ดี ลิ้นก็ดี ชื่อว่า ดูหมิ่นงู.

เมื่อกล่าวคำว่า งูพิษตัวนี้น่าเอ็นดูหนอ เหมือนงูน้ำจักสามารถกัดอะไรๆ ได้หรือ จักสามารถแผ่พิษไปในร่างกายของใครๆ ได้หรือ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า ดูแคลนงู.

จับไฟแม้เท่าหิ่งห้อย เล่นด้วยมือ เหวี่ยงไปที่หม้อสิ่งของ เหวี่ยงไปที่มวยผมก็ดี ที่หลังที่นอนผ้ากระสอบ เป็นต้นก็ดี ชื่อว่า ดูหมิ่นไฟ.

กล่าวว่า ไฟนี้น่าเอ็นดูหนอ จักหุงต้มข้าวต้มข้าวสวยอะไรได้บ้างหนอ จักปิ้งปลาและเนื้ออะไรได้บ้าง จักบรรเทาความหนาวของใครได้ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า ดูแคลน.

อนึ่ง บุคคลพบภิกษุหนุ่มและสามเณร

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 415

เดินสวนทางแล้วไม่ถวายทาง กระทำความประพฤติที่ไม่สมควร ซึ่งกล่าวไว้แล้วในเรื่องพระราชกุมาร ชื่อว่า ดูหมิ่นภิกษุ.

กล่าวว่า สามเณรรูปนี้น่าเอ็นดูหนอ แก้มยุ้ย ท้องพลุ้ย จักสามารถเรียนพระพุทธวจนะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ จักสามารถยึดป่าแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ได้ จักเป็นที่น่าพอใจในเวลาเป็นพระสังฆเถระได้หรือ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า ดูแคลน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า ข้อนั้นแม้ทุกข้อไม่ควรทำ จึงตรัสว่า ไม่ควรดูหมิ่น ไม่ควรดูแคลน.

บทว่า เอตทโวจ ความว่า ได้ตรัสคำที่ผูกเป็นคาถานี้ ก็ชื่อว่าคาถาเหล่านี้ ย่อมแสดงความข้อนั้นบ้าง แสดงความที่แปลกออกไปบ้าง. บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาเหล่านี้ ย่อมแสดงทั้งความข้อนั้น ทั้งความแปลกออกไปทีเดียว.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งที่ดินทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงเกิดอักขระที่ ๒ ขึ้นว่า กษัตริย์ๆ ดังนี้.

บทว่า ชาติสมฺปนฺนํ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยชาติโดยชาติกษัตริย์ โดยชาติกษัตริย์นั้นแล.

บทว่า อภิชาตํ ได้แก่ เกิดสูงเกินตระกูลทั้ง ๓ [คือ ขัตติยมหาศาล พราหมณมหาศาล และคหปติมหาศาล].

บทว่า านํ แปลว่า มีเหตุ.

บทว่า มนุสฺสินฺโท ได้แก่ เป็นหัวหน้ามนุษย์.

บทว่า ราชทณฺเฑนท ได้แก่ ด้วยอาชญาที่พระราชายกขึ้นราชอาชญานั้น ไม่ชื่อว่า เล็กน้อย คือ ปรับไหมหมื่นหนึ่ง สองหมื่นทีเดียว.

บทว่า ตสฺมิํ ปกฺกมเต ภุสํ ได้แก่ พยายามลงโทษอย่างร้ายแรงในบุคคลนั้น.

บทว่า รกฺขํ ชีวิตมตฺตโน ได้แก่ เมื่อรักษาชีวิตตน ก็พึงละเว้น ไม่กระทบกระทั่งกษัตริย์นั้นเลย.

บทว่า อุจฺจาวเจหิ ได้แก่ ต่างๆ อย่าง.

บทว่า วณฺเณหิ ได้แก่ ด้วยทรวดทรงทั้งหลาย.

จริงอยู่ งูนั้น เมื่อท่องเที่ยวด้วยเพศอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะได้เหยื่อ งูทั้งหลายจึงเที่ยวไปด้วยเพศงูธรรมดาบ้าง งูน้ำบ้าง งู

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 416

เรือนบ้าง โดยที่สุดแม้ด้วยเพศกระแต.

บทว่า อาสชฺช แปลว่า ถึง.

บทว่า พาลํ ความว่า งูถูกคนเขลาผู้ใดกระทบแล้ว ก็พึงกัดคนเขลาผู้นั้นไม่ว่า ชายหรือหญิง.

บทว่า ปหุตพฺภกฺขํ แปลว่า มีอาหาร [เชื้อ] มาก. ความจริง ชื่อว่าอาหารของไฟไม่มีดอก.

บทว่า ชาลินํ แปลว่า ลุกโชน.

บทว่า ปาจกํ แปลว่า ไฟ. ปาฐะ ว่า ปาวกํ ก็มี.

บทว่า กณฺหวตฺตนิํ ความว่า ทางชื่อว่าวัตตนี ทางที่ไฟไปแล้ว ย่อมดำๆ เพราะฉะนั้น ไฟท่านจึงเรียกว่า กัณหวัตตนี ทางดำ.

บทว่า มหา หุตฺวา แปลว่า เป็นของใหญ่ ไฟบางครั้งก็มีขนาดเท่าพรหมโลก.

บทว่า ชายนฺติ ตตฺถ ปาโรหา ความว่า ในป่าที่ไฟไหม้แล้วนั้น ต้นไม้ใบหญ้าย่อมเกิดขึ้น ต้นไม้ใบหญ้า เป็นต้น ท่านเรียกว่า ปาโรหา.

จริงอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น ในที่ๆ ไฟไหม้แล้ว ยังเหลือแม้เพียงหัว ก็งอก เกิด เจริญได้จากหัวนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ปาโรหา. อีกนัยหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าชื่อว่า ปาโรหา เพราะอรรถว่างอกได้อีก.

บทว่า อโหรตฺตานมฺจฺจเย แปลว่า ในกาลล่วงไปแห่งวันและคืนทั้งหลาย. แม้เมื่อฝนแล้ง พอฝนตก ต้นไม้ใบหญ้าก็เกิด.

ในบทว่า ภิกฺขุ ฑหติ เตปสา นี้ ขึ้นชื่อว่าภิกษุ ด่าตอบภิกษุผู้ด่า ทะเลาะตอบผู้ทะเลาะ ประหารตอบผู้ประหาร ย่อมไม่สามารถเอาเดชเผาภิกษุไรๆ ได้. ส่วนภิกษุรูปใด ไม่ด่าตอบผู้ด่า ไม่ทะเลาะตอบผู้ทะเลาะ ไม่ประหารตอบผู้ประหาร ไม่ผิดในภิกษุนั้น ด้วยเดชแห่งศีลของภิกษุนั้น ย่อมเผาภิกษุนั้นได้.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า น ตสฺส ปุตฺตา ปสโว ดังนี้ อธิบายว่า ทั้งบุตรธิดาของผู้นั้น ทั้งโคกระบือไก่สุกร เป็นต้น ก็ไม่มี พินาศหมด.

บทว่า ทายาทา วินฺทเร ธนํ ความว่า แม้ทายาทของผู้นั้น ก็ไม่ได้ทรัพย์.

บทว่า ตาลวตฺถุ ภวนฺติ เต ความว่า ชนเหล่านั้นถูกเดชภิกษุเผาแล้ว ก็เป็นเหมือนต้นตาลขาดยอด คงเหลือเพียงลำต้น คือ ย่อมไม่เจริญด้วยบุตรธิดา เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 417

บทว่า ตสฺมา แปลว่า ก็เพราะชนเหล่านั้น ถูกเดชของสมณะเผาแล้ว มีอันไม่งอกงามเป็นธรรมดา เหมือนต้นตาลขาดยอดฉะนั้น.

บทว่า สมฺมเทว สมาจเร แปลว่า พึงประพฤติเอื้อเฟื้อโดยชอบ.

ถามว่า อะไร อันผู้ประพฤติเอื้อเฟื้อโดยชอบพึงทำ.

ตอบว่า ก่อนอื่นเมื่อพิจารณาเห็นอานิสงส์มีตำบลแขวงยานพาหนะ เป็นต้น ที่ได้มา เพราะอาศัยพระมหากษัตริย์ อานิสงส์มีผ้าเงินทอง เป็นต้น ที่พึงได้ด้วยการให้งูนั้นเล่นกีฬา เพราะอาศัยงู อานิสงส์มีต้มหุงข้าวต้มข้าวสวยและบรรเทาความหนาว เป็นต้น ที่พึงได้ปรารภด้วยอำนาจของไฟนั้น เพราะอาศัยไฟ อานิสงส์มีได้ฟังเรื่องที่ยังไม่ได้ฟัง ทำเรื่องที่ฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง และการบรรลุมรรคของตน เป็นต้น ที่พึงถึงด้วยอำนาจภิกษุนั้นเพราะอาศัยภิกษุ.

พึงละโทษมีประการที่กล่าวมาแต่ก่อน เพราะอาศัยสภาวะทั้ง ๔ เหล่านี้เสีย แต่ไม่พึงละโดยประการทั้งปวงด้วยคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรกับสิ่งเหล่านี้ อันผู้ต้องการจะเป็นใหญ่ ไม่ทำการดูหมิ่นดูแคลนดังกล่าวแล้ว พึงทำขัตติยกุมารให้ทรงยินดีด้วยอุบาย มีตื่นก่อนนอนหลัง เป็นต้น แต่นั้นก็จักถึงความเป็นใหญ่ ด้วยประการฉะนี้.

อันหมองู ไม่พึงทำความสนิทสนมในงู ร่ายวิชามนต์งู เอาไม้สองง่าม [เท้าแพะ] ยันคอ เอารากไม้ถอนพิษล้างเขี้ยวงูแล้วใส่ไว้ในลุ้ง ให้มันเล่นกีฬา อาศัยงูนั้นก็จักได้อาหารและผ้าเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้.

อันผู้ประสงค์จะต้มข้าว เป็นต้น ไม่ใส่ไฟลงในหม้อใส่ของ ไม่จับต้องด้วยมือ ก่อไฟด้วยโคมัย [ขี้ไต้] ละเอียดเป็นต้น พึงต้มข้าวต้มเป็นต้น อาศัยไฟนั้น ก็จักได้รับผลดีด้วยประการฉะนี้.

อันผู้ประสงค์จะฟังเรื่องที่ยังไม่ได้ฟัง เป็นต้น คุ้นเคยสนิทกับภิกษุ ไม่ใช้ท่านให้ทำตัวเป็นหมอ รับใช้ก่อสร้างเป็นต้น พึงบำรุงด้วยปัจจัย ๔ โดยเคารพ อาศัยภิกษุนั้น ก็จักได้พระพุทธพจน์ที่ไม่เคยฟัง ด้วยประการฉะนี้.

บุคคลถึงการวินิจฉัยปัญหาที่ไม่เคยฟัง ประโยชน์ในปัจจุบันและภายหน้า กุลสมบัติ ๓ กามาวจรสวรรค์ ๖ พรหมโลก ๙ แล้วจักได้การเห็นอมตมหานิพพาน พระผู้มี

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 418

พระภาคเจ้าทรงหมายถึงประโยชน์ดังกล่าวมานี้ จึงตรัสว่า สมฺมเทว สมาจเร ดังนี้.

บทว่า เอตทโวจ ความว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงฟังพระธรรมเทศนาแล้วทรงเลื่อมใส จะทรงทำความเสื่อมใสให้ชัดเจนแล้ว จึงตรัสคำว่า อภิกฺกนฺตํ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกนฺตํ แปลว่า น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจอย่างยิ่ง อธิบายว่า ดีเหลือเกิน.

พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงชมเทศนาด้วยอภิกกันตศัพท์ๆ หนึ่ง ในคำว่า อภิกฺกนฺตํ เป็นต้น นั้นว่า พระเจ้าข้า พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าน่าฟังจริงๆ ทรงชมความเสื่อมใสของพระองค์ ด้วยอภิกกันตศัพท์อีกศัพท์หนึ่งว่า พระเจ้าข้า น่าชื่นใจจริงๆ ที่ข้าพระองค์อาศัยพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงเลื่อมใส.

ต่อจากนั้น ก็ทรงชมพระธรรมเทศนาด้วยอุปมา ๔ ข้อ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ แปลว่า ของที่วางคว่ำหน้าหรือเอาหน้าไว้ล่าง.

บทว่า อุกฺกุชฺเชยฺย แปลว่า พึงทำหน้าไว้ข้างบน [หงาย].

บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ แปลว่า ของที่ปิดไว้ด้วยหญ้า เป็นต้น.

บทว่า วิวเรยฺย แปลว่า พึงเพิก [เปิด].

บทว่า มุฬฺหสฺส แปลว่า คนหลงทิศ [ทาง].

บทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ได้แก่ จับมือบอกว่า นั่นทาง.

บทว่า อนฺธกาเร ได้แก่ ในความมืด ๔ อย่าง คือ แรม ๑๔ ค่ำ, เที่ยงคืน, ป่าทึบและแผ่นเมฆ.

ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงยกข้าพระองค์ ซึ่งตกไปในอสัทธรรมหันหน้าหนีจากสัทธรรม ไว้ในสัทธรรม เหมือนใครๆ หงายของที่คว่ำ ทรงเปิดพระศาสนาที่การถือมิจฉาทิฏฐิปิดไว้ ตั้งแต่พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปอันตรธานไป เหมือนทรงเปิดของที่ปิด ทรงกระทำทางสวรรค์และนิพพานให้ชัดแจ้งแก่ข้าพระองค์ ผู้ดำเนินทางชั่วทางผิด เหมือนทรงบอกทางแก่ผู้หลง

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 419

ทาง ทรงชูดวงประทีป คือ พระธรรมเทศนาที่กำจัดความมืด คือโมหะอันปิดพระศาสนานั้น แก่ข้าพระองค์ผู้จมลงในความมืด คือโมหะ ผู้ไม่เห็นรูป คือพระรัตนะ มีพระพุทธรัตนะ เป็นต้น เหมือนทรงส่องประทีปน้ำมันในความมืด ทรงประกาศธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยปริยายเป็นอันมาก เพราะทรงประกาศด้วยปริยายเหล่านั้น.

พระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นทรงชมพระธรรมเทศนาอย่างนี้แล้วมีพระทัยเลื่อมใสในพระรัตนตรัยด้วยเทศนานี้ เมื่อทรงทำอาการของผู้เลื่อมใส จึงตรัสว่า เอสาหํ ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาหํ แยกสนธิว่า เอโส อหํ แปลว่า ข้าพระองค์นั้น.

บทว่า ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ แปลว่า ขอถึงพระรัตนตรัยนี้ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ.

บทว่า อุปาสกํ มํ ภนฺเต ภควา ธาเรตุ ความว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงจำ รับรู้ข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นอุบาสก.

บทว่า อชฺชตคฺเค แปลว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า อชฺชทคฺเค ดังนี้ก็มี.

ทอักษร ทำสนธิบท. ความว่า ตั้งต้นแต่วันนี้ไป.

บทว่า ปาณุเปตํ แปลว่า เข้าถึงด้วยปราณ คือ ชีวิต.

สังเขปความในข้อนี้อย่างนี้ว่า ชีวิตของข้าพระองค์ยังดำเนินไปเพียงใด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ทำแต่สิ่งที่สมควร ผู้ถึงสรณะด้วยสรณคมน์ ๓ ไม่นับถือศาสดาอื่น เข้าถึงด้วยชีวิตเพียงนั้น.

ส่วนความพิสดาร กล่าวไว้แล้วทุกอาการในสามัญญผลสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกายชื่อสุมังคลวิลาสินีแล.

จบอรรถกถาทหรสูตรที่ ๑