พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. ชันตุสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  29 ส.ค. 2564
หมายเลข  36268
อ่าน  372

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 377

๕. ชันตุสูตร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 377

๕. ชันตุสูตร

[๒๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง ภิกษุเป็นจำนวนมากอยู่ในกุฎีอันตั้งอยู่ในป่าข้างเขาหิมวันต์ แคว้นโกศล เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่ง ฟุ้งเฟ้อ ปากกล้า วาจาพล่อยๆ หลงลืม ขาดสัมปชัญญะ ไม่มั่นคง มีจิตคิดนอกทาง ปล่อยตัวเยี่ยงคฤหัสถ์.

[๒๙๔] วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ชันตุเทพบุตรเข้าไปหาพวกภิกษุเหล่านั้น แล้วจึงได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นด้วยคาถาทั้งหลายว่า

แต่ก่อน พวกภิกษุสาวกพระโคดมเป็นอยู่ง่ายๆ ไม่มักได้แสวงหาบิณฑบาต ไม่มักได้แสวงหาที่นอนที่นั่ง.

ท่านรู้ว่าสิ่งทั้งปวงในโลกไม่เที่ยง กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

ส่วนท่านเหล่านี้ ทำตนให้เป็นคนเลี้ยงยากเหมือนนายบ้านในตำบลบ้าน กินๆ แล้วก็นอน ชอบประจบไปในเรือนของคนอื่น.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 378

ข้าพเจ้าขอทำอัญชลีต่อท่าน ขอพูดกะท่านบางพวกในที่นี้ว่า พวกท่านถูกเขาทอดทิ้งหมดที่พึ่ง เป็นเหมือนเปรต.

ที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ หมายเอาบุคคลจำพวกที่อยู่ประมาท ส่วนท่านพวกใดอยู่ไม่ประมาท ข้าพเจ้าขอนมัสการท่านพวกนั้น.

อรรถกถาชันตุสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในชันตุสูตรที่ ๕ ต่อไป :-

บทว่า โกสเลสุ วิหรนฺติ ความว่า เหล่าภิกษุเป็นอันมาก รับกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พากันไปอยู่แคว้นโกศล.

บทว่า อุทฺธตา ได้แก่ เป็นผู้มีปกติฟุ้งซ่าน เพราะสำคัญในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร สำคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร สำคัญในที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ สำคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ.

บทว่า อุนฺนฬา ได้แก่ มีมานะดุจไม้อ้อที่ชูขึ้น ท่านอธิบายว่า ยกมานะที่เปล่าๆ ขึ้น.

บทว่า จปลา ได้แก่ ประกอบด้วยความฟุ้งเฟ้อ มีแต่งบาตรจีวร เป็นต้น.

บทว่า มุขรา แปลว่า ปากกล้า ท่านอธิบายว่ามีถ้อยคำกร้าว.

บทว่า วิกิณฺณวาจา ได้แก่ ไม่ประหยัดถ้อยคำ [เพ้อเจ้อ] เจรจาถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์ได้ทั้งวัน.

บทว่า มุฏฺสฺสติ ได้แก่ มีสติหายไป เว้นจากสติ กิจที่ทำในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายก็หลงลืมเสียในที่นี้.

บทว่า อสมฺปชานา ได้แก่ ปราศจากความรอบรู้.

บทว่า อสมาหิตา ได้แก่ เว้นจาก

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 379

สมาธิที่เป็นอัปปนาและอุปจาระ เสมือนเรือที่ผูกไว้ในกระแสน้ำเชี่ยว.

บทว่า วิพฺภนฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตไม่มั่นคง เสมือนมฤคร้ายที่ขึ้นทาง.

บทว่า ปากตินฺทฺริยา ได้แก่ มีอินทรีย์เปิดเหมือนครั้งเป็นคฤหัสถ์ เพราะไม่มีความสำรวม.

บทว่า ชนฺตุ ได้แก่ เทพบุตรมีนามอย่างนี้.

บทว่า ตทหุโปสเถ ได้แก่ ในอุโบสถวันนั้น อธิบายว่า ในวันอุโบสถ.

ศัพท์ว่า ปณฺณรเส ห้ามวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ เป็นต้นเสีย.

บทว่า อุปสงฺกมิ ได้แก่ เข้าไปหาเพื่อทักท้วง ได้ยินว่า ชันตุเทพบุตรนั้นคิดว่า ภิกษุเหล่านี้รับกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว พากันออกไป บัดนี้ ก็อยู่เป็นผู้ประมาท ก็แต่ภิกษุเหล่านี้ถูกเราทักท้วงในสถานที่นั่งแยกๆ กัน จักไม่ถือคำเรา จำเราจักทักท้วงในเวลาที่มารวมกันถึงวันอุโบสถ รู้ว่าภิกษุเหล่านั้นประชุมกันแล้ว จึงเข้าไปหา.

บทว่า คาถาย อชฺฌภาสิ ความว่า เทพบุตรยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าภิกษุทั้งหมดได้กล่าวด้วยคาถาทั้งหลาย ในคาถาเหล่านั้น เพราะเหตุที่สภาพมิใช่คุณ [โทษ] ของผู้ไร้คุณ ย่อมปรากฏพร้อมกับการกล่าวคุณ.

ฉะนั้น เทพบุตรเมื่อกล่าวถึงคุณก่อน จึงกล่าวคาถาว่า สุขชีวิโน ปุเร อาสุํ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขชีวิโน ปุเร อาสุํ ความว่า พวกภิกษุแต่ก่อน เป็นผู้บำรุงเลี้ยงง่าย เทพบุตรกล่าวอย่างนี้ โดยอธิบายว่า พวกภิกษุแต่ก่อน ยังชีพให้เป็นไปด้วยอาหารคลุกกัน ซึ่งเที่ยวไปตามลำดับตรอกในตระกูลสูงและต่ำได้มา.

บทว่า อนิจฺฉา ได้แก่ ปราศจากตัณหา เทพบุตรครั้นกล่าวคุณของเหล่าภิกษุเก่าก่อนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะกล่าวโทษของภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ทุปฺโปสํ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า คาเม คามณิกา วิย เทพบุตรกล่าวอธิบายว่า เปรียบเหมือนนายบ้าน เยี่ยมประชาชนในตำบลบ้าน ให้ลูกบ้านนำนมสดนมส้มข้าวสาร เป็นต้น มากิน ฉันใด แม้พวกท่าน ตั้งอยู่ในอเนสนา แสวงหาไม่สมควร มาเลี้ยงชีวิตของพวกท่าน ก็ฉันนั้น.

บทว่า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 380

นิปชฺชนฺติ ได้แก่ ไม่ต้องการด้วยการเรียนอุเทศ สอบถาม และใส่ใจกัมมัฏฐาน นอนปล่อยมือเท้าอยู่บนที่นอน.

บทว่า ปราคาเรสุ ความว่าในเรือนของผู้อื่น คือในเรือนสะใภ้ของตระกูล เป็นต้น.

บทว่า มุจฺฉิตา ได้แก่ หมกมุ่น ด้วยอำนาจกิเลส.

บทว่า เอกจฺเจ ได้แก่ พวกที่ควรจะกล่าวถึงนี่แหละ.

บทว่า อปวิฏฺา ได้แก่ ที่เขาทอดทิ้งแล้ว.

บทว่า อนาถา ได้แก่ ไม่มีที่พึ่ง.

บทว่า เปตา ได้แก่ คนที่ตายแล้ว เขาทิ้งในป่าช้า เปรียบเหมือนคนตายที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ย่อมถูกนกต่างๆ เป็นต้น จิกกิน แม้เหล่าญาติก็เป็นที่พึ่งของคนเหล่านั้นไม่ได้ รักษาไม่ได้ คุ้มครองไม่ได้ ฉันใด ภิกษุทั้งหลายเห็นปานนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่ได้รับโอวาทและคำพร่ำสอนแต่สำนักของอาจารย์และอุปัชฌาย์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงถูกทอดทิ้งไม่มีที่พึ่ง เป็นเหมือนคนตายที่เขาละทิ้งแล้ว ฉะนั้น.

จบอรรถกถาชันตุสูตรที่ ๕