พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. มัจฉริสูตร ว่าด้วยวิบากของคนตระหนี่

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ส.ค. 2564
หมายเลข  36210
อ่าน  607

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 260

๙. มัจฉริสูตร

ว่าด้วยวิบากของคนตระหนี่


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 260

๙. มัจฉริสูตร

ว่าด้วยวิบากของคนตระหนี่

[๑๔๘] เทวดาทูลถามว่า

คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่. วิบากของคนพวกนั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะเป็นเช่นไร. ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ไฉนข้าพระองค์จึงจะรู้ความข้อนั้น.

[๑๔๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่. คนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก ถ้าหากถึงความเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคนยากจน ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความร่าเริงและความสนุกสนานได้โดยยาก. คนพาลเหล่านั้นต้องประสงค์สิ่งใดแต่ผู้อื่น เขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น สมความปรารถนานั่นเป็นผลในภพนี้ และภพหน้าก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 261

[๑๕๐] เทวดาทูลถามว่า

ก็ข้อนี้ข้าพระองค์เข้าใจชัดอย่างนี้ (แต่) จะทูลถามข้ออื่นกะพระโคดม ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้วรู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า วิบากของชนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ไฉนข้าพระองค์จึงจะรู้ความข้อนั้น.

[๑๕๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า ชนเหล่านี้ย่อมปรากฏในสวรรค์อันเป็นที่อุบัติ หากถึงความเป็นมนุษย์ย่อมเกิดในสกุลที่มั่งคั่ง ได้ผ้าอาหารความร่าเริงและความสนุกสนานโดยไม่ยาก พึงมีอำนาจแผ่ไปในโภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ บันเทิงใจอยู่ นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็เป็นสุคติ.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 262

อรรถกถามัจฉริสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในมัจฉริสูตรที่ ๙ ต่อไป :-

บทว่า มจฺฉริโน แปลว่า ผู้ประกอบด้วยความตระหนี่.

จริงอยู่คนบางคนไม่ยอมเหยียดมือออกไหว้แม้ภิกษุทั้งหลายในที่เป็นที่อยู่ของตน คือว่า อุบาสกคนหนึ่งไปในที่อื่นเข้าไปสู่วิหารไหว้โดยเคารพแล้ว ทำการทักทายปราศรัยกับภิกษุด้วยถ้อยคำอันไพเราะว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายย่อมไม่มาสู่ที่เป็นที่อยู่ของพวกกระผม ที่นั้น เป็นประเทศอันสมบูรณ์ พวกกระผมสามารถเพื่อทำการบำรุงพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายด้วยยาคูและภัต เป็นต้น. ภิกษุคิคว่าอุบาสกนี้มีศรัทธาจะสงเคราะห์พวกเราด้วยข้าวยาคู เป็นต้น. ลำดับนั้นพระเถระรูปหนึ่งเข้าไปบ้านนั้น เพื่อเที่ยวไปบิณฑบาต. ฝ่ายอุบาสกนั้นเห็นพระเถระนั้นแล้ว ย่อมเลี่ยงไปทางอื่น หรือเข้าไปสู่เรือน คิดว่า ถ้าพระเถระมาประจัญหน้า เราก็ต้องยกมือไหว้ แล้วก็ต้องถวายภิกษาแก่พระผู้เป็นเจ้า อย่ากระนั้นเลย เราจะไปด้วยการงานอะไรสักอย่างหนึ่ง ดังนี้แล้วหลบหลีกไป พระเถระเที่ยวไปสู่บ้านทั้งสิ้น เป็นผู้มีบาตรเปล่าเทียวออกมาแล้ว. ข้อนี้ชื่อว่า ความตระหนี่อย่างอ่อน (มุทุมัจฉริยะ).

บุคคลแม้มิใช่ทายก ย่อมทำราวกะว่าเป็นทายก คือ เป็นผู้ประกอบด้วยเหตุอันใดนั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอาบุคคลผู้มีความตระหนี่จัด (ถัทธมัจฉริยะ) คือว่า อุบาสกนั้นประกอบด้วยมัจฉริยะอันใด เมื่อมีผู้กล่าวว่าภิกษุทั้งหลายเข้าไปเพื่อบิณฑบาต พระเถระทั้งหลายยืนอยู่แล้ว ดังนี้ ก็จะพูดว่า เท้าของเราเจ็บมิใช่หรือ จะเป็นผู้กระด้างยืนอยู่ ดุจเสาหิน หรือดุจตอไม้ ย่อมไม่กระทำแม้สามีจิกรรม.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 263

บทว่า กทริยา ความเหนียวแน่น นี้เป็นไวพจน์ของความตระหนี่นั่นแหละ เพราะว่า ความตระหนี่อย่างอ่อน ท่านเรียกว่า มัจฉริยะ ส่วนความตระหนี่จัด ท่านเรียกว่า กัทริยะ.

คำว่า ปริภาสกา ดีแต่ว่าเขา คือว่า เห็นภิกษุทั้งหลายยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ก็จะคุกคามด้วยคำว่า พวกท่านไถนามาหรือ หรือหว่านข้าวมา จึงมาเร็วนัก แม้พวกเราก็ยังไม่ได้เพื่อตน จักได้อาหารเพื่อท่านแต่ที่ไหน ดังนี้เป็นต้น.

คำว่า อนฺตรายกรา แปลว่า ทำการกีดขวาง คือ เป็นผู้ทำอันตรายทั้งหลายของชนเหล่านี้ คือ ทำอันตรายสวรรค์ของทายก ทำอันตรายลาภของปฏิคาหก และทำลายตัวเอง.

คำว่า สมฺปราโย ได้แก่ ปรโลก.

คำว่า รติ ได้แก่ ความร่าเริงในกามคุณ ๕.

คำว่า ขิฑฺฑา ได้แก่ ความสนุกสนาน ๓ อย่าง มีความสนุกสนานทางกาย เป็นต้น.

คำว่า ทิฏฺเ ธมฺเม ส วิปาโก ได้แก่ นั่นเป็นวิบากในภพปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ๆ ตนเกิดแล้วๆ.

คำว่า สมฺปราโย จ ทุคฺคติ ได้แก่ บุคคลเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงยมโลก เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภพหน้าก็เป็นทุคติ.

คำว่า วทญฺญู รู้ถ้อยคำ ความว่า ภิกษุทั้งหลายยืนอยู่ที่ประตูบ้านถึงจะเป็นผู้นิ่ง แม้ก็จริงถึงอย่างนั้น ก็ชื่อว่า ย่อมกล่าวว่า ขอพวกท่านจงให้ภิกษาเพื่อประโยชน์ ดังนี้ คือว่า ชนเหล่าใด ย่อมแบ่งไทยธรรมโดยกล่าวว่า พวกเราจะหุงภัต ชนพวกนี้ย่อมไม่หุง เมื่อเราไม่หุงอยู่ พวกภิกษุจักได้ภัตแต่ที่ไหน ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ชนเหล่านั้น จึงชื่อว่า วทัญญู แปลว่า รู้ถ้อยคำ.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 264

คำว่า ปกาเสนฺติ ย่อมปรากฏ คือว่า ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยรัศมีแห่งวิมาน.

คำว่า ปรสมฺภเตสุ แปลว่า โภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ ได้แก่ ที่ผู้อื่นรวบรวมไว้.

คำว่า ทั้งภพหน้าก็เป็นสุคติ ความว่า สัมปรายภพที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ว่า เอเต มคฺคา ดังนี้ ชื่อว่า สุคติ.

อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เมื่อชนเหล่านั้นแม้ทั้งสองพวกเคลื่อนแล้วจากที่นั้น ภพหน้าอีก ย่อมเป็นทุคติ และสุคติ ดังนี้แล.

จบอรรถกถามัจฉริสูตรที่ ๙